หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1380

ตอนที่ 1380

น้ำชาพ่นฝอยลอยเบื้องหน้ามู่เฉิน

ก่อนที่ละอองน้ำจะตกลงบนร่างไป๋ซู่ซู่ ทำให้ร่างกายนางสั่นสะท้านไปใหญ่ นางรู้สึกอับอายมากกับการทำเช่นนี้ แต่นางก็อดทนกัดฟันแน่น เนื่องจากนางรู้ว่าความหวังของโลกใบนี้อยู่ที่ชายหนุ่มที่เบื้องหน้านาง

หากเขาสามารถสอนพลังนั้นให้พวกนางได้ ความสิ้นหวังก็จะต้องหมดไป

ดังนั้นนางจึงคุกเข่าเบื้องหน้ามู่เฉินต่อไปราวกับแกะน้อยที่เชื่อฟังพร้อมกับผิวเปล่งประกาย

มู่เฉินลูบคราบชาออกจากคางขณะที่ควบคุมสายตาแล้วกระแอมไอ “รีบสวมเสื้อผ้าของเจ้าเร็วๆ”

เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็กัดฟันตัวสั่น “โปรดทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงด้วยท่านเทพ!”

มู่เฉินโบกมือเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นคลุมร่างไป๋ซู่ซู่ก่อนที่เขาจะก้มหัวลง “ข้าไม่สามารถสอนพลังให้พวกเจ้าได้จริงๆ”

เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของมู่เฉินใบหน้าของไป๋ซู่ซู่ก็ซีดลง ทว่านางไม่กล้าที่จะทำให้มู่เฉินโกรธ จึงได้เพียงแค่ลุกขึ้นยืนเฉยๆ

แม้ว่าเสื้อผ้าจะปกคลุมร่างกายส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีรอยบางๆ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้า

“แม้ว่าข้าจะสอนวิธีการเพาะบ่มพลังไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำลายเผ่าเสี่ยเสียในโลกนี้ให้หมดสิ้นก่อนที่จะจากไป” มู่เฉินกล่าวอย่างเคร่งขรึมขณะมองไปที่ไป๋ซู่ซู่

สีหน้าของไป๋ซู่ซู่เริ่มดีขึ้น แต่นางยังคงมองมู่เฉินด้วยสายตาน่าสงสาร “ท่านเทพดูถูกข้าหรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เพื่อมนุษยชาติข้าจะไม่ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียแม้จะต้องตาย”

มู่เฉินส่ายหน้าตอบกลับ “ตรงกันข้ามข้าชื่นชมเจ้าหลายส่วนเลย”

นางเป็นสตรีบอบบาง แต่กลับยอมทำถึงขนาดนี้ ซ้ำยังยอมคุกเข่าร้องขอเพื่อราษฎร เพียงแค่นี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาชื่นชมนางมาก

เมื่อเห็นสายตาจริงใจของมู่เฉินหัวใจของไป๋ซู่ซู่ก็สั่นไหว นางรู้สึกถึงรสเปรี้ยวก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ที่ผ่านมานางมุ่งมั่นต่อหน้าทุกคน แต่ยามนี้นางได้ลบภาพนั้นออก เปิดเผยตัวตนแท้จริงออกมา

“ขอบคุณ” นางขอบคุณมู่เฉินสำหรับความเข้าใจที่มี

มู่เฉินพยักหน้า “เจ้าต้องเชื่อข้า ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง แต่ไม่มีทางจริงๆ”

ไป๋ซู่ซู่รู้สึกผิดหวัง แต่นางก็พยักหน้าก่อนที่จะยิ้มให้มู่เฉินพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านเทพก็สูญเสียโอกาสที่ดีไป”

“แน่นอนว่าถ้าท่านเทพสนใจก็สามารถจีบข้าได้นะ ข้ามีคนไล่จีบมากมาย เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ท่านได้เปรียบกว่าหลายส่วน”

เมื่อได้ยินคำพูดก๋ากั่นของนาง มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้ง นางยั่วเขาอยู่เหรอเนี่ย?

“แฮ่ม มาพูดถึงเรื่องหลักกันดีกว่า” มู่เฉินทนการยั่วของไป๋ซู่ซู่ไม่ได้ เขาจึงกระแอมไอเปลี่ยนหัวข้อ

เมื่อเห็นท่าทางน่าอึดอัดของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ปิดปากหัวเราะเบาๆ พร้อมดวงตางดงามพราวระยับ ชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจเลยทีเดียว เขาทรงพลังมาก แต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจในตัวเอง ไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งอื่น

ไป๋ซู่ซู่เข้าใจถึงความเย้ายวนที่นางครอบครองและนางก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วจากผู้ติดตามทั้งหมดที่มี

แต่ทั้งที่มู่เฉินสามารถกลืนกินนางได้มากเท่าที่ต้องการ ตั้งแต่นางเลือกเปลือยกายเบื้องหน้าเขา ไป๋ซู่ซู่รู้สึกได้ว่ามู่เฉินมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับผู้ชายทุกคน แต่เขายับยั้งตัวเองไว้ได้

เมื่อคนคนหนึ่งมีพลังถึงระดับที่สามารถเพิกเฉยต่อกฎทั้งหมด น้อยมากที่จะเห็นคนคนนั้นยังมีความอดทนอดกลั้นเช่นนี้

ดังนั้นไป๋ซู่ซู่จึงรู้สึกว่ามู่เฉินน่าสนใจยิ่งนัก

“ท่านเทพ มีผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งหมดหกคนในเผ่าเสี่ยเสีย แต่ตอนนี้เหลือแค่ห้าแล้ว” ไป๋ซู่ซู่รินชาให้มู่เฉินอีกครั้งขณะที่เริ่มอธิบาย

“ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตจากสามในห้าอยู่ที่ภูเขาเสี่ยหมัว ขณะที่อีกสองคนอยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก”

ดวงตาของมู่เฉินสว่างวาบ ผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งห้าไม่ได้รวมตัวกัน ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา

เขามองไปที่ไป๋ซู่ซู่ “ถ้าสู้ตัวต่อตัว ข้าสามารถจัดการกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้ แต่ถ้าพวกเขาทั้งห้ารวมกลุ่มกันละก็ สถานการณ์หายนะแน่”

“ดังนั้นถ้าอยากรับประกันชัยชนะ เราต้องลดจำนวนพวกเขาให้เหลือสามคน”

ใบหน้าของไป๋ซู่ซู่เคร่งเครียดลง “ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองที่กำลังลาดตระเวนทั่วโลกก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด”

“ท่านเทพ ข้าจะออกคำสั่งให้ปิดข้อมูลทั้งหมด จะไม่ยอมให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไป แต่จากการประมาณการข้าสามารถปิดข้อมูลได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นผู้บัญชาการปีศาจโลหิตคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นการหายตัวไปของพรรคพวก”

“ครึ่งเดือน…” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาไม่มีข้อมูลการเดินทางที่แน่นอนเกี่ยวกับผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสอง ดังนั้นหากเขาตามหา ครึ่งเดือนอาจไม่เพียงพอ

“ท่านเทพ มอบหน้าที่ติดตามผู้บัญชาการปีศาจโลหิตทั้งสองไว้กับข้าเถอะ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อค้นหาเส้นทางของพวกเขา” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหวาน

“โอ้?” มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจมองไปที่ไป๋ซู่ซู่ เขาไม่คิดมาก่อนว่าพวกนางจะสามารถค้นหาร่องรอยของผู้บัญชาการปีศาจโลหิตได้

เผชิญหน้ากับสายตาประหลาดใจของมู่เฉิน ไป๋ซู่ซู่ก็ยิ้มขมขื่น “เรามีประชากรจำนวนมากที่อยู่ภายใต้เผ่าเสี่ยเสีย ทุกคนต้องทนทุกข์กับความอัปยศอดสูเพื่อให้ข้อมูลแก่เรา”

มู่เฉินเงียบไป เขารู้ว่ามีราคาที่ต้องจ่ายสำหรับข้อมูลเหล่านั้น

“ท่านเทพลังเลทำไม? ตราบใดที่เราสามารถกำจัดเผ่าเสี่ยเสียและปล่อยให้มวลมนุษยชาติอยู่ในโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรี เราก็ไม่กลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความตาย” ไป๋ซู่ซู่ยิ้มหลังจากเห็นความลังเลของมู่เฉิน

มู่เฉินถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก มีการเสียสละเพื่อภาพรวมเสมอ ดังนั้นการพยายามทำให้สมบูรณ์แบบคือความคิดแบบเด็กๆ

“ข้าจะฝากข้อมูลให้เจ้า ส่วนผู้บัญชาการปีศาจโลหิตก็ทิ้งไว้ให้ข้าได้เลย” มู่เฉินกล่าวช้าๆ

ไป๋ซู่ซู่ยิ้มก่อนที่จะก้มลงมองผิวเป็นจ้ำบนหน้าอก นางก็ยิ้ม “เวลาแบบนี้ ท่านดูทรงพลังนัก”

มู่เฉินส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพูดต่อ “ข้าต้องการความช่วยเหลืออีกเรื่อง”

“โปรดบอกมา” ไป๋ซู่ซู่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ้อยอิ่งขณะที่ลูบปอยผมพลางยิ้ม “ตราบใดที่เจ้าประสงค์ แม้ร่างกายของข้าก็เป็นของเจ้า ข้าจะไม่คร่ำครวญอะไรแน่นอน”

มู่เฉินไม่สนใจประโยคของนาง เขาโบกมือ แสงหลิงก็พุ่งออกจากหว่างคิ้วก่อนที่ถักทอเป็นหน้าจอแสงที่มีรูปภาพอยู่ในนั้น

นี่เป็นโลกที่มีกระแสสีแดงเข้มพลุ่งพล่าน ภาพเงาจำนวนมากทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าบนยอดเขา จุดนั้นมีหลุมวนมิติปรากฏขึ้น

จากนั้นร่างแสงเหล่านั้นก็หายเข้าไปภายใต้การไล่ล่าของร่างแสงสีแดงเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน

มู่เฉินได้รับภาพเหล่านี้มาจากจอมยุทธ์มังกรขาว นี่คือภาพการหลบหนีออกไปของพวกเขา

มู่เฉินไม่รู้จักโลกนี้ เขาหวังว่าไป๋ซู่ซู่จะจดจำสถานที่ที่พรรคพวกจอมยุทธ์มังกรขาวออกไปได้ ตามการคาดเดา เขาน่าจะสามารถเรียกจิตวิญญาณของจอมยุทธ์มังกรขาวได้ที่นั่น และจะรู้ว่าที่เรียกว่า ‘โอกาส’ คืออะไรกัน

“ข้าอยากรู้ว่าสถานที่นี้อยู่ที่ไหนหรือ” มู่เฉินชี้ไปที่หน้าจอแสงก่อนจะหันไปมองไป๋ซู่ซู่

ทว่าเมื่อหันหน้าไปเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบแก้มของไป๋ซู่ซู่ นางอึ้งไปขณะมองหน้าจอแสง

“เกิดอะไรขึ้น?” มู่เฉินขมวดคิ้ว

“ท่านเทพมีภาพเหล่านี้ได้อย่างไร?!” ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาขณะที่พูดตะกุกตะกัก

มู่เฉินยักไหล่ “ข้ามาที่นี่เพราะคำขอร้องของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ทำไมหรือ? เจ้ารู้จักพวกเขาไหม”

ไป๋ซู่ซู่เช็ดน้ำตาออกขณะที่พึมพำ “พวกเขาไม่ได้ทอดทิ้งเรา…”

นางเงยหน้าขึ้นพยักหน้าไปทางมู่เฉิน

“ท่านเทพ พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของข้า”

“ภูเขาลูกนี้มีชื่อภูเขาเซิ่งหลง แต่ตอนนี้ถูกเรียกว่าภูเขาเสี่ยหมัวซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าเสี่ยเสีย!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท