หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1384

ตอนที่ 1384

ภูเขาเสี่ยหมัวกำจายกลิ่นเลือดคละคลุ้ง

ขณะที่เงาสีแดงเข้มทั้งสามยืนอยู่ในอากาศพร้อมกับรัศมีน่าสะพรึงเล็ดลอดออกมาจากร่าง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับเทพปีศาจสามคน

เมื่อผู้คนเห็นภาพเงาทั้งสาม พวกเขาก็เริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัวในสายตา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าทั้งสามคนก็คือผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเสี่ยเสีย

ในปีที่ผ่านๆ มา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าไรที่ตายในมือของพวกมัน

แต่ขณะที่ทุกคนกำลังถูกข่มโดยทั้งสามอยู่นั้น มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้อ แสงหลิงพวยพุ่งขึ้น ประหนึ่งคลื่นปกคลุมครึ่งหนึ่งของขอบฟ้า ปิดกั้นรัศมีดุร้ายที่มาจากผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามไว้

ด้วยการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่และคนที่เหลือก็รู้สึกโล่งใจ ร่างกายของพวกเขาคลายตัวก่อนที่จะมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความเคารพ

เหนือภูเขาเสี่ยหมัว ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่มีสัญลักษณ์อยู่หน้าผาก ซึ่งก็คือผู้บัญชาการใหญ่เสี่ยหมัวมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกล้าโอหังต่อหน้าข้าคนนี้หรือ? แกช่างไม่เจียมกะลาหัว!”

เมื่อพิจารณาจากความผันผวนพลังงานของมู่เฉิน เสี่ยหมัวก็รู้ถึงขุมพลังของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขาต้องประหลาดใจ โดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเทียบเท่ากับแม่ทัพปีศาจโลหิตของเผ่าเสี่ยเสีย แล้วผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามตกอยู่ในมือของมู่เฉินได้อย่างไร?

เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยมู่เฉินก็ฉีกยิ้ม “ระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็เพียงพอที่จะจัดการกับพวกแกแล้ว”

“อวดดี!”

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกสองคนตะเบ็งเสียงอย่างเย็นชาพร้อมกับจ้องมองไปที่มู่เฉิน

“พี่ใหญ่ ทำไมต้องไปคุยกับมันล่ะ? ร่วมมือกันฆ่ามันแล้วโยนอาหารทั้งหมดนี่ลงไปในอเวจีโลหิตเลยดีกว่า” สายตาดุร้ายกวาดไปยังผู้คนที่ตามมา

“ถ้างั้นก็ร่วมมือกันจัดการเจ้านี่เลย” ผู้บัญชาการใหญ่พยักหน้าอย่างไม่แยแส แม้ว่าเขาจะเยาะเย้ยมู่เฉินว่าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เขาก็ยังระวังอยู่ในใจและไม่ต้องการให้โอกาสใดกับมู่เฉิน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจต่อสู้พร้อมกัน

ตู้ม!

ลำแสงสีแดงเข้มหมื่นจั้งสามสายพุ่งทะยานจากร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสาม แรงผลักดันดังกล่าวทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ทั้งภูมิภาคนี้ตลบอบอวลด้วยกลิ่นเหม็นคาว

เมื่อทั้งสามเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันก็ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน แม้แต่ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็เปลี่ยนไปขณะที่หมัดกำแน่น นางเข้าใจว่ามู่เฉินแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก่อนหน้านี้เขาสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งมาตลอด ทว่าตอนนี้เขากลับต้องเผชิญหน้ากับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนในคราวเดียว

ฟิ้ว!

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตไม่แม้แต่จะคุยกับมู่เฉิน ออกกระบวนท่าพร้อมเพรียงกัน คลื่นพลังงานมหาศาลสามสายเดินทางผ่านมิติราวกับมหาสมุทรขนาดใหญ่กวาดไปทางมู่เฉิน

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ ปราการพลังงานปกคลุมร่างไว้

ครืน!

มหาสมุทรขนาดใหญ่กระแทกเข้ากับปราการ พลังที่น่ากลัวดูราวกับพยายามจะฉีกสวรรค์และโลกออกจากกัน

เมื่อผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสามเห็นฉากนี้ รอยยิ้มน่ากลัวก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้ว่าการโจมตีของพวกเขาอาจดูธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ออมมือ มหาสมุทรเลือดที่น่าสะอิดสะเอียนสามารถกัดกร่อนคลื่นหลิงได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าไม่ช้ารอยยิ้มของพวกเขาก็แข็งค้าง เนื่องจากพวกเขาเห็นผลึกแสงพล่านออกมา ทำให้มหาสมุทรเลือดจางลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะสลายไป

เมื่อทั้งสามเห็นฉากนี้ดวงตาก็หดลง

จุดที่มู่เฉินอยู่ก่อนหน้า แสงตกผลึกก่อตัวขึ้นเป็นปราการห่อหุ้มเขาไว้ภายใน ที่ด้านข้างมิติบิดเบี้ยว ร่างเงาสองร่างปรากฏขึ้นมา

ร่างเงาสองร่างสวมชุดสีดำและสีขาวมีรูปลักษณ์เหมือนกับมู่เฉินทุกประการ สิ่งที่ทำให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตตกตะลึงก็คือความผันผวนของคลื่นหลิงเหมือนกับมู่เฉินเปี๊ยบเลย

“นั่นคือร่างดวงจิตรึ? แต่ทำไมพวกมันทรงพลังพอๆ กับร่างหลักล่ะ?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งร้องออกมา ดูท่าเขาคงมีความเข้าใจพอสมควรเกี่ยวกับเคล็ดวิชาของมหาพันภพ

ใบหน้าของผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิตก็ดิ่งลง ก่อนที่เสียงจะเปลี่ยนเป็นน่ากลัว “มิน่าล่ะไอ้ตัวนี้ถึงกล้ามาที่ภูเขาเสี่ยหมัวของเรา มันมีความสามารถอยู่จริงๆ”

“พี่ใหญ่ตอนนี้ทำยังไงดี?” ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนหนึ่งถามขึ้น แบบนี้ไม่ใช่ว่าความได้เปรียบด้านจำนวนของพวกเขาก็หายไปแล้วหรือ?

ใบหน้าของผู้บัญชาการใหญ่มืดครึ้ม ก่อนที่สายตาจะกะพริบเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าไม่เชื่อว่าร่างดวงจิตของมันจะทรงพลังเท่าร่างหลัก ทิ้งร่างหลักไว้ให้ข้า พวกเจ้าสองคนไปจัดการกับร่างเสมือนพวกนัน้ให้เรียบร้อยซะแล้วมาช่วยข้าจัดการมัน!”

“รับทราบ!”

ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองพยักหน้า เนื่องจากพวกเขาก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน ท้ายที่สุดทักษะที่แยกร่างเสมือนซึ่งไม่ได้ลดพลังก็ยากที่จะเห็นกระทั่งในเผ่าเสี่ยเสียเอง แล้วจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะครอบครองทักษะเช่นนี้ได้อย่างไร?

ร่างของพวกเขาขยับกลายเป็นริ้วแสงสีแดงเข้มพุ่งออกมา

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นก็เห็นฉากเบื้องหน้าก่อนที่เขาจะยิ้มพลางพยักหน้าให้กับร่างรองทั้งสอง

มู่เฉินชุดดำและชุดขาวหัวเราะร่วนแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งหน้าไปในสองทิศทางที่แตกต่างกันโดยมีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองติดตามไปกระชั้นชิด

จากนั้นมู่เฉินชุดดำก็โบกมือ แหวนปรากฏขึ้น อึดใจต่อมาร่างเงานับไม่ถ้วนก็ทะยานออกมายืนอยู่ข้างหลังเขา

ตู้ม!

รัศมีจั้นยี่ขนาดใหญ่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

นักรบหลายพันคนยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินชุดดำส่งเสียงคำราม ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตก็บินฉวัดเฉวียนบนท้องฟ้า ราวกับมหาสมุทรปลดปล่อยพลังอันทรงประสิทธิภาพ

นี่คือกองทัพมังกรดำ

มู่เฉินชุดดำยืนอยู่ท่ามกลางกองทัพ นั่งลงในมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่พลางยิ้มอ่อนให้ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตที่ฉายความตกตะลึงบนใบหน้า เขาสะบัดแขนเสื้อ รัศมีจั้นยี่ก็พุ่งออกมาพร้อมกับพลังน่ากลัวกวาดใส่ผู้บัญชาการปีศาจโลหิต

อีกมุมสมรภูมิสัญลักษณ์หลิงยิ่งพลุ่งพล่านออกมาจากแขนเสื้อของมู่เฉินชุดขาวแล้วรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม ผนึกนับไม่ถ้วนยิงออกไปก่อนจะถักทอเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างผู้บัญชาการปีศาจโลหิตอีกคนไว้ภายใน

เมื่อไป๋ซู่ซู่และชาวโลกเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ตะลึงลานไป พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะมีทักษะที่ทรงพลังเช่นนี้ แค่ร่างรองของเขาสองร่างก็สามารถดักจับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตสองคนได้

“จั้นเจิ้นซือ? หลิงเจิ้นซือ?!”

ขณะที่พวกเขาตกตะลึง ใบหน้าของเสี่ยหมัวก็ดูน่าเกลียดไป ตอนนี้เขาต้องเชื่อแล้วว่าร่างรองทั้งสองของมู่เฉินมีพลังการต่อสู้ที่ไม่แพ้ร่างหลักเลย

“พวกเจ้าก่อการในโลกนี้มานาน วันนี้ถึงเวลาที่ต้องชดใช้ด้วยเลือดบ้างแล้ว” มู่เฉินมองไปที่ผู้บัญชาการใหญ่ปีศาจโลหิต ไม่มีริ้วกระเพื่อมในสายตาของเขาเลย

“พูดจาใหญ่โตจริง เมื่อไรที่ข้าสังหารร่างหลักได้ร่างดวงจิตของเจ้าก็จะแตกสลาย” เสี่ยหมัวยิ้มน่าขนลุกก่อนที่แสงสีแดงจะวูบไหวในดวงตา อึดใจเขาก็อ้าปาก แม่น้ำเลือดไหลทะลักออกมาจากร่างกายจากนั้นก็กลายเป็นมหาสมุทรแผ่กระจายไปทั่วขอบฟ้า

“โฮก!”

มหาสมุทรสีเลือดพลุ่งพล่าน จากนั้นเสียงคำรามดุร้ายก็สะท้อนออกมา อึดใจถัดมามหาสมุทรเลือดก็ถูกฉีกออกจากกัน สัตว์ปีศาจขนาดมหึมาคืบคลานออกมา

สัตว์ปีศาจนี้มีสีแดงเข้มเต็มไปด้วยไอร้ายกาจรอบตัว แม้ว่าจะดูเหมือนลิงยักษ์ แต่กลับมีสามหัว ใบหน้าดุร้าย ราวกับสุนัขสามหัวที่เฝ้าประตูนรก

โฮก!

เมื่อสัตว์ปีศาจตัวนั้นปรากฏขึ้น มันก็กู่คำรามไปบนท้องฟ้า ความดุร้ายอัดแน่นในเนื้อเสียงคำรามของมันก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน ทันใดนั้นมันดูดปากลูกกลมสีแดงเข้มหลายหมื่นจั้งก็รวมอยู่ในปาก ก่อนที่จะยิงมาทางมู่เฉิน

มู่เฉินหดดวงตากับภาพนี้ เขารู้สึกว่าถูกสัตว์ปีศาจตัวนี้คุกคาม ดังนั้นจึงทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น ผู้บัญชาการใหญ่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ที่ได้สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนที่เขาเคยพบมา

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือวาดตราประทับ แสงสีม่วงทองระเบิดออกที่ด้านหลังกลายเป็นร่างขนาดใหญ่

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้น รหัสเทพอมตะนับร้อยก็ระเบิดออกรวมตัวกันเป็นตาข่ายสีม่วงทองขนาดใหญ่

ปัง!

ลูกกลมสีแดงเข้มยิงเข้ามาทำลายมิติในเส้นทางผ่านจากนั้นก็กระแทกเข้ากับตาข่ายด้วยพลังที่น่ากลัว

พลังนั้นทำให้ตาข่ายถูกบีบอัด แต่ถึงอย่างนั้นลูกกลมก็ยังคงเคลื่อนไปยังทิศทางของมู่เฉิน

มู่เฉินไม่ได้ขยับ แต่มองไปที่ลูกกลมที่เคลื่อนมาหาด้วยความไม่แยแส ขณะที่ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ เกือบอุทานด้วยความกังวลใจ ในที่สุดลูกกลมก็ถูกสลายแรงกระแทกเมื่อห่างจากมู่เฉินออกไปเพียงหนึ่งจั้ง

ลูกกลมถูกผูกรัดด้วยตาข่ายมหึมา หยุดชะงักเบื้องหน้ามู่เฉิน

มู่เฉินค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วสะบัดนิ้ว

ฮึ่ม!

ตาข่ายสีม่วงทองสั่นและหดตัวทันที ก่อนที่ลูกกลมจะบินกลับไปชนร่างสัตว์ปีศาจในพริบตา

โฮก!

สัตว์ปีศาจคำราม พลองหนึ่งพันจั้งก็ควบแน่นจากมหาสมุทรสีแดงเข้มขณะที่ควงสว่านลงมา มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ลูกกลมสีแดงก็แตกออกใต้พลอง

คลื่นกระแทกที่น่ากลัวแผ่ออกมา ส่งเสียงดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก

“หึ มีความสามารถใช้ได้” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินรับการโจมตีได้ แสงสีแดงเข้มในดวงตาของเสี่ยหมัวก็หนาแน่นขึ้นก่อนที่จะร้องตะโกน “งั้นข้าจะให้แกได้ลิ้มรสว่าปีศาจล้างโลกของเผ่าเสี่ยเสียน่ากลัวแค่ไหน!”

โฮก!

เมื่อเสี่ยหมัวพูดจบ สัตว์ปีศาจร่างแดงก่ำก็เปล่งเสียงคำรามแหลมคม คลื่นเสียงที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากระจายออกไป สัตว์ปีศาจควงพลองเปลี่ยนเป็นแสงสีแดงพุ่งเข้าหาร่างเทพสุริยะนิรันดร์พร้อมกับรัศมีทำลายล้าง ราวกับว่ามันต้องการทำลายทุกสรรพชีวิตทั้งหมดในโลก

เมื่อมองไปที่สัตว์ปีศาจ ใบหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน ก่อนที่เขาจะวาดตราประทับอีกครั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ใต้เท้าระเบิดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วน รหัสเทพอมตะควบแน่นเป็นหอกสีทองยาวหนึ่งพันจั้ง

หอกหมุนคว้าง ประกายแสงสีทองราวกับดวงอาทิตย์ลุกโชติช่วง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์พุ่งออกมาปะทะกับสัตว์ปีศาจเต็มกำลังภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน

ในเวลาเดียวกันเสียงเย้ยของมู่เฉินก็ดังก้องไปทั่วขอบฟ้าราวกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง

“วันนี้ข้าจะดูว่าสัตว์ปีศาจของแกหรือร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของข้า ใครแน่กว่ากัน!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท