หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1394

ตอนที่ 1394

ฮึ่ม ฮึ่ม

หลุมดำไม่ได้พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ยามนี้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในหัวใจ เขารู้ดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เขาตายคาที่ในวันนี้แน่อน

ดังนั้นเขาจึงหมุนเวียนพลังร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่ลังเลใดๆ รัศมีระเบิดออกโดยไม่คำนึงถึงรอยแตกบนร่างกาย

ดอกบัวอมตะปรากฏขึ้นเป็นโล่ป้องกันอีกครั้ง

นี่เป็นวิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต่อให้เป็นเขาในปัจจุบันก็ยากที่จะสร้างได้สองครั้งติดๆ กัน เนื่องจากพลังที่สูญเสียนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น มิฉะนั้นคงเป็นตัวเขาเองที่ถูกทำลาย

ขณะที่มู่เฉินเร้าใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอีกครั้ง หลุมดำก็กระแทกลงไปบนดอกบัวสีทองอย่างนุ่มนวล

ในช่วงเวลาสัมผัสกันนั้น แสงสีดำตระการตาก็พวยพุ่งออกมาแล้วกดมา ดอกบัวสีทองเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถัดมาจากนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้…

นั่นคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง มากจนแม้แต่คลื่นหลิงก็ถูกลบออกไปภายใต้แสงสีดำ

การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไม่สามารถต้านทานแสงสีดำได้เลย!

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ตอนนี้ร่างกายของเขาได้รับการปรับแต่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวสีทองที่สึกกร่อน ความรู้สึกถึงความตายปกคลุมหัวใจ

ถ้าเป็นคนธรรมดาตอนนี้คงจะสิ้นหวังไปแล้ว แต่มู่เฉินผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นแม้จะเกิดริ้วกระเพื่อมในใจเขาก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก

เขาเม้มปากแน่น ไม่คิดยอมแพ้พลังหลุมดำ กลับกันเขาตั้งจิตใจให้สงบ หลอมรวมเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้อย่างเต็มกำลังที่มี

สิบลมหายใจผ่านไป ก่อนที่ดอกบัวสีทองจะหายไปและหลุมดำก็เคลื่อนต่อลงมา คราวนี้มันพุ่งเป้าไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์และร่างมู่เฉินที่ปรับแต่งไปครึ่งเดียว

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ไม่มีความสุขหรือความเศร้าบนใบหน้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำจายรัศมี ดูราวกับพระพุทธรูปปรางสมาธิองค์ใหญ่

หลุมดำตกลงมาครอบคลุมบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์

เมื่อแสงสีดำตกลงมา แสงสีม่วงทองก็เริ่มหมองคล้ำจากบริเวณศีรษะ…

มู่เฉินจับจ้องฉากนี้ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลง ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าได้หลอมรวมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์สมบูรณ์แล้ว

ความเข้าใจบางอย่างวาบขึ้นในหัวใจ

แสงสีดำยังคงบีบกดต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ถูกลบไปพร้อมกับร่างมู่เฉินที่เพิ่งได้ปรับแต่ง

ร่างมู่เฉินหายไปในมหานวดาราราวกับว่าภัยพิบัติเทียนจุนทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง

หลังจากที่มู่เฉินหายไป หลุมดำก็ค่อยๆ สลายลงระหว่างฟ้าดิน

สภาวะความวุ่นวายกลับสู่ความสงบ

ไม่มีใครรู้ว่าความเงียบงันคงอยู่นานแค่ไหน อาจจะเป็นทศวรรษหรือศตวรรษ… แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เวลาในมหานวดารานี้ก็ยังไหลอย่างเชื่องช้า…

ด้านนอกภูเขาเสี่ยหมัว

ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ จ้องมองไปที่เจดีย์ขนาดใหญ่ด้วยความกังวลใจ แม้ว่าในมหานวดารามู่เฉินเหมือนจะได้รับการฝึกฝนมานานหลายทศวรรษ แต่ที่นี่ผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น

แต่ครึ่งวันนี้ก็ยังทำให้ทุกคนที่เฝ้ารอรู้สึกกระวนกระวายใจ

เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ว่าเจดีย์สลัวลง นั่นหมายความว่าอีกไม่นานจอมปีศาจโลหิตก็จะเป็นอิสระ

ถ้ามู่เฉินยังไม่กลับมาในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดก็จะตายในมืออีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

“ไม่ต้องรีบร้อน เราได้ทำในสิ่งที่ทำได้แล้ว ต่อไปก็รอเพียงโชคชะตาที่จะชี้ว่าเราจะชนะหรือแพ้” จอมยุทธ์มังกรขาวสงบนิ่งเนื่องจากได้เห็นความเป็นตายมามาก นอกจากนี้เขารู้ดีว่าความกังวลไม่ช่วยอะไรในสถานการณ์นี้

ไป๋ซู่ซู่ก็สงบลงเมื่อได้ยินพลางพยักหน้า “ท่านเทพจะต้องทำสำเร็จแน่นอน!”

จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจ เขารู้ว่าการไปถึงระดับเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด เนื่องจากตัวเขาก็เคยฝึกฝนเป็นเวลานานในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณของมหาพันภพก็ยังยากที่จะสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เนื่องจากการก้าวขึ้นไปผู้ฝึกจำเป็นต้องผ่านเส้นทางอันตรายมากมาย ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่สุดก็หมายถึงความตาย

ดังนั้นแม้เขาจะรู้สึกว่ามู่เฉินเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ไม่มั่นใจที่อีกฝ่ายจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้หรือไม่

เวลาไหลไปในมหานวดารา

ทันใดนั้นความผันผวนก็มาถึงพร้อมกับละอองสีทองปรากฏขึ้น แม้ว่าในตอนแรกจะดูอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ค่อยๆ กำจายรัศมีออกมามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

เส้นแสงแผ่ออกไปช้าๆ ละอองฝุ่นก็เริ่มหนาแน่นขึ้น เพียงสิบลมหายใจก็ถักทอกลายเป็นรังไหมสีม่วงทองขนาดพันจั้ง…

รังไหมปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่ดูเหมือนจะแสดงถึงความเป็นอมตะ

เมื่อรังไหมถูกสร้างขึ้น ก็ดูดกลืนพลังงานมหานวดารามากมาย กระบวนการนี้ใช้เวลายาวนานก่อนที่จะถึงขีดสุด จากนั้นก็มีรอยแตกแผ่ออกมา

แกร็ก แกร็ก

รอยแตกขยายออกไป ปกคลุมทุกตารางนิ้วของรังไหมอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมารังไหมก็สั่นไหวและแตกออก

แสงสีม่วงทองสุกปลั่งเปล่งประกายออกมา แม้แต่สภาวะความวุ่นวายก็ไม่สามารถปกปิดได้ทั้งหมด

ทันใดนั้นรัศมีที่อธิบายไม่ได้ก็รวมตัวกัน กระทั่งสภาวะความวุ่นวายยังเริ่มถอยห่างราวกับว่าไม่กล้าที่จะสัมผัสกับรัศมีนั้น

ภาพเงามองเห็นได้เลือนราง ไม่กี่ลมหายใจภาพคนคนหนึ่งก็ชัดเจนมากขึ้น

นี่เป็นชายหนุ่มสูงโปร่งสวมชุดสีดำที่มีประกายสีม่วงทองล้อมรอบตัวเขา การสั่นไหวทุกครั้งจะทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนด้วยพายุเมฆโหมกระหน่ำ

ภายในรัศมีทรงกลดมู่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับว่าดวงตาของเขาครอบครองจักรวาล ช่างดูเป็นนามธรรม เพียงแค่เหลือบมองก็ทำให้มิติแปรปรวน

เขาก้มหัวลงมองร่างกายของตนเองที่ระยิบระยับด้วยรัศมีหยกบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตอนนี้ร่างกายของเขาได้หลอมรวมเลือดเนื้อและคลื่นหลิงเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์

ในอนาคตแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกทำลาย แต่ตราบใดที่ยังมีคลื่นหลิงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก เขาก็สามารถปรับแต่งร่างกายอีกครั้ง ช่างอยู่ยงคงกระพันนัก

“อา…นี่หรือระดับเทียนจื้อจุน?”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกถึงพลังที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้ทำให้เขามึนเมา พลังระดับนี้เป็นสิ่งที่เขาในอดีตไม่อาจจินตนาการได้เลย

เขารู้สึกได้ว่าแม้ในอดีตจะใช้กำลังอย่างเต็มที่ กระทั่งหลังจากเร้าวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาก็ไม่สามารถเทียบกับฝ่ามือเดียวในปัจจุบันได้

“พลังนี้…ไม่แปลกใจที่ภัยพิบัติเทียนจุนน่ากลัวขนาดนั้น”

มู่เฉินเม้มปาก ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจถึงทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อเกิดการหล่อหลอมเข้าด้วยกัน เขาคงเจอหายนะเข้าแล้วจริงๆ

ทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามเรียกว่าแปรเป็นตายอมตะ ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เงื่อนไขในการเรียนรู้ก็เข้มงวดยิ่ง มีเพียงการเผชิญหน้ากับความตายเท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝึกฝนได้สำเร็จ

แต่เมื่อประสบความสำเร็จ แม้จะเผชิญกับความตาย เขาก็สามารถเกิดใหม่ ซึ่งจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย

ทักษะเทห์สวรรค์นี้ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ท้ายที่สุดไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับความเป็นตาย

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะถอนหายใจในหัวใจ เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและความล้มเหลวนับไม่ถ้วนกว่าจะมาถึงจุดนี้ ทว่าเขาก็ยังรักษาหัวใจไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งอื่น

หลังจากเพาะบ่มมายาวนาน ในที่สุดความพยายามก็ออกดอกผล…

ออกจากเป่ยหลิงตั้งแต่เยาว์วัย วันนี้เขาก้าวเข้าสู่ประตูมังกรแล้ว

ตอนนี้มีที่สำหรับเขาในมหาพันภพแล้ว

มู่เฉินหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็โบกมือ เงาเขาค่อยๆ หายไปพร้อมกับสภาวะความวุ่นวายแรกเริ่มในมิตินี้…

ภูเขาเสี่ยหมัว

ครืน!

เสียงกึกก้องดังขึ้นระหว่างแผ่นฟ้ากับแผ่นดิน ทุกครั้งก็ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป

เนื่องจากทั้งหมดนี่ล้วนมาจากเจดีย์

ขณะนี้เจดีย์กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด ชัดว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าเจดีย์จะไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

ตู้ม!

ความปั่นป่วนอีกครั้งดังขึ้น เจดีย์สั่นสะท้านทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับมหาสมุทรเลือดพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นร่างจอมปีศาจโลหิตบนท้องฟ้า

เมื่อผู้คนเห็นจอมปีศาจโลหิตก็อดรู้สึกสิ้นหวังในใจไม่ได้

แต่เมื่อพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย จอมปีศาจโลหิตก็ไม่แม้แต่ปรายตามองมา แต่กลับมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พวกไป๋ซู่ซู่อึ้งไปชั่วคราว ก่อนที่จะคิดออกทันที จากนั้นทุกคนก็เงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นลูกแสงมหานวดาราพุ่งลงมาจากท้องฟ้า

เมื่อแสงสลายไป ภาพเงาที่คุ้นเคยก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ทำให้ความกลัวในใจทุกคนสงบลง

“ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องรอคอย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท