หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1383

ตอนที่ 1383

ภูเขามหึมาตั้งตระหง่านระหว่างชั้นฟ้าชั้นดิน

ช่างดูยิ่งใหญ่เหลือเชื่อ เชื่อมโยงผืนดินกับผืนเมฆบนฟ้าเข้าด้วยกัน เมื่อมองจากด้านบนก็ราวกับเป็นจุดสูงสุดในโลก

นี่คือภูเขาเซิ่งหลงอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้กลับถูกย้อมจนแดงฉาน กลิ่นเลือดกระจายออกไปทำให้แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีแดง

กระทั่งสายน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาก็เป็นสีแดงเหมือนเลือดสด ทำให้สถานที่ทั้งหมดดูราวกับสถานที่เพาะบ่มปีศาจ

ในบางครั้งจะเห็นแสงสีแดงเข้มระยิบระยับมาจากภูเขา

ขณะนี้รัศมีสีแดงเข้มแผ่ซ่านไปในส่วนลึกของภูเขา ร่างเงาสามร่างยืนอยู่เบื้องหน้าเหวโดยมีรัศมีสีแดงเข้มผันผวนรอบตัว ทำให้มิติโดยรอบแปรปรวน

ในบรรดาทั้งสามคน หนึ่งในนั้นมีใบหน้าซีดขาวพร้อมสัญลักษณ์สีแดงเข้มอยู่บนหน้าผาก ซึ่งปลดปล่อยความผันผวนที่น่าสยดสยอง

ทั้งสองคนที่เยื้องไปข้างหลังก็สาดสายตาน่ากลัวราวกับหมาป่าดุร้ายพร้อมกับความเกรี้ยวกราดไร้ขอบเขตวูบไหวในดวงตา

คนที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากหันกลับมาพูดอย่างไม่แยแส “ตอนนี้แทบจะยืนยันได้แล้วว่ามีบางคนกำลังเคลื่อนไหวต่อต้านเผ่าเสี่ยเสียของเรา และพวกมันจับผู้บัญชาการทั้งสามไป”

ขณะที่พูด ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้พวกเขาจะคาดไว้ก่อนมาแล้ว แต่เมื่อได้รับการยืนยันก็ยังรู้สึกตกตะลึงไม่ได้

เพราะพวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานแล้ว จอมยุทธ์ที่นี่ไม่มีค่าในสายตาของพวกเขาเลย แต่ตอนนี้ทำไมถึงมีศัตรูทรงพลังปรากฏตัวขึ้น?

“น่าจะเป็นคนจากมหาพันภพ” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากกล่าวอย่างเย็นชา

“บ้าเอ๊ย!” ใบหน้าของอีกสองคนสั่นสะท้านขณะที่สาปส่ง ถ้าเป็นจอมยุทธ์จากมหาพันภพจริงๆ สถานการณ์ก็จะลำบากแล้ว พวกเขารู้ว่าประชากรที่อาศัยในโลกนี้ไม่มีใครเทียบได้กับมหาพันภพ ความแข็งแกร่งที่นั่นเป็นอะไรที่ไม่อาจมองข้ามได้

“แต่จากการคาดการณ์ของข้ามันน่าจะยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน อย่างมากก็มีพลังพอๆ กับเรา” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากหรี่ตาขณะที่พูดต่อ “จากสถานการณ์ที่ข้าคำนวณไว้ อีกสามคนน่าจะถูกจัดการไปทีละคนแล้ว ถ้าคนผู้นั้นเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน จะทำให้ลำบากแบบนี้ทำไม”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น อีกสองคนก็รู้สึกโล่งใจ ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องกลัว ถ้าพวกเขาสามคนรวมพลังกัน แม้แต่จอมยุทธ์ลึกลับจากมหาพันภพก็ยังต้องหวาดกลัว

“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันดี?” อีกสองคนมองไปที่ชายที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผาก

สัญลักษณ์บนหน้าผากเต้นยุบยับก่อนเขาจะพูดว่า “ออกคำสั่งเรียกระดมพลเผ่าเสี่ยเสียกลับมายังภูเขาเสี่ยหมัวทั้งหมด”

อีกสองคนตกใจก่อนที่จะพูดว่า “พี่ใหญ่แล้วเมืองที่ปกครองล่ะ?”

ผู้บัญชาการที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ดูเหมือนพวกเจ้ายังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ถ้าเราล้มเหลวเมืองเหล่านั้นจะมีประโยชน์อะไรอีก?”

“เจ้านั้นแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองตกใจไป

“ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหน เราก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด พวกเจ้าต้องจำไว้ เป้าหมายสุดท้ายของเราคืออะไร…” ผู้บัญชาการที่มีสัญลักษณ์บนหน้าผากก้มลงมองไปที่หุบเหว ที่นั่นเป็นมหาสมุทรสีแดงเข้มที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวเลือด

ในมหาสมุทรเลือดมีไข่โลหิตมหึมาลอยคว้างอยู่ซึ่งสลักด้วยลวดลายน่ากลัวทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันก็ยังเปล่งรัศมีดุร้ายราวกับว่ากำลังหล่อเลี้ยงบางสิ่งอยู่

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามมองไปที่ไข่โลหิตด้วยดวงตาลุกโชน

“เราใช้ความพยายามทุกหยาดหยดเพื่อครอบครองพิภพเขตล่างนี้อย่างลับๆ ไม่ได้แจ้งให้เผ่าอื่นทราบ เพื่อใช้เลือดของสิ่งมีชีวิตที่นี่เลี้ยงดูผู้นำของเรา เมื่อเขาถือกำเนิดขึ้นเผ่าเสี่ยเสียก็จะมีจอมปีศาจสักที!”

“ในเวลานั้นเผ่าเสี่ยเสียก็จะมีตำแหน่งที่ยืนในจักรวรรดิปีศาจ ไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนซากสัตว์!

“แผนของเรามาถึงช่วงสำคัญแล้ว ดังนั้นจะต้องไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น!”

ขณะที่พูดดวงตาก็เปล่งประกายเย็นชา ก่อนที่เขาจะหันไปหาพรรคพวกอีกสองคน “แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป ข้าแค่เตรียมการสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น สำหรับผู้บุกรุกในเมื่อมันโจมตีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ แบบลอบกัด นั่นก็หมายความว่าพลังของมันน่าจะเหนือกว่าพวกเขาเล็กน้อย ดังนั้นมันไม่กล้ามาที่ภูเขาปีศาจเสี่ยหมัวแน่”

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองพยักหน้า ตอนนี้ทั้งสามประจำการอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ไม่มีทางแยกออกจากกันแน่ ตราบใดที่จอมยุทธ์จากมหาพันภพไม่ได้อยู่ในระดับเทียนจื้อจุน การเข้ามาที่นี่ก็เท่ากับเดินเข้าสู่ความตาย

ตอนนี้พวกเขาปล่อยให้ชายคนนั้นลิงโลดไปก่อน ตราบใดที่จอมปีศาจของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นแล้ว พวกเขาจะคืนทุกอย่างให้เป็นร้อยเท่า…

ที่ราบรกร้าง

มู่เฉินและไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่บนยอดเขาโดดเดี่ยว มู่เฉินมองไปที่เมืองห่างไกลด้วยดวงตาหรี่ลง “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียเคลื่อนพลออกจากเมืองตลอดเวลา…”

“พวกมันกำลังไปรวมพลที่ภูเขาเสี่ยหมัว” ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลงหลายส่วนขณะที่พูดต่อ “ดูเหมือนว่าผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามจะจับสังเกตได้แล้ว”

มู่เฉินพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดการขาดการติดต่อของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสามคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าอีกสามคนจะโง่แค่ไหนก็ต้องระแวงบ้าง

“พวกมันรู้สึกถึงอันตราย ดังนั้นจึงเริ่มเรียกระดมพล” ไป๋ซู่ซู่ขมวดคิ้วก่อนจะหันไปหามู่เฉิน “ท่านเทพ เราจะทำยังไงดี?”

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามกำลังรอการมาถึงของมู่เฉินอย่างชัดเจน ถ้าเขาไปถึงก็จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ขึ้น

มู่เฉินยิ้ม “ทำยังไงได้ล่ะ? ก็ลุยขึ้นเขากันเลย”

เขาพูดเป็นกันเองราวกับว่าไม่ได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนอันตราย แต่ไปเพื่อกินลมชมวิว

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา กระทั่งสตรีอย่างไป๋ซู่ซู่ก็อดไม่ได้ที่เลือดจะเดือดพล่าน นางเม้มริมฝีปาก “ในเมื่อท่านเทพมั่นใจขนาดนี้ งั้นครั้งนี้พวกเราขอติดตามท่านไปด้วย”

มู่เฉินยิ้มขณะที่จะพูดเขาก็มองไปในระยะไกลด้วยความประหลาดใจ รัศมีนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่นั่นราวกับคลื่นยักษ์ถั่งโถมเข้ามายังทิศทางของเขา

มู่เฉินอึ้งเมื่อเห็นฉากนี้ คนเหล่านี้ไม่ได้มาจากเผ่าเสี่ยเสียแต่เป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ เมื่อพิจารณาจากขนาดแล้วน่าจะเป็นทุกคนที่พุ่งตรงมา

เขาหันไปมองไป๋ซู่ซู่

เมื่อนางเห็นสายตานั่นก็เม้มริมฝีปาก “ท่านเทพ สงครามครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเรา เป้าหมายของท่านคือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสาม คนที่เหลือปล่อยให้เราจัดการ ท่านเทพจะได้ไม่ต้องเสียพลังเปล่าประโยชน์”

“พวกข้าจะไม่ให้ท่านได้รับการรบกวนเด็ดขาด”

มู่เฉินขมวดคิ้ว “พวกเจ้าช่างกล้าบ้าบิ่น!”

แม้ว่าประชาชนที่นี่จะมีจำนวนมาก แต่ถ้าพวกเขาต้องต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็ต้องสู้ถวายชีวิตเลยทีเดียว

ไป๋ซู่ซู่ยิ้ม แม้ว่าน้ำเสียงจะแผ่วเบาแต่ก็ตั้งมั่น “ท่านเทพคงไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความเกลียดชังของเราที่มีต่อเผ่าเสี่ยเสียได้หรอก แม้ว่าทุกคนจะต้องตาย แต่ก็ไม่เสียใจที่จะทำ”

“ดังนั้นได้โปรดให้เราสู้ศึกครั้งนี้ด้วย”

ไป๋ซู่ซู่พูดขณะที่คุกเข่าให้มู่เฉิน

ในเวลาเดียวกันคลื่นมหาชนขนาดใหญ่ที่รวมตัวกันก็คุกเข่าพร้อมกับเสียงดังก้องไปทั่วขอบฟ้า “ท่านเทพให้พวกเราติดตามไปด้วยเถอะ!”

มู่เฉินตกอยู่ในความเงียบกับภาพนี้ เขามองเห็นความเกลียดชังในดวงตาแต่ละคู่ ชัดว่าคนส่วนใหญ่เตรียมพร้อมที่จะสู้ด้วยชีวิต

ในเวลานี้แม้เขาจะพูดให้หยุด แต่คนที่นี่ก็คงจะตามไปด้วยแน่นอน

มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ “ถ้าอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว พวกเจ้าก็ห้ามเคลื่อนไหว ตราบใดที่ข้าสามารถจัดการผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามได้ เผ่าเสี่ยเสียก็ถึงคราวล่มสลายแน่”

เขาไม่รู้ว่าถ้าจอมยุทธ์มังกรขาวที่ถูกอัญเชิญมาต้องเห็นลูกหลานตายตกตามไปทั้งหมด ในเวลานั้นจอมยุทธ์มังกรขาวจะยังคงรักษาสัญญาอยู่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามปกป้องคนให้ได้มากที่สุด

“เราจะทำตามคำสั่งของท่านเทพ!”

เสียงสะท้อนก้องออกมา สายตาที่มองมู่เฉินอัดแน่นด้วยความเคารพศรัทธา

มู่เฉินไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าไปทางไป๋ซู่ซู่ก่อนที่ร่างจะขยับกลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ตามหลังมา

ไม่กี่วันจากนั้นความเร็วของคลื่นยักษ์ก็ค่อยๆ ช้าลง…

มู่เฉินยืนเอามือไพล่หลังบนท้องฟ้า สายตามองไปที่ภูเขาใหญ่ในระยะไกล

ภูเขาลูกนั้นสูงจนสัมผัสกับก้อนเมฆราวกับว่ากำลังมองโลกใบนี้

ไป๋ซู่ซู่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่ภูเขาเซิ่งหลงที่ตอนนี้แปดเปื้อนด้วยเลือด ดวงตานางแดงก่ำ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนเรียวแขน

มู่เฉินมองไปที่ภูเขาใหญ่ก็เห็นร่างเงานับไม่ถ้วนที่มีรัศมีโลหิตอยู่รอบตัว

ขณะที่มู่เฉินมองไป ร่างเงาสีแดงเข้มสามร่างก็พุ่งออกมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งในอากาศ ขณะเดียวกันเสียงเยือกเย็นก็ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก

“ไอ้งั่ง ตอนแรกพวกข้าก็ว่าจะให้แกมีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อย ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ามาที่ภูเขาเสี่ยหมัว สวรรค์มีทางไม่ไป นรกไร้ประตูดันแส่เข้ามา”

“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย พวกข้าจะทำให้ความปรารถนาเป็นจริงเอง!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท