หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1357

ตอนที่ 1357

จักรวรรดิเหนือกว้างใหญ่ไพศาล

เกือบแปดส่วนของดินแดนถูกแบ่งโดยสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง เหลือเพียงภูมิภาคทางเหนือถือครองดินแดนอีกสองส่วนที่เหลือ

แน่นอนว่าสาเหตุที่ภูมิภาคทางเหนือตั้งตนเป็นอิสระได้นั้น เนื่องมาจากอยู่ห่างไกลและทรัพยากรก็ถือว่าดาษดื่น ดังนั้นผู้นำทั้งสามก็เลยไม่ได้ทิ้งสายตามามองมากเท่าไร

แต่ความสงบก็จบลง หลังจากที่ตำหนักมู่รวมดินแดนเข้าด้วยกัน

นอกจากนี้ตำหนักมู่ยังเป็นผู้สืบทอดวังสวรรค์บรรพกาล ตอนแรกอาจยังปิดบังไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้คนจำนวนมากขึ้นในภูมิภาคทางเหนือรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อมูลก็ถูกส่งต่อไปสามขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่

วังสวรรค์บรรพกาลเคยเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัว ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นดินแดนเพาะบ่มพลังยุทธ์ที่หายากในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หากพวกเขาได้รับมาก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างมาก

สาเหตุที่ตำหนักมู่สามารถขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วและดึงดูดจอมยุทธ์จำนวนมากก็เนื่องจากการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาลนั่นเอง

ดังนั้นสำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองจึงให้ความสนใจวังสวรรค์บรรพกาลและกำลังมองหาโอกาสที่จะกลืนตำหนักมู่และรับวังโบราณไป

ตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิเหนือ ที่ราบเป่ยยู่

ชื่อเสียงของสถานที่แห่งนี้เลื่องลือในจักรวรรดิเหนือ เนื่องจากที่ราบนี้เป็นจุดตัดระหว่าง สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทอง

เป็นเพราะภูมิประเทศนี้ทำให้การประชุมของจักรวรรดิเหนือถูกจัดขึ้นที่นี่

ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ที่ราบเป่ยยู่คึกคัก โดยขั้วอำนาจเกือบแปดส่วนมารวมตัวกัน

คลื่นหลิงจำนวนมหาศาลทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยแสง ความผันผวนของคลื่นหลิงทำให้ผู้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรกต้องตะลึง

ซึ่งรวมถึงตัวมู่เฉินด้วยเช่นกัน

มู่เฉินมองที่ราบอันกว้างใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของคลื่นหลิงมากมายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ในช่วงเวลาสั้นๆ แม้กระทั่งเขายังไม่สามารถรับรู้ได้ทั้งหมด

“ข้าเกรงว่าจอมยุทธ์ส่วนใหญ่ในจักรวรรดิเหนือคงมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากตระการตานี้

“การประชุมสภาจักรวรรดิเหนือเป็นการตัดสินเกี่ยวกับเจ้าเหนือหัว ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากพลาด” มั่นถัวหลัวบอกกล่าวที่ด้านข้างมู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้า เขาสามารถรับรู้ได้ถึงเส้นแสงที่ทะยานมาจากทุกทิศทางก่อนที่จะเคลื่อนตัวลงสู่ที่ราบกว้างใหญ่

“เห็นเครื่องหมายบนแขนจอมยุทธ์เหล่านั้นไหม?” ทันใดนั้นมั่นถัวหลัวก็พูดขึ้น

ดวงตาของมู่เฉินหดลงก่อนที่จะพยักหน้า เขามองเห็นแทบทุกขั้วอำนาจจะมีเครื่องหมายที่เป็นเอกลักษณ์บนแขน

“ผ้าสีม่วงแปลว่าอยู่ใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วง สีเทาคือภูเขาเหลยยิง และสีทองคือคฤหาสน์อินทรีทอง”

“เฉพาะคนที่มีผ้าพันที่แขนเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ได้ มิฉะนั้นขั้วอำนาจใดที่ก้าวเข้ามาโดยไม่มีผ้าพันที่แขนก็หมายความว่าพวกเขาตั้งใจที่จะต่อสู้กับยักษ์ทั้งสามนี้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าเราจะไปต่อได้ยาก” มั่นถัวหลัวกล่าวช้าๆ

“โอ้? พวกเขาจะขัดขวางเราเรอะ?” มู่เฉินหรี่ตาลง

“ตามกฎของจักรวรรดิเหนือ หากขั้วอำนาจใหม่ตั้งใจที่จะแข่งขันกับทั้งสามเพื่อชิงอำนาจ ก็มีเพียงวิธีเดียว นั่นคือการต่อสู้จากขอบที่ราบเป่ยยู่เข้าสู่ใจกลาง หากสามารถยืนหยัดที่ศูนย์กลางได้ก็จะสิทธิ์แข่งขันกับพวกเขา”

“ในอดีตมีสองขั้วอำนาจทรงพลังที่ตั้งใจจะเป็นหนึ่งในผู้นำจักรวรรดิเหนือ แต่พวกเขาไม่เคยกลับมาอีกเลยเมื่อก้าวเข้าไป กลุ่มของพวกเขาสลายหายไปในที่สุด…”

มู่เฉินตอบ “ฟังดูโหดไปหน่อยแฮะ”

“ในโลกนี้ พลังคือผู้ตัดสิน หากไม่มีพลังเพียงพอก็จะถูกกลืนถ้าคิดแหย่มือไปกวนเรื่องนี้”

มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินถามว่า “ดังนั้นเจ้าพร้อมหรือยัง? ถ้าล้มเหลวสองขั้วอำนาจนั่นก็คือตัวอย่างของพวกเรา”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะหันกลับไปมองภาพเงาหลายสิบคน ทุกคนที่ได้ติดตามเขามาที่นี่ก็คือจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ ซึ่งแต่ละคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนแล้วทั้งสิ้น

เวลานี้จอมยุทธ์ตำหนักมู่กำลังมองที่ประมุขด้วยสายตาร้อนแรงโดยไม่มีความกลัว

“ถ้าทุกคนเชื่อมั่นว่าข้าสามารถนำพาพวกเจ้าออกไปได้ ก็จงตามข้ามา”

มู่เฉินยิ้มให้พรรคพวก เขาไม่ได้พูดคำปลุกขวัญใดๆ เพียงโบกมือทะยานเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่

หลิงซี หลงเซี่ยงและเจียงหลงติดตามไปโดยไม่ลังเล

สำหรับคนอื่นๆ จำนวนพวกเขาดูน้อยอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อเทียบกับคนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวกันในที่ราบแห่งนี้

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดพวกเขารู้สึกมั่นใจมากเมื่อมองภาพเงาอ่อนเยาว์ที่เบื้องหน้าครรลองสายตา จากนั้นแต่ละคนก็ทะยานออกติดตามไป

เมื่อมั่นถัวหลัวเห็นฉากนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการเป็นเสาหลักของตำหนักมู่ หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ จินตนาการได้ว่าตำแหน่งของเขาจะมั่นคงแค่ไหนในฐานะประมุขตำหนักมู่

รอยยิ้มคลี่ออก นางก็ย่างกรายไปปรากฏตัวที่ด้านหลังมู่เฉิน

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ร่างแสงหลายสิบร่างจากตำหนักมู่พุ่งไปในที่ราบเป่ยยู่ จังหวะที่เข้ามาสายตาแหลมคมก็รวมตัวกันจากโดยรอบ

“ฮ่าๆ ตำหนักมู่แห่งภูมิภาคทางเหนือจริงด้วย!”

“พวกเขาช่างเป็นคนโง่เขลาที่กล้าหาญ คิดจะบุกเข้าไปในที่ราบเป่ยยู่ด้วยคนจำนวนเท่านี้เรอะ? ข้าพนันว่าพวกเขาหมดแรงตายก่อนที่จะเข้าสู่ใจกลางที่ราบได้”

“นั่นที่อยู่ด้านหน้าประมุขตำหนักมู่ใช่ไหม? เขายังเด็กมากไม่น่าแปลกใจเลยที่หยิ่งยโสเหลือเกิน”

“แต่น่าเสียดายที่หลังจากวันนี้เขาจะหลงเหลือแต่กองกระดูกบนที่ราบแห่งนี้…”

“…”

เมื่อสมาชิกตำหนักมู่เข้าสู่ที่ราบเป่ยยู่ เสียงสนทนาก็ดังก้อง สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ไว้หน้าตำหนักมู่มากนัก

สุดท้ายเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ทุกคนที่ท้าทายศักดิ์ศรีของประมุขทั้งสามกลายเป็นปุ๋ยอยู่บนที่ราบเป่ยยู่แห่งนี้

การเดินหน้าท่ามกลางสายตามองมาด้วยความสงสาร ชัดว่าต้องการความกล้ามาก จอมยุทธ์หลายคนของตำหนักมู่เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ติดตามร่างเบื้องหน้าที่ไม่รีบร้อนไปอย่างใกล้ชิด

มู่เฉินเดินนำหน้าด้วยท่าทางเรียบเฉยราวกับบ่อน้ำลึก แม้ว่าเสียงจะดังกระหึ่มมาจากรอบข้าง แต่เขาก็ไม่ถูกรบกวนจากสิ่งเหล่านี้

สายตาของเขาจ้องมองไปที่ใจกลางที่ราบเท่านั้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่แผ่วเบาและลึกซึ้งสามสาย

คลื่นหลิงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มธรรมดาจะเทียบได้

“หยุด!”

แต่ในขณะที่มู่เฉินมองลึกเข้าไป เสียงตะโกนเย็นเยือกก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างเงาหลายสิบร่างจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเข้าขัดขวาง

หลายสิบร่างนั้นเปล่งความผันผวนรุนแรงพร้อมกับผ้าพันแขนสีม่วงปลิวไสว ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์จากขั้วอำนาจใต้การปกครองของสำนักเมฆาม่วงทั้งสิ้น

พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นปลาย โดยมีสองคนอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม

ชัดว่าความโกรธแค้นที่สำนักเมฆาม่วงมีต่อตำหนักมู่ ทำให้พวกเขารวบรวมจอมยุทธ์ออกมาโจมตี

ทว่าท่าทางของมู่เฉินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากการกีดขวาง รวมถึงความเร็วในการเดินหน้าด้วย

“ไอ้พวกหุ่นกระบอกบังอาจขวางทางนายน้อยของข้างั้นรึ? ไสหัวไป!”

หลงเซี่ยงตะโกนอย่างเย็นชาก่อนที่ร่างจะทะยานออกไปราวกับสายฟ้าพร้อมกับพลังที่น่าทึ่งพุ่งเข้าหาศัตรูด้วยหมัดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้

“อวดดี!”

จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มทั้งสองเกรี้ยวกราด เคลื่อนออกมาขัดขวางหลงเซี่ยง

“ฮึ่ม!”

แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็กวาดเข้ามา ค่ายกลขนาดมหึมากางลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มพวกเขาไว้ ทันใดนั้นคลื่นหลิงขนาดใหญ่ก็รวมกันก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคนพัดเข้าใส่ทั้งสองโดยกักขังเอาไว้ภายใน

ปัง ปัง ปัง!

สิบกว่าลมหายใจจอมยุทธ์สำนักเมฆาม่วงที่ขวางทางก็ร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใต้หมัดของหลงเซี่ยง

มู่เฉินไม่ได้มองไปที่คนเหล่านั้นตั้งแต่เริ่มต้น เขายังคงเอามือไพล่หลังเดินไปข้างหน้าภายใต้สายตาตกตะลึงรอบด้าน

สายตาเขาจดจ้องไปที่ใจกลางอย่างไม่แยแส แม้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของทั้งสามสำนักจะมารวมตัวกันที่นี่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะขัดขวางเขา

เว้นแต่ทั้งสามคนนั่นจะลงมือเอง

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องทำให้ตำหนักมู่ผงาดขึ้นเป็นผู้นำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อพรรคพวกที่ให้ความไว้วางใจหรือทรัพยากรมหาศาลในอนาคต…

เขาต้องได้รับตำแหน่งเจ้าเหนือหัวแห่งจักรวรรดิเหนือ!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท