หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1373

ตอนที่ 1373

ฟ้าดินถูกย้อมเป็นสีแดงเข้ม

แม้แต่ภูเขาก็ยังเป็นสีแดงจางๆ ราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือดมากมายมหาศาล ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยรัศมีโหดร้าย

ฮึ่ม!

ทันใดนั้นมิติก็ฉีกออกบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ทางเดินก่อตัวขึ้นมีร่างเงาทอดลงมา

นี่ก็คือมู่เฉินที่เดินผ่านเส้นทางพิภพเขตล่างเข้ามา

ขณะที่ร่างกายเคลื่อนลงไป เขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติอยู่รอบตัว ดังนั้นเขาจึงดึงคลื่นหลิงกลับคืนมา

“พลังงานในพิภพเขตล่างต่ำมากจริงๆ” มู่เฉินยื่นมือออก รวบรวมพลังงานระหว่างฟ้าดินให้เป็นทรงกลม เขาสัมผัสวูบหนึ่งก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน

พลังงานระหว่างฟ้าดินไม่บริสุทธิ์เท่ากับคลื่นหลิงในมหาพันภพ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานานกว่าที่จะฟื้นตัวที่นี่

“แต่โชคดีที่ข้าเอาของเหลวจื้อจุนจากตำหนักมู่มาด้วย” มู่เฉินถอนหายใจ หากเขาไม่มีของเหลวจื้อจุน ในการต่อสู้เขาก็ต้องกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียของคลื่นพลัง

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ให้ความสำคัญมากขึ้น กลัวว่าจะเกิดกรณีที่คลื่นหลิงหมดลงและเขาตกอยู่ในอันตราย

หลังจากถอนหายใจ ไข่มุกมังกรขาวก็ปรากฏขึ้นในมือ แสงสีขาวพวยพุ่งขึ้น แต่มู่เฉินก็ต้องประหลาดใจที่ผนึกภายในไม่ได้ถูกกระตุ้น

“หรือว่าข้าจะต้องไปถึงบ้านเกิดของจอมยุทธ์มังกรขาวเพื่อให้เจตจำนงถูกกระตุ้น?” มู่เฉินพึมพำ แต่ไม่ว่าอะไรเขาก็ต้องลองดู อย่างน้อยไข่มุกมังกรขาวก็ตอบสนองต่อพิภพเขตล่าง ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้มาผิดที่

“พิภพเขตล่างแห่งนี้น่าจะถูกครอบครองโดยเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินกวาดมองพื้นที่สีแดงเข้ม เขาสามารถได้กลิ่นร่องรอยความผันผวนของเลือดที่ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายเขาปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเผ่าเสี่ยเสียแน่นอน

ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจกำลังพยายามปรับเปลี่ยนพิภพเขตล่างนี้ โดยทำให้พลังงานระหว่างฟ้าดินกลายเป็นพลังที่พวกมันต้องการ

“ไม่รู้ว่าพลังของเผ่าเสี่ยเสียเป็นอย่างไร…” มู่เฉินพึมพำ หากไม่มีข้อมูลที่แน่นอนเกี่ยวกับศัตรู เขาก็ไม่สามารถทำอะไรโดยประมาทได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่ามีราชันนักรบปีศาจในเผ่าเสี่ยเสียหรือไม่

ราชันปีศาจมีพลังในการต่อสู้เทียบเท่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุน คงจะไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขาหากมีอยู่ เพราะโอกาสในการชนะของเขาคงไม่ดีเมื่อเผชิญหน้ากับราชันปีศาจแท้จริง

“ข้าต้องรวบรวมข้อมูลก่อน”

หลังจากตัดสินใจร่างมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไป แต่เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจ เขาเดินทางด้วยการบินระดับต่ำเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเผ่าเสี่ยเสียจับได้

ภายใต้ความเร็วเต็มพิกัด เขาก็บินผ่านเทือกเขา แต่ยิ่งเดินทางมาไกลขึ้นคิ้วก็ยิ่งเริ่มขมวดแน่นขึ้น เนื่องจากพบว่าไม่มีเสียงรบกวนจากสิงสาราสัตว์ใดในภูมิภาคนี้ ช่างเงียบสงัดจนดูเหมือนกับโลกใต้พิภพ

“หรือเผ่าเสี่ยเสียสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดแล้ว?” เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สีหน้ามู่เฉินก็มืดมนลง เผ่าปีศาจต่างมิติโหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอ?

ประสาทสัมผัสของมู่เฉินกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนบางอย่างในหนึ่งชั่วโมงต่อมา

ดังนั้นเขาจึงไปปรากฏตัวบนยอดเขามองเข้าไปจากระยะไกล เขาเห็นโครงร่างเมืองเบื้องหน้าสายตาได้อย่างเลือนราง

เมื่อมองไปที่เมืองนั้น มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีมากมายที่อยู่ภายใน มีบางส่วนที่มีรัศมีคล้ายกับโลกใบนี้ ถ้าเขาเดาไม่ผิดพวกเขาน่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในพิภพเขตล่างนี้

“ยังมีคนอาศัยอยู่เรอะ?” สายตาของมู่เฉินเปล่งประกายก่อนที่จะไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าเหนือเมืองพร้อมกับดึงพลังงานทั้งหมดกลับคืนมา ราวกับว่าหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่าไม่มีใครสามารถรู้สึกถึงเขาได้

เมื่อกวาดสายตาไป เขาก็มองเห็นทิวทัศน์เจริญรุ่งเรือง ผู้คนนับไม่ถ้วนเดินขวักไขว่อยู่ในเมือง

ทว่าเขาถึงกับขมวดคิ้วกับฉากนี้ เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติภายใต้ความรุ่งเรืองนี้

คนเหล่านี้แม้จะทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ แต่ก็เห็นใบหน้าของผู้คนซีดเซียว มีอาการด้านชาอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

แม้จะมีชีวิต แต่พวกเขาราวกับผีดิบอย่างไรอย่างนั้น

หวือ หวือ!

ในขณะที่มู่เฉินรู้สึกสงสัยหนัก ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังก้องจากในเมืองสะท้อนไปทั่วสวรรค์และโลก

ตู้ม!

เมื่อเสียงดังขึ้นเมืองที่พลุกพล่านก็วุ่นวาย ทุกคนหันหลังวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร แม้แต่รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าก็หายไปแทนที่ด้วยความกลัวหนาแน่น

“คึ คึ!”

ทันใดนั้นภาพเงาโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะบาดหู พวกมันราวกับเหยี่ยวทะยานลงมาหาคนในเมือง

มู่เฉินหดดวงตาขณะมองไปที่เงาโลหิตเหล่านั้น พวกมันสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มใบหน้าซีดเซียว มีเขี้ยวแหลมสองข้างยื่นออกมาจากริมฝีปาก

นี่จะต้องเป็นเผ่าเสี่ยเสีย!

เมื่อพวกมันพุ่งลงมาก็ยื่นมือตะปบคนหนีตายขึ้นมา ก่อนจะทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า เขี้ยวสองข้างกัดเข้าที่คอเหยื่อ ไม่กี่อึดใจร่างเหยื่อก็เหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขาดีดดิ้นอย่างบ้าคลั่งก่อนที่เลือดจะถูกสูบออกจนหมด จากนั้นมันก็โยนร่างแห้งเหี่ยวทิ้งไปอย่างไม่ไยดี

ไม่กี่นาทีเมืองที่คึกคักก็เต็มไปด้วยซากศพและเลือด

มู่เฉินที่อยู่บนท้องฟ้าก็ได้สติ ใบหน้าเขาเขียวคล้ำ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เผ่าเสี่ยเสียรวบรวมผู้ที่อยู่อาศัยบนโลกใบนี้สร้างโรงปศุสัตว์ขึ้น เริ่มเข่นฆ่าเมื่อพวกมันหิวโหยและเพลิดเพลินไปกับความกลัวความสิ้นหวังของเหยื่อในเวลาเดียวกัน…

แม้ว่าผู้คนที่นี่จะรอดชีวิต แต่พวกเขาก็ถูกเลี้ยงเป็นอาหาร

โหดร้ายทารุณยิ่งนัก!

ร่างสีแดงเข้มร่างหนึ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้าคว้าหญิงสาวที่กำลังวิ่งหนีไว้ได้ มือเย็นเฉียบของมันแตะที่แก้มของหญิงสาวคนนั้นที่ฉายความสิ้นหวังบนใบหน้า

ไม่ว่านางจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไร้ผล ร่างสีแดงเข้มเลียลำคอขาวผ่องเบาๆ พลางสูดกลิ่นก่อนที่มันจะยิ้มพร้อมกับหรี่ตา “ยังบริสุทธิ์ โชคดีอะไรแบบนี้”

ขณะที่พูดเขี้ยวแหลมคมก็วาววับกางออกพร้อมจะแทงลงบนคอขาว มันอดรนทนไม่ไหวที่จะลิ้มรสเลือดบริสุทธิ์ของสาวพรหมจรรย์แล้ว

แต่ก่อนที่เขี้ยวของมันจะฝังลงในลำคอ ทันใดนั้นหัวของมันก็ขยับไม่ได้ มือเรียวข้างหนึ่งจับหัวมันไว้แน่น

จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนที่จะปรายตามองก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปกะทันหันตะโกนเสียงลั่น “แกเป็นใคร?! กล้าดีมารบกวนนายท่านคนนี้ในการกินอาหารได้!”

ปัง!

ทว่าการตอบสนองกลับมาก็คือสมองแตกดังโพละ เลือดสาดกระเซ็นบนใบหน้าหญิงสาว

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้หญิงสาวคนนั้นตกตะลึง นางมองจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียล้มฟุบลง ลืมแม้กระทั่งเช็ดเลือดออกจากใบหน้า

แต่นางก็คืนสติในไม่ช้า ทว่าสายตาไม่มีแววความสุขเลย ตรงกันข้ามมีเพียงความสิ้นหวังเพิ่มอีกหลายส่วน นางมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับอาการตัวสั่น “เจ้าหนีไปเร็ว!”

ที่ผ่านมามีคนพยายามต่อต้านปีศาจเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่คนที่เหลือก็ยังได้รับผลกระทบจากความโกรธของเผ่าปีศาจ

ดังนั้นในความคิดนาง ครั้งนี้ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไปแล้ว

ทันใดนั้นสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียคนอื่นก็รู้สึกได้ถึงสิ่งนี้ เสียงกรีดร้องโกรธเกรี้ยวดังขึ้นในเมือง อึดใจต่อมาเงาจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่ในทิศทางของมู่เฉิน

เมื่อชาวบ้านเห็นฉากนี้ พวกเขาก็ทรุดตัวลงกับพื้น ความสิ้นหวังฉายบนใบหน้า พวกเขารู้ดีว่าหลังจากที่พวกปีศาจแยกร่างชายผู้นี้ พวกเขาก็ต้องเป็นที่รองรับความโกรธของพวกมัน…

แต่…ก็ดี การตายคงดีกว่าการมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าตาย

วาบ วาบ!

เงาสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาหามู่เฉินภายใต้สายตาด้านชาของผู้คน

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจกับเงาเหล่านั้น เขายื่นมือเช็ดเลือดบนใบหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “วางใจเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว”

พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างสีแดงเข้มที่กำลังพุ่งเข้ามาหา สายตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา แสงเย็นรวมตัวกันอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

เขาค่อยๆ ยกเท้าขึ้นและกระทืบลงไป

ตู้ม!

พายุคลื่นหลิงกวาดอาละวาดโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ส่งผลกระทบต่อชั้นฟ้าและชั้นดิน

ปัง ปัง ปัง!

ขณะที่พายุส่งเสียงหวีดหวิว เงานับหมื่นที่กำลังพุ่งเข้ามาก็แข็งค้างจากนั้นก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวัง ทว่าเมื่อเสียงของพวกมันเพิ่งจะดังออกมา ร่างกายก็กลายเป็นหมอกเลือดภายใต้คลื่นกระแทกหลิงที่น่าสะพรึงกลัว… เพียงไม่กี่สิบลมหายใจร่างสีแดงเข้มทั้งหมดก็ถูกลบออก

ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบงัน

เมื่อชาวบ้านที่เตรียมตัวตายได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็ตะลึงเป็นเวลานาน พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าปีศาจที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขาจะถูกลบออกไปอย่างง่ายดายราวกับแมลงวันภายใต้การกระทืบเท้าครั้งเดียวของชายคนนี้…

พวกเขาค่อยๆ หันหน้าไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่อยู่ภายใต้หมอกเลือด จากนั้นก็เริ่มตัวสั่น

หญิงสาวตัวสั่นก่อนที่จะคุกเข่าลงเบื้องหน้ามู่เฉิน

ในเวลาเดียวกันเสียงแหบก็ดังสะท้อน

“ท่านเทพ โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

ในสายตาของนางคนที่สามารถสังหารปีศาจทรงพลังเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากเป็นเทพแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท