หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1375

ตอนที่ 1375

ในเทือกเขาหนาทึบ

มองเห็นภาพผู้คนมากมายกำลังวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิงพร้อมกับสีหน้าหวาดกลัว บางครั้งพวกเขาจะมองไปข้างหลังด้วยความกังวลว่าปีศาจอาจไล่ตามมา…

นี่ก็คือกลุ่มชาวบ้านที่มู่เฉินได้ช่วยปลดปล่อยให้เป็นอิสระ หลังจากออกจากเมืองได้ ทุกคนก็เร่งรีบเดินทางเพราะกลัวว่าจะถูกเผ่าเสี่ยเสียจับไปอีกครั้ง

ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางตลอดโดยไม่หยุดพัก แม้ว่าจะมีบางคนตามไม่ทัน แต่กลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลง…

บนท้องฟ้าที่ทุกคนกำลังหลบหนี มู่เฉินยืนอยู่พร้อมกับถอนพลังงานกลับ เขาซ่อนตัวขณะที่จ้องมองชาวบ้านกลุ่มนี้

จากการสังเกตเขาบอกได้เลยว่าคนเหล่านี้มีเป้าหมาย พวกเขาดูเหมือนจะรู้สถานที่ที่ต้องไป

“พวกเขาจะไปที่ที่มี ‘จักรพรรดินี’ หรือ?”

มู่เฉินพึมพำขณะที่รู้สึกประหลาดใจ หรือว่าพลังของผู้คนในพิภพเขตล่างส่วนนี้สามารถป้องกันตัวเองได้?

ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเป็นไปได้ แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ภายใต้การปกครองของเผ่าเสี่ยเสียทำไมกลุ่มชาวบ้านยังสามารถรวมกลุ่มกันได้?

ด้วยข้อเท็จจริงนี้เขาจึงไม่แสดงตัว เลือกที่จะแอบตามไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากเขาต้องการเห็น ‘จักรพรรดินี’ ภายใต้การนำของพวกเขา

แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะได้รับข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดินี’ มู่เฉินไม่คิดที่จะพูดคุยกับพวกเขา ตอนนี้เขาต้องระมัดระวังในเมื่อมาอยู่ในดินแดนของเผ่าเสี่ยเสียโดยลำพัง

เมื่อความคิดวาบผ่านมู่เฉินก็ก้มศีรษะลงมองผู้คนที่กำลังเดินทาง…

การเดินทางดำเนินไปสองวัน ในที่สุดมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าพวกชาวบ้านชะลอตัวลง และเขาก็หดดวงตาเมื่อมองออกไประยะไกล

เนื่องจากเขามองเห็นเมืองตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังเทือกเขาไม่มีที่สิ้นสุด ความมีชีวิตชีวาล้อมอยู่ในกำแพงสูงด้านใน

เมื่อมองคร่าวๆ มู่เฉินก็มองไม่เห็นด้านปลายของเมือง ตามการคาดการณ์ของเขาต้องมีผู้อยู่อาศัยอย่างน้อยนับร้อยล้านคนที่นั่น

สิ่งนี้ทำให้เขาสะดุ้งโหยง เผ่าเสี่ยเสียปล่อยให้มีเมืองขนาดมหึมาเช่นนี้จริงหรือ?

ขณะที่มู่เฉินกำลังตะลึงงัน ชาวบ้านที่เดินทางมาถึงก็ร้องด้วยความตื่นเต้น พวกเขาพุ่งไปที่เมือง

เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ก็มีเงาร่างหลายร้อยตัวทะยานออกมากีดขวางเส้นทางไว้

“พวกเจ้ามาจากไหน?!” เงาเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นทหารรักษาการณ์ พวกเขามองชาวบ้านมากมายที่เข้าใกล้ก็ตะโกนถาม

“เรามาจากเมืองเถี่ยเสี่ย” หญิงสาวที่มู่เฉินช่วยไว้ก่อนหน้าเดินออกมา ตอบกลับเสียงดัง

“เมืองเถี่ยเสี่ย?” ทหารมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจก่อนที่จะถามว่า “นั่นคือเมืองที่มีแม่ทัพปีศาจโลหิตคุมอยู่ พวกเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร?”

หญิงสาวตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านเทพลงมาจากสวรรค์ฆ่าสมาชิกเผ่าเสี่ยเสียในเมืองเถี่ยเสี่ยจนหมด แม้แต่แม่ทัพปีศาจโลหิตก็ถูกสังหารด้วยฝ่ามือเดียว!”

ทหารทุกคนตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะตอกกลับอย่างขุ่นเคือง “พูดบ้าอะไร!”

พวกเขารู้ชัดถึงพลังของเผ่าเสี่ยเสียที่น่ากลัว พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้ สำหรับแม่ทัพปีศาจโลหิตก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร แต่หญิงสาวคนนี้กลับบอกว่ามันถูกฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียว? น่าตลกยิ่งนัก!

ทว่าเผชิญหน้ากับเสียงตะโกนกระโชกโฮกฮาก ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เข้ามาเป็นพยาน อารมณ์ตื่นเต้นที่พวกเขาแสดงออกทำให้เหล่าทหารตกใจ

“หัวหน้าหรือว่าที่พวกเขาพูดเป็นความจริง?” ทหารคนหนึ่งหันไปพูดกับหัวหน้า

หัวหน้าขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าไม่จริง แต่ก็มีคนจำนวนมากพูดเป็นเสียงเดียว หรือว่าเป็นอย่างที่พวกเขาพูดจริงๆ?

“ถ้านี่เป็นเรื่องจริง เราต้องรีบรายงานตรงต่อจักรพรรดินีทันที”

สายตาของหัวหน้าเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะโบกมือ “ปล่อยพวกเขาเข้าไป”

ขณะเดียวกันเขาก็หันไปมองหญิงสาว “เจ้าตามข้าไปรายงานข่าวต่อจักรพรรดินี!”

เขาหันกลับ ประตูเมืองที่อยู่เบื้องหลังก็เปิดออก คนด้านนอกส่งเสียงโห่ร้องดีใจทันที

ที่ใจกลางเมืองมีวังหลวงตั้งตระหง่าน

หลังจากที่หัวหน้าทหารรักษาการณ์รายงานเรื่องนี้ เสียงระฆังก็ดังไปทั่ววัง…

ในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้ที่มีตำแหน่งสูงทั้งหมดของเมืองนี้ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

มู่เฉินซ่อนตัวขณะกวาดสายตามองรอบโถง เขาตกใจวูบหนึ่งเมื่อเห็นทุกคนเปล่งความผันผวนที่ไม่อ่อนแอออกมา แน่นอนว่าคำว่าไม่อ่อนแอคือเมื่อเทียบกับกลุ่มชาวบ้าน…

แต่ก็มีบางส่วนที่มีพลังแข็งแกร่ง ตามการประเมินอาจใกล้เคียงกับแม่ทัพปีศาจโลหิตแล้ว

ในมหาพันภพมาตรฐานขุมพลังของพวกเขาน่าจะเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ตี้จื้อจุนขั้นปลาย

แต่… เขาสังเกตเห็นว่าในร่างคนเหล่านี้มีรัศมีเย็นยะเยือกซ่อนอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นของเผ่าเสี่ยเสีย

“ในร่างมีพลังของเผ่าเสี่ยเสีย…” มู่เฉินหรี่ตาลง แม้ว่าเมืองนี้จะดูเป็นอิสระ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การจับจ้องของเผ่าเสี่ยเสีย

“ถวายบังคมองค์จักรพรรดินี!”

ขณะที่มู่เฉินทำการสำรวจระดับพลังของจอมยุทธ์ที่นี่ เสียงดังก้องก็สะท้อนภายในวัง ทุกคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

มู่เฉินรับรู้ถึงภาพเงาในชุดสีขาวย่างกรายออกมา สิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจก็คือคนที่ถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดินี’ กลับกลายเป็นสาวงาม…

รูปลักษณ์ของหญิงสาวทรงเสน่ห์มาก นางมีผิวขาวจัด รูปร่างยั่วยวนเผยส่วนโค้งเว้าชัดเจน ความทรงอำนาจในดวงตาทำให้เกิดแรงกดดัน

แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจยิ่งกว่านั้นไม่ใช่อายุและรูปลักษณ์ของนาง แต่เป็นความผันผวนที่มาจากนาง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแม่ทัพปีศาจโลหิตเลย

“นางไม่มีรัศมีเย็นเยือกของเผ่าเสี่ยเสีย นั่นหมายความว่าพลังของนางมาจากตัวเองรึ? แต่พลังของนางไม่ถือว่าเสถียร น่าจะมาจากแหล่งภายนอกด้วยส่วนหนึ่ง…”

มู่เฉินอุทานในใจ เขาเกิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับสตรีนางนี้ เนื่องจากเขารู้ชัดว่าโอกาสและพรสวรรค์ใดที่ต้องมีเพื่อให้มีพลังเช่นนี้ในพิภพเขตล่าง…

ถ้าเขาเดาถูกแล้ว หญิงสาวคนนี้น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกพิภพเขตล่างใบนี้

ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะที่ใด จะมีคนที่โดดเด่นก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือเมื่อเผ่าพันธุ์กำลังเผชิญกับการถูกฆ่าล้าง…

ขณะที่มู่เฉินอุทานชื่นชม หญิงสาวชุดขาวก็นั่งลงและมองไปที่หญิงสาวที่คุกเข่าจากนั้นพูดเบาๆ “ช่วยบอกข้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเถี่ยเสี่ยอย่างละเอียดได้ไหม?”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวในชุดขาวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกนี้ได้รับการปฏิบัติเหมือนปศุสัตว์ จอมยุทธ์หญิงคนนี้ก็ยืนหยัดรักษาที่หลบภัยสุดท้ายของมวลมนุษยชาติ

ภายใต้ช่วงเวลาที่สิ้นหวัง เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีกี่คนที่ปฏิบัติกับหญิงสาวคนนี้ในฐานะพระโพธิสัตว์

“จักรพรรดินีสิ่งที่พวกข้าพูดคือความจริง มีท่านเทพยาตราลงมาจากสวรรค์ด้วยพลังสุดยอด เขาสามารถสังหารแม่ทัพปีศาจโลหิตของเมืองเถี่ยเสี่ยได้ด้วยฝ่ามือเดียว” หญิงสาวพูดด้วยความตื่นเต้น

เมื่อเสียงกระจายออกไปก็ทำให้เกิดความโกลาหลโดยรอบ

แม้แต่หญิงสาวชุดขาวยังเผยความสั่นไหวบนใบหน้า เนื่องจากตัวนางรู้ชัดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แม่ทัพปีศาจโลหิตครอบครอง แม้ว่านางจะสามารถเอาชนะพวกมันได้ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าได้ในกระบวนท่าเดียว

“หึ ท่านเทพยิ่งใหญ่อะไรกัน หลอกตัวเองกันชัดๆ!”

ทว่าขณะที่บรรยากาศในห้องโถงกำลังตกตะลึง เสียงเยาะเย้ยก็เปล่งออกมาจากชายชราหน้าตาน่ากลัว

“ข้าว่าตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นท่านเทพอะไร แต่เราจะเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสียอย่างไร?!” ชายชราคนนั้นมองไปรอบๆ จากนั้นก็หันไปมองจักรพรรดินี “สมาชิกเผ่าเสี่ยเสียพร้อมกับแม่ทัพปีศาจตายเป็นเบือ งานนี้เผ่าเสี่ยเสียไม่ปล่อยให้เรื่องนี้สงบลงอย่างแน่นอน พวกมันจะต้องสอบสวนเรื่องนี้แน่!

“ดังนั้นข้าขอแนะให้ส่งคนเหล่านี้กลับไปและสังเวยประชาชนเพิ่มอีกห้าล้านคนเพื่อให้พวกมันสงบ มิฉะนั้นดินแดนอุดมรัฐสุดท้ายของเราจะถูกทำลายล้างภายใต้ความโกรธเกรี้ยว!”

“ท่านเสนาบดีใหญ่พูดถูก เราต้องรีบจัดการกับความโกรธเกรี้ยวของเผ่าเสี่ยเสีย คนเหล่านี้ต้องถูกส่งมอบกลับไปทั้งหมด” เมื่อชายชราพูด เสียงสามเสียงก็ดังขึ้นสนับสนุน พวกเขาเป็นชายวัยกลางที่มีแสงสีแดงเข้มบางจางพล่านในดวงตา

เสียงเหล่านี้ทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงหลายคนใบหน้าเขียวคล้ำขณะที่กำหมัดแน่น ทว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะพูด เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเสนาบดีกลุ่มนี้มีพลังน้อยกว่าจักรพรรดินีคนเดียว มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิดกับเผ่าเสี่ยเสียและพลังของพวกเขาก็มาจากปีศาจเหล่านั้น

“จักรพรรดินีได้โปรด!”

เมื่อหญิงสาวได้ยินว่าพวกเขาต้องการส่งพวกนางไปให้เผ่าเสี่ยเสีย ใบหน้าของนางก็ซีดลง นางโขกศีรษะลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้อง

หญิงสาวชุดสีขาวก็กำหมัดแน่น เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือ

ในที่สุดชายสวมชุดเกราะคนหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้ เขาร้องตะโกนว่า “ท่านเสนาบดีใหญ่ คนเหล่านี้มองพวกเราเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา แต่ละคนต้องเดินเท้ามาไกลเพื่อดั้นด้นมาที่นี่ ตอนนี้ท่านกลับต้องการส่งพวกเขากลับไปให้ปีศาจเหล่านั้น หัวใจของท่านทำด้วยเหล็กหรือยังไง?”

เสนาบดีใหญ่กวาดสายตามองพลางพูดจาเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะเห็นใจเช่นนี้ ถ้าความโกรธแค้นของเผ่าเสี่ยเสียโถมเข้ามา ท่านจะเป็นคนออกไปสู้กับพวกมันเรอะ?”

แม่ทัพใหญ่กัดฟัน “ตายก็ดีกว่าขี้ขลาดตาขาว! ทุกคนคิดว่าเราพึ่งพาตัวเองในการยืนหยัดอยู่ แต่เรารู้ดีกว่าใครว่าที่อยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราต้องส่งพลเมืองห้าล้านคนต่อปีเพื่อให้พวกมันไปเลี้ยงไว้เป็นปศุสัตว์ เป็นอาหารให้เดรัจฉานเหล่านั้น!

“ด้วยวิธีนี้เราถึงอยู่รอดได้ แต่การอยู่รอดอย่างไร้ศักดิ์ศรีคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือ!

“เทียบกับการถูกกินเป็นอาหาร เราต่อสู้กับเผ่าเสี่ยเสียให้สุดกำลังไปซะยังดีกว่า แม้ว่าจะพังพินาศก็ตาม!”

ตอนเขาพูดจบ ดวงตาเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ อารมณ์โศกเศร้าโกรธแค้นกระจายไปทั่วโถงส่งผลต่อดวงตาของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่หลายคนเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วย

ร่างจักรพรรดินีชุดขาวก็สั่นสะท้าน เล็บฝังลงไปบนฝ่ามือพร้อมกับเลือดสดไหลลงมา

หลายคนมองว่านางเป็นพระผู้มาโปรด แต่นางรู้ดีว่าตนเองยังมีพลังไม่พอ ไม่ใช่เพราะพลังของนางที่ทำให้มวลมนุษยชาติสามารถอยู่รอดในเมืองนี้ได้ แต่เป็นเพราะเผ่าเสี่ยเสียไม่ต้องการให้พวกนางพินาศ เนื่องจากพวกมันยังต้องการอาหารสดๆ…

ทุกครั้งที่มอบพลเมืองกว่าห้าล้านคน น้ำตาของพวกเขาที่หลั่งไหลทำให้นางเกลียดตัวเองที่ไร้อำนาจ นางเคยคิดที่จะพินาศไปกับเผ่าเสี่ยเสียหลายต่อหลายครั้ง แต่นางรู้ดีว่าหากทำแบบนั้น พวกนางก็จะสูญเสียโอกาสสุดท้าย…

มู่เฉินมองไปก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่เมืองนี้ยังคงอยู่ได้ เพราะนี่เป็นสิ่งที่เผ่าเสี่ยเสียมอบให้เนื่องจากพวกมันต้องการอาหาร แม้ว่าดินแดนแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นดินแดนอุดมรัฐ แต่จริงๆ แล้วก็แค่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเบื้องหน้าประตูแห่งความตาย

ช่างน่าสงสารจริงๆ

มู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าจักรพรรดินีชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองมายังทิศทางของเขา

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านกับสายตาของนาง ตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่และคนอื่นๆ ไม่สามารถเห็นเขาได้ แต่นางกลับสัมผัสถึงตัวเขาได้เรอะ?

ขณะที่มู่เฉินกำลังประหลาดใจ จักรพรรดินีชุดขาวก็ลุกขึ้นยืนกัดฟันเบาๆ ก่อนที่จะโค้งคำนับให้เขาพร้อมกับเสียงแหบพร่าดังก้อง

“ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อท่านมาแล้วก็โปรดแสดงตัวด้วยเถิด…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท