หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1377

ตอนที่ 1377

เมฆสีแดงเข้มกระจายออกไป

ผู้คนในเมืองตัวสั่นเทาด้วยความกลัวบนใบหน้า เงาสีแดงเข้มบนท้องฟ้ามองลงมาอย่างตะกละตะกลามราวกับว่ากำลังมองดูหมูหมาในคอก…

ภายใต้บรรยากาศสิ้นหวังระหว่างฟ้าดิน ร่างเงาชายหนุ่มก็ย่างเท้าออกจากห้องโถงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

ร่างสีแดงเข้มมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแส “แกเป็นคนล้างบางเมืองของข้าหรือ?”

มู่เฉินผงกหน้ายิ้มอ่อน “ก็แค่บี้เห็บดูดเลือดตายไปเอง”

เมื่อเขาพูด คำพูดก็ดึงดูดสายตาที่แสดงความโหดร้ายมากมายทันที จอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียจ้องมองมู่เฉินราวกับว่าพวกเขาต้องการฉีกร่างเขาออกจากกัน

ผู้คนในเมืองเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความกลัว พวกเขาไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าตอกกลับคำพูดของผู้บัญชาการปีศาจโลหิต… นั่นเป็นการดำรงอยู่ที่ราวกับเทพปีศาจเชียวนะถ้าเขาโกรธขึ้นมาละก็ แม่น้ำเลือดคงผุดขึ้นแน่นอน

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตหรี่ตาลงขณะมองมู่เฉินอย่างเย็นชา “ไม่มีใครในโลกนี้ที่กล้าพูดโอหังกับข้าเช่นนี้”

มู่เฉินยิ้มเยาะพลางส่ายหัว “ดูเหมือนว่าแกจะกดขี่พิภพเขตล่างนี้มานานเกินไป ก็แค่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสียเท่านั้น นับเป็นอะไรได้?”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘พิภพเขตล่าง’ ดวงตาของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็หดลงขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ “แกมาจากมหาพันภพเรอะ?!”

มู่เฉินตอบ “พวกแกก่อกรรมทำชั่วมากเกินไป สวรรค์จึงส่งคนมาจัดการไง”

“แค่แกเนี่ยนะ” ท่าทางเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตขณะที่ตอบว่า “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มคิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าเสี่ยเสียของข้ารึ?”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” มู่เฉินยิ้ม

ไอสังหารเลือดเย็นกะพริบในดวงตาผู้บัญชาการปีศาจโลหิต การแทรกแซงจากมหาพันภพอยู่เหนือความคาดหมาย ดังนั้นพวกเขาต้องกำจัดชายคนนี้ให้จงได้ มิฉะนั้นหากจอมยุทธ์ในมหาพันภพแห่กันเข้ามา เผ่าเสี่ยเสียถึงกาลอวสานแน่

“ฆ่ามันซะ” เขากล่าวอย่างเย็นชาต่อแม่ทัพทั้งสี่ ตัวเขานิสัยระมัดระวังอยู่แล้ว ดังนั้นเขาต้องการที่จะตรวจสอบพลังของมู่เฉินก่อนสิ่งอื่นใด

“รับทราบ!”

แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ตะโกนก้อง จากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย โดยไม่ลังเลใดๆ พวกเขากระทืบเท้าส่งร่างกลายเป็นลำแสงสีแดงเข้มสี่สายพุ่งเข้าหามู่เฉิน

ครืนๆๆๆ!

รัศมีสีแดงเข้มระเบิดออกมาจากทั้งสี่ ทำให้ฟ้าดินแปดเปื้อนไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เมื่อชาวเมืองเห็นฉากนี้ก็อดใจสั่นหวั่นไหวไม่ได้ พวกเขารู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของแม่ทัพปีศาจโลหิต ตอนนี้พวกมันสี่คนรวมกลุ่มกันแม้แต่จักรพรรดินีของพวกเขาก็ไม่ได้เหนือกว่าใดๆ

จักรพรรดินีและขุนนางน้อยใหญ่รวมตัวกันด้านนอก เฝ้าดูการเผชิญหน้าบนท้องฟ้าด้วยร่างกายที่ตึงเครียดขึ้น

เพราะพวกเขาไม่ทราบถึงพลังแท้จริงของมู่เฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แน่ใจว่ามู่เฉินจะสามารถจัดการกับแม่ทัพทั้งสี่ได้หรือไม่

หากเขาล้มเหลว… วันนี้คงเป็นวันทำลายล้างเผ่าพันธุ์แล้ว

วาบ วาบ!

ภายใต้สายตาประหวั่นพรั่นพรึงนับไม่ถ้วน ร่างสีแดงเข้มทั้งสี่พุ่งเข้าหามู่เฉิน เขาเพียงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสงบ มองดูแม่ทัพปีศาจโลหิตที่มีรัศมีรุนแรงรอบร่าง

นิ้วมือกำเข้าหากัน กำปั้นแล่นแปลบปลาบด้วยผลึกแสง

จากนั้นเขาก็เหวี่ยงหมัดออกไปโดยที่ร่างไม่ขยับ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

หมัดตกผลึกพร่างพราวขยายออกอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมาหมัดขนาดหนึ่งพันจั้งก็ทะยานออกไป หมัดทะลุผ่านมิติไปปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ

หมัดพุ่งเข้ามากะทันหัน เมื่อปรากฏเบื้องหน้าแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ พวกเขาถึงได้ตอบสนอง ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไป เสียงตะโกนดังออกเรียกกระแสน้ำสีแดงเข้มสี่สายไหลบ่าออกมาจากร่างกาย พลังโหดร้ายปะทะกับหมัดตกผลึก

ชี่ ชี่!

ทว่าเมื่อหมัดสัมผัสกับกระแสน้ำสีแดงเข้ม กระแสน้ำก็ถูกลบออกทันที ราวกับหิมะต้องลาวาอย่างไรอย่างนั้น…

ใบหน้าของแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่เปลี่ยนไปรุนแรง ความหวาดผวาผุดขึ้น พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าการโจมตีกระบวนท่านี้จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย…

ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!

“ถอยเร็ว!”

ทั้งสี่ถอยหนีกันจ้าละหวั่น

“คิดจะไปไหนเหรอ?” มู่เฉินยิ้มเยาะพร้อมกับไอสังหารแล่นพล่านในดวงตา ตัวเขาเกลียดเผ่าปีศาจต่างมิติอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ยั้งไว้แน่นอนในเมื่อโอกาสมาถึง

นิ้วสะบัด หมัดตกผลึกก็ซัดผ่านมิติกระแทกเข้ากับร่างทั้งสี่

อ๊าก!

เสียงกรีดร้องที่โหยหวนดังก้องระหว่างฟ้าดิน

หมัดตกผลึกหายไปอย่างช้าๆ ส่วนแม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ก็ถูกลบออกจากโลกนี้ ภายใต้กำปั้นไม่เหลือแม้แต่กระดูก

หมัดเดียว แม่ทัพปีศาจโลหิตทั้งสี่ไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้า

ทั่วบริเวณเงียบสงัด ผู้คนที่มีสีหน้าสิ้นหวังก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อมองฉากนี้…

แม่ทัพปีศาจโลหิตที่อยู่ยงคงกระพันปวกเปียกต่อหน้าเขาขนาดนี้จริงหรือ?

“นั่นท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่!”

เมื่อผู้คนจากเมืองเถี่ยเสี่ยเห็น ก็ส่งเสียงออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะกระจายออกไป ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหล

“เป็นเทพจริงๆ หรือนี่?”

“เขาทรงพลังมาก ซ้ำยังไม่ใช่พวกเผ่าปีศาจ จะต้องเป็นเทพแน่อน!”

“ท่านเทพมาช่วยเราใช่ไหม?”

“…”

ผู้คนที่นี่คุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นริ้วความหวังในความสิ้นหวังแล้ว

ขุนนางน้อยใหญ่ที่เบื้องหน้าวังหลวงก็พูดไม่ออกได้แต่กลืนน้ำลายลงคอเมื่อมองภาพร่างเงาชายหนุ่มบนท้องฟ้า

พวกเขาตกตะลึงกับฉากการสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตสี่คนด้วยหมัดเดียว

จักรพรรดินีก็มองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาระยิบระยับ พลังนี้เป็นสิ่งที่นางใฝ่ฝัน

ขณะที่ชาวเมืองพากันตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าของจอมยุทธ์เผ่าเสี่ยเสียก็เปลี่ยนไป พวกเขาอยู่ยงคงกระพันในโลกนี้มานานจึงสร้างความเย่อหยิ่ง แต่ตอนนี้ผลกระทบสะท้อนใส่พวกเขาเข้าบ้างแล้ว

นั่นคือสี่แม่ทัพปีศาจโลหิตนะ! แม้จะอยู่ในเผ่าเสี่ยเสีย พวกเขาก็อยู่ในลำดับชั้นที่สูง แต่กลับอ่อนแอราวกับมดปลวกที่เบื้องหน้าชายหนุ่มคนนี้

สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียฉายความกลัวบนใบหน้าขณะมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต ยามนี้แววตาอีกฝ่ายน่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อจ้องมองไปที่มู่เฉิน

พลังของชายหนุ่มคนนี้อยู่เหนือความคาดหมายเขามาก

แต่ยิ่งเป็นตัวปัญหา พวกเขาก็ยิ่งต้องฆ่าทิ้ง มิฉะนั้นจะไม่เท่ากับให้ความหวังพวกมนุษย์หน้าโง่ที่นี่หรือ?

“หึ ท่านเทพรึ? ข้าจะสังหารสิ่งที่เรียกว่า ‘ท่านเทพ’ ด้วยตัวเองภายใต้สายตาของมันทุกคน แล้วมาดูกันว่าจะมีใครกล้าที่จะกบฎต่อเผ่าเสี่ยเสียในอนาคตอีกไหม!” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตกล่าวน้ำเสียงเย็นชา ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้นจากบัลลังก์สีแดงเข้ม

เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเสียงตื่นเต้นในเมืองก็วูบลง ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทิ้งเงาน่าสะพรึงไว้ในหัวใจพวกเขา หากแม่ทัพปีศาจโลหิตอยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็จะเทียบเท่ากับเทพมาร…

แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้

ชัยชนะก่อนหน้านี้เป็นเพียงการหยั่งเชิง

แม้แต่กลุ่มขุนนางเบื้องหน้าวังยังมีใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มไป แม้ว่าการเคลื่อนไหวของมู่เฉินก่อนหน้าจะน่าทึ่ง แต่นี่ยังไม่พอ นั่นเป็นเพราะถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ ความตกตะลึงจากก่อนหน้าก็จะอันตรธานหายไปสิ้นเชิง…

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บัญชาการปีศาจโลหิตด้วยสายตาที่หรี่ลง โดยมีเจดีย์ผลึกแก้วอยู่ในดวงตา

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตย่างกรายลงมาจากเมฆสีแดงเข้มปรากฏเบื้องหน้ามู่เฉิน กอดอกพร้อมกับแสงสีแดงเข้มพล่านในดวงตา “ถ้าแกออกจากพิภพนี่ตอนนี้ ข้าจะยอมให้แกไปแบบมีชีวิตอยู่”

มู่เฉินยิ้มอ่อนแล้วยื่นมือออกไป คลื่นหลิงทรงพลังสั่นไหวราวกับสายฟ้าในฝ่ามือขณะที่เขาจ้องมองไปที่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต “งั้นข้าขอดูว่าแกมีความสามารถพอไหม”

“ดื้อด้าน รนหาที่ตาย!”

ใบหน้าของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัว ก่อนที่มือแบออก ทันใดนั้นฟ้าดินก็มืดลง มหาสมุทรโลหิตไม่มีที่สิ้นสุดกวนตัวขึ้นที่ข้างหลัง เงาสีแดงเข้มขนาดหลายหมื่นจั้งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

แรงกดดันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมฟ้าดิน ร่างเงาสีแดงเข้มทำให้มิติราวกับจะพังทลายลง…

จักรพรรดินีมองไปที่ยักษ์สีแดงเข้มก็กัดริมฝีปากจนมีเลือดไหลออก นั่นเป็นเพราะนางหวนนึกถึงว่ายักษ์ตัวนี้ฆ่าผู้อาวุโสทั้งหมดในสำนักว่าน่ากลัวเพียงใด …

ยักษ์ปีศาจนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะเผชิญหน้าได้

แม้แต่ขุนนางจอมยุทธ์ข้างหลังนางก็มีใบหน้าซีดลงใกล้จะล้มแหล่มิล้มแหล่

ทั้งฟ้าดินสั่นสะท้านเพราะยักษ์ปีศาจตัวนี้

มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “นี่เป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของแกใช่ไหม?”

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตระมัดระวังมากโดยไม่มีความที่จะหยั่งเชิงอะไร เขานำไม้เด็ดออกมาทันที

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

มู่เฉินยิ้ม แต่รอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นสักริ้ว ผลึกแสงกะพริบในดวงตาก่อนที่เจดีย์ผลึกแก้วใสจะทะยานออกมาตกลงบนฝ่ามือของเขา

“งั้นข้าก็ไม่ต้องสุภาพแล้ว…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท