หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1360

ตอนที่ 1360

เมื่อเงาทั้งสามปรากฏขึ้นทั่วบริเวณก็เงียบลง

ทุกคนมองหน้ากันความหวาดกลัว

นั่นเป็นเพราะร่างเงาทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิเหนือ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้นำของขั้วอำนาจทั้งสาม

เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง

ทั้งสามมีชื่อก้องไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว ในจักรวรรดิเหนือพวกเขาคือผู้นำที่ไม่มีใครกล้าต่อกร

มู่เฉินมองไปที่ทั้งสาม คนทางซ้ายเป็นชายวัยกลางสวมชุดขาวพลิ้วไหวในอากาศ ท่าทางดูดี ทว่าม่านตาสีม่วงของเขาดูมีเสน่ห์จนไม่มีใครกล้าดูถูก

คนที่อยู่ตรงกลางเป็นชายหัวโล้นหูใหญ่สวมเสื้อคลุมสีเทา แขนเสื้อกว้างมากปลดปล่อยความผันผวนมิติเบาบางออกมา แม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แต่คนที่มีประสาทสัมผัสว่องไวก็สามารถบอกได้ถึงความเย็นชาในดวงตาคู่นั้น

คนที่ยืนอยู่ทางขวาสวมชุดสีเทาและดูเคร่งขรึม จมูกแหลม ดวงตาทั้งสองแวววาวเป็นสีทองจางๆสายตาคมราวกับใบมีดที่ดูเหมือนว่าแทงทะลุหัวใจของคนอื่นได้

แต่ละคนปลดปล่อยความผันผวนที่ทรงพลังคล้ายคลึงกัน ทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน คลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านในฟ้าดินก็สงบลงเมื่อเข้าใกล้ตัวพวกเขา

การยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ให้ความรู้สึกว่าถ้าพวกเขาปลดปล่อยการโจมตี ก็เหมือนกับสวรรค์เปิดการโจมตีเอง

ความรู้สึกนี้ทำให้ดวงตาของมู่เฉินหดลง ผู้นำทั้งสามสัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แม้ว่าพวกเขาตอนนี้จะยังนับว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เมื่อคนอื่นๆ เทียบกับพวกเขาก็ราวกับหิ่งห้อยกับดวงจันทร์

มู่เฉินบดขยี้กลุ่มจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดายเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนก็สามารถทำได้เช่นกัน

มั่นถัวหลัว หลิงซีและคนอื่นๆ ก็มาปรากฏตัวเคียงข้างมู่เฉิน แต่ละคนมองไปที่ร่างเงาทั้งสามด้วยความระวัง

“ทั้งสามคนนั้นสมกับเป็นเจ้าเหนือหัวอย่างแท้จริง พวกเขามีความสามารถเกือบจะอยู่ในระดับสี่จอมพลของวังสรรค์บรรพกาลแล้ว” มั่นถัวหลัวพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

มู่เฉินฉายสีหน้าตกใจถามด้วยความประหลาดใจว่า “จอมพลทั้งสี่ของวังสวรคค์บรรพกาลก็สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนแล้วเหรอ?”

เขาคิดมาตลอดว่าจอมพลเหล่านั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเท่านั้น

มั่นถัวหลัวกลอกตาก่อนที่จะตอบว่า “ยังไงพวกเขาทั้งสี่คนก็ได้รับการฝึกฝนจากจักรพรรดิฟ้า หากไม่ใช่เผ่าปีศาจต่างมิติบุกโจมตีตั้งแต่ที่วังสวรรค์บรรพกาลยังก่อตั้งไม่นาน พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้แน่”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนที่เขาสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย เขาก็เริ่มรู้สึกผิดปกติเล็กน้อยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของวังสวรรค์บรรพกาล พวกเขามีจักรพรรดิฟ้าซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทว่าพลังการต่อสู้ภายใต้กลับอ่อนแอกว่าปกติ

หากจอมพลทั้งสี่เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดา จากสถานการณ์ของจักรวรรดิเหนือในปัจจุบัน พวกเขาคงไม่สามารถดูแลที่นี่ได้ด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเป็นจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนก็แข็งแกร่งเพียงพอ แต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดิฟ้าแล้ว พวกเขาก็ยังอ่อนแอเกินไป

“ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่ใช่บุคคลที่จะพบได้ง่าย เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของรากฐาน ดูอย่างตำหนักซีเทียนสิ แม้ว่าจักรพรรดิสัประยุทธ์จะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แต่เขาก็ไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นอยู่ใต้บัญชาการใช่ไหมล่ะ?” เหมือนรู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ มั่นถัวหลัวก็ส่ายหัวพลางอธิบาย

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่จะตกอยู่ในภวังค์ความคิด จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนล้วนเป็นตัวแทนของรากฐาน แม้จะมีขั้วอำนาจมากมายในมหาพันภพ แต่ส่วนมากก็มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อมองไปที่เผ่าโบราณเหล่านั้น อย่างเผ่าฝูถูจำนวนจอมยุทธ์ที่มีสูงกว่ามาก จากระดับหนึ่งนั่นอาจถือได้ว่าเป็นรากฐานของพวกเขา

“ทั้งสามคนนี้ทรงพลัง แม้แต่ในวังสวรรค์บรรพกาลพวกเขาก็สามารถลงชิงชัยเพื่อตำแหน่งจอมพลได้” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความกังวลกะพริบในดวงตา แม้ว่าเมื่อครู่มู่เฉินจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มี แต่นั่นแค่การเปิดฉาก หากตำหนักมู่ต้องการที่นั่งหนึ่งในจักรวรรดิเหนือ เขาก็ต้องฉกมาจากสามคนนี้

ถ้าเขาล้มเหลว ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็จะถูกล้างบางเหลือเพียงเถ้าถ่าน

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากทั้งสามคน เห็นได้ชัดว่าถ้าตำหนักมู่คิดจะบรรลุเป้าหมาย การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะที่มู่เฉินมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง ทั้งสามก็มองไปที่มู่เฉินด้วยเจตนาฆ่าวูบไหวในส่วนลึกของดวงตา

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งเก้านั้นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา แต่มู่เฉินสังหารพวกเขาไปถึงครึ่งหนึ่งอย่างไร้ความปรานี ราคานี้ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง

พวกเขาประเมินมู่เฉินและความเด็ดขาดที่อีกฝ่ายมีต่ำไปมาก

เจ้าสำนักเมฆาม่วงมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้าที่สุด ก่อนที่จะพูดอย่างช้าๆ “ฮ่าๆ ดี นานมากแล้วที่สำนักเฆาม่วงของข้าต้องประสบกับความสูญเสียเช่นนี้ เจ้าแน่จริงๆ”

หกจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของสำนักเมฆาม่วง สามคนถูกปิดผนึกโดยมู่เฉิน สามคนที่เหลือสองคนถูกสังหารและหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บหนัก

เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเมฆาม่วงถูกมู่เฉินริดซะเหี้ยนเลย

เมื่อมองสายตาเย็นชาของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินก็ยิ้มบาง “สำนักเมฆาม่วงของเจ้าไปที่ตำหนักข้า ทำตัวหยิ่งผยอง ดังนั้นพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบ”

สายตาเจ้าสำนักเมฆาม่วงเย็นเยือกลงหลายส่วนก่อนที่จะแค่นเสียง “ตำหนักมู่กระจ้อยร่อย สำนักเมฆาม่วงของข้าสามารถทำลายได้ด้วยการพลิกฝ่ามือ แกยังกล้าทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าข้างั้นเหรอ?”

มู่เฉินส่ายหัว “น่าเสียดายที่ตอนนี้สำนักเมฆาม่วงเป็นฝ่ายถูกกำจัด”

เผชิญหน้ากับรังสีสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วง มู่เฉินไม่กลัว มิหนำซ้ำยังตอกกลับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะเขารู้ดีว่าการล่าถอยในตอนนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามก้าวเข้ามาอีกก้าว

ที่ราบเป่ยยู่เงียบงัน ผู้คนที่อยู่รอบๆ มองดูการเผชิญหน้าระหว่างมู่เฉินและเจ้าสำนักเมฆาม่วง พวกเขาตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักแอะเดียว

พวกเขารู้ดีว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่าย ถ้าพวกเขาปะทะกันก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ง่ายๆ

“ฮ่าๆ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็อดหัวเราะออกมาด้วยเจตนาเข่นฆ่าหนาแน่นในดวงตาไม่ได้ ทำเอาอุณหภูมิระหว่างสวรรค์และโลกลดฮวบลง

“มั่นใจได้ หลังจากวันนี้ข้าจะเคลื่อนพลเป็นส่วนตัวล้างบางตำหนักมู่ทั้งหมด!”

เจ้าสำนักเมฆาม่วงจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มอำมหิตปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ภูมิภาคทางเหนือของแกจะกลายเป็นทะเลเลือดภายใต้ความโกรธของข้า เมื่อถึงเวลานั้นแกจะเป็นคนบาปให้ผู้คนตราหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความยิ่งยโสและโง่เขลาเบาปัญญาของแก!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเยือกเย็นของเจ้าสำนักเมฆาม่วง ก็ไม่มีระลอกคลื่นใดบนใบหน้าของมู่เฉิน เขาพูดเบาๆ ว่า “พวกนกกระจิบร้องจิ๊บๆ ถ้าปากแกเก่งอย่างว่าก็คงครอบครองทวีปเทียนหลัวไปนานแล้ว”

ริมฝีปากของผู้คนโดยรอบกระตุก เห็นชัดพวกเขาไม่คิดว่าประมุขตำหนักมู่ไม่เพียงแต่โหดเหี้ยมด้วยทักษะ แต่ฝีปากยังคมกล้า ทำเอาเจ้าสำนักเมฆาม่วงบ้าคลั่งได้เลยจริงๆ

แต่ละคนแอบมองไปที่เจ้าสำนักเมฆาม่วงก็เห็นความโกรธพุ่งออกมาจากดวงตา แม้แต่มิติโดยรอบก็สั่นเทิ้มภายใต้ความโกรธเกรี้ยว รอยแตกกระจายออกมา

ฮา

ทว่าเมื่อจิตสังหารพุ่งถึงขีดสุด การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับความสงบก่อนพายุจะมา

เขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉินอีก แต่หันกลับไปมองไปที่เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทอง “ข้าจะให้ไอ้บ้านี่ดูว่าข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ยังไง พวกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”

เจ้าสำนักเมฆาม่วง เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองถือว่าเป็นศัตรูกัน แต่เนื่องจากตอนนี้มู่เฉินเป็นผู้ท้าชิงที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงยอมจับมือกันชั่วคราวเพื่อที่จะฆ่าผู้ท้าชิงลงเสียก่อน

เจ้าภูเขาเหลยยิงและเจ้าอินทรีทองสบตากัน ก่อนที่จะหรี่ตายิ้ม “งั้นเราจะปล่อยให้เจ้าสั่งสอนไอ้เด็กเหลือขอจอมหยิ่งคนนี้สักหน่อย”

ยามนี้ไอสังหารของเจ้าสำนักเมฆาม่วงมาถึงขีดสุดแล้ว แม้ว่าประมุขตำหนักมู่จะอายุน้อย แต่เขาก็มีความสามารถบางอย่างและเป็นเรื่องดีที่จะให้เจ้าสำนักเมฆาม่วงลงมือทดสอบก่อน

ถ้าเจ้าเด็กนั่นทำท่าจะแพ้ พวกเขาก็จะมองหาโอกาสที่จะฆ่าเขา ก่อนที่จะตัดแบ่งตำหนักมู่ออก

ไม่ว่าอย่างไรวันนี้จะต้องไม่เหลือชื่อตำหนักมู่อยู่ในภูมิภาคทางเหนืออีก

เจ้าสำนักเมฆาม่วงพยักหน้าอย่างใจเย็น แม้ว่ามู่เฉินจะดูแปลกๆ แต่เขาก็ไม่กลัว สิ่งที่เขากลัวคืออีกสองคนจะฉวยโอกาสตอนต่อสู้ แต่ดูจากท่าทางหมาแก่สองตัวนี่ก็ต้องการกำจัดตำหนักมู่เหมือนกัน

ดังนั้นเขาจึงหันหน้ากลับมา ม่านตาสีม่วงจ้องมองไปที่มู่เฉิน พูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อเป็นแบบนี้แกพร้อมที่จะตายหรือยัง?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท