ฮึ่ม ฮึ่ม
หลุมดำไม่ได้พุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่มู่เฉินก็รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ยามนี้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้ผุดขึ้นในหัวใจ เขารู้ดีว่าความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เขาตายคาที่ในวันนี้แน่อน
ดังนั้นเขาจึงหมุนเวียนพลังร่างเทพสุริยะนิรันดร์โดยไม่ลังเลใดๆ รัศมีระเบิดออกโดยไม่คำนึงถึงรอยแตกบนร่างกาย
ดอกบัวอมตะปรากฏขึ้นเป็นโล่ป้องกันอีกครั้ง
นี่เป็นวิธีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ต่อให้เป็นเขาในปัจจุบันก็ยากที่จะสร้างได้สองครั้งติดๆ กัน เนื่องจากพลังที่สูญเสียนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น มิฉะนั้นคงเป็นตัวเขาเองที่ถูกทำลาย
ขณะที่มู่เฉินเร้าใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอีกครั้ง หลุมดำก็กระแทกลงไปบนดอกบัวสีทองอย่างนุ่มนวล
ในช่วงเวลาสัมผัสกันนั้น แสงสีดำตระการตาก็พวยพุ่งออกมาแล้วกดมา ดอกบัวสีทองเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถัดมาจากนั้นก็ถูกทำลายลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้…
นั่นคือการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง มากจนแม้แต่คลื่นหลิงก็ถูกลบออกไปภายใต้แสงสีดำ
การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาไม่สามารถต้านทานแสงสีดำได้เลย!
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ตอนนี้ร่างกายของเขาได้รับการปรับแต่งไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวสีทองที่สึกกร่อน ความรู้สึกถึงความตายปกคลุมหัวใจ
ถ้าเป็นคนธรรมดาตอนนี้คงจะสิ้นหวังไปแล้ว แต่มู่เฉินผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นแม้จะเกิดริ้วกระเพื่อมในใจเขาก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก
เขาเม้มปากแน่น ไม่คิดยอมแพ้พลังหลุมดำ กลับกันเขาตั้งจิตใจให้สงบ หลอมรวมเข้ากับร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้อย่างเต็มกำลังที่มี
สิบลมหายใจผ่านไป ก่อนที่ดอกบัวสีทองจะหายไปและหลุมดำก็เคลื่อนต่อลงมา คราวนี้มันพุ่งเป้าไปที่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์และร่างมู่เฉินที่ปรับแต่งไปครึ่งเดียว
มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ไม่มีความสุขหรือความเศร้าบนใบหน้า ร่างเทพสุริยะนิรันดร์กำจายรัศมี ดูราวกับพระพุทธรูปปรางสมาธิองค์ใหญ่
หลุมดำตกลงมาครอบคลุมบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์
เมื่อแสงสีดำตกลงมา แสงสีม่วงทองก็เริ่มหมองคล้ำจากบริเวณศีรษะ…
มู่เฉินจับจ้องฉากนี้ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลง ตอนนี้เขารู้สึกราวกับว่าได้หลอมรวมกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์สมบูรณ์แล้ว
ความเข้าใจบางอย่างวาบขึ้นในหัวใจ
แสงสีดำยังคงบีบกดต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ก็ถูกลบไปพร้อมกับร่างมู่เฉินที่เพิ่งได้ปรับแต่ง
ร่างมู่เฉินหายไปในมหานวดาราราวกับว่าภัยพิบัติเทียนจุนทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
หลังจากที่มู่เฉินหายไป หลุมดำก็ค่อยๆ สลายลงระหว่างฟ้าดิน
สภาวะความวุ่นวายกลับสู่ความสงบ
ไม่มีใครรู้ว่าความเงียบงันคงอยู่นานแค่ไหน อาจจะเป็นทศวรรษหรือศตวรรษ… แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เวลาในมหานวดารานี้ก็ยังไหลอย่างเชื่องช้า…
ด้านนอกภูเขาเสี่ยหมัว
ไป๋ซู่ซู่และคนอื่นๆ จ้องมองไปที่เจดีย์ขนาดใหญ่ด้วยความกังวลใจ แม้ว่าในมหานวดารามู่เฉินเหมือนจะได้รับการฝึกฝนมานานหลายทศวรรษ แต่ที่นี่ผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น
แต่ครึ่งวันนี้ก็ยังทำให้ทุกคนที่เฝ้ารอรู้สึกกระวนกระวายใจ
เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ว่าเจดีย์สลัวลง นั่นหมายความว่าอีกไม่นานจอมปีศาจโลหิตก็จะเป็นอิสระ
ถ้ามู่เฉินยังไม่กลับมาในเวลานั้น พวกเขาทั้งหมดก็จะตายในมืออีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
“ไม่ต้องรีบร้อน เราได้ทำในสิ่งที่ทำได้แล้ว ต่อไปก็รอเพียงโชคชะตาที่จะชี้ว่าเราจะชนะหรือแพ้” จอมยุทธ์มังกรขาวสงบนิ่งเนื่องจากได้เห็นความเป็นตายมามาก นอกจากนี้เขารู้ดีว่าความกังวลไม่ช่วยอะไรในสถานการณ์นี้
ไป๋ซู่ซู่ก็สงบลงเมื่อได้ยินพลางพยักหน้า “ท่านเทพจะต้องทำสำเร็จแน่นอน!”
จอมยุทธ์มังกรขาวถอนหายใจ เขารู้ว่าการไปถึงระดับเทียนจื้อจุนยากเย็นเพียงใด เนื่องจากตัวเขาก็เคยฝึกฝนเป็นเวลานานในมหาพันภพ แม้แต่เผ่าโบราณของมหาพันภพก็ยังยากที่จะสร้างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เนื่องจากการก้าวขึ้นไปผู้ฝึกจำเป็นต้องผ่านเส้นทางอันตรายมากมาย ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยที่สุดก็หมายถึงความตาย
ดังนั้นแม้เขาจะรู้สึกว่ามู่เฉินเป็นอัจฉริยะ แต่ก็ไม่มั่นใจที่อีกฝ่ายจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้หรือไม่
เวลาไหลไปในมหานวดารา
ทันใดนั้นความผันผวนก็มาถึงพร้อมกับละอองสีทองปรากฏขึ้น แม้ว่าในตอนแรกจะดูอ่อนแอบอบบาง แต่ก็ค่อยๆ กำจายรัศมีออกมามากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
เส้นแสงแผ่ออกไปช้าๆ ละอองฝุ่นก็เริ่มหนาแน่นขึ้น เพียงสิบลมหายใจก็ถักทอกลายเป็นรังไหมสีม่วงทองขนาดพันจั้ง…
รังไหมปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณที่ดูเหมือนจะแสดงถึงความเป็นอมตะ
เมื่อรังไหมถูกสร้างขึ้น ก็ดูดกลืนพลังงานมหานวดารามากมาย กระบวนการนี้ใช้เวลายาวนานก่อนที่จะถึงขีดสุด จากนั้นก็มีรอยแตกแผ่ออกมา
แกร็ก แกร็ก
รอยแตกขยายออกไป ปกคลุมทุกตารางนิ้วของรังไหมอย่างรวดเร็ว อึดใจต่อมารังไหมก็สั่นไหวและแตกออก
แสงสีม่วงทองสุกปลั่งเปล่งประกายออกมา แม้แต่สภาวะความวุ่นวายก็ไม่สามารถปกปิดได้ทั้งหมด
ทันใดนั้นรัศมีที่อธิบายไม่ได้ก็รวมตัวกัน กระทั่งสภาวะความวุ่นวายยังเริ่มถอยห่างราวกับว่าไม่กล้าที่จะสัมผัสกับรัศมีนั้น
ภาพเงามองเห็นได้เลือนราง ไม่กี่ลมหายใจภาพคนคนหนึ่งก็ชัดเจนมากขึ้น
นี่เป็นชายหนุ่มสูงโปร่งสวมชุดสีดำที่มีประกายสีม่วงทองล้อมรอบตัวเขา การสั่นไหวทุกครั้งจะทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนด้วยพายุเมฆโหมกระหน่ำ
ภายในรัศมีทรงกลดมู่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ ราวกับว่าดวงตาของเขาครอบครองจักรวาล ช่างดูเป็นนามธรรม เพียงแค่เหลือบมองก็ทำให้มิติแปรปรวน
เขาก้มหัวลงมองร่างกายของตนเองที่ระยิบระยับด้วยรัศมีหยกบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ตอนนี้ร่างกายของเขาได้หลอมรวมเลือดเนื้อและคลื่นหลิงเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
ในอนาคตแม้ว่าร่างกายของเขาจะถูกทำลาย แต่ตราบใดที่ยังมีคลื่นหลิงเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก เขาก็สามารถปรับแต่งร่างกายอีกครั้ง ช่างอยู่ยงคงกระพันนัก
“อา…นี่หรือระดับเทียนจื้อจุน?”
มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกถึงพลังที่สามารถทำลายสวรรค์และโลกได้ทำให้เขามึนเมา พลังระดับนี้เป็นสิ่งที่เขาในอดีตไม่อาจจินตนาการได้เลย
เขารู้สึกได้ว่าแม้ในอดีตจะใช้กำลังอย่างเต็มที่ กระทั่งหลังจากเร้าวิชาเจดีย์แปดองค์ เขาก็ไม่สามารถเทียบกับฝ่ามือเดียวในปัจจุบันได้
“พลังนี้…ไม่แปลกใจที่ภัยพิบัติเทียนจุนน่ากลัวขนาดนั้น”
มู่เฉินเม้มปาก ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจถึงทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อเกิดการหล่อหลอมเข้าด้วยกัน เขาคงเจอหายนะเข้าแล้วจริงๆ
ทักษะเทห์สวรรค์ขั้นสามเรียกว่าแปรเป็นตายอมตะ ซึ่งลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เงื่อนไขในการเรียนรู้ก็เข้มงวดยิ่ง มีเพียงการเผชิญหน้ากับความตายเท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝึกฝนได้สำเร็จ
แต่เมื่อประสบความสำเร็จ แม้จะเผชิญกับความตาย เขาก็สามารถเกิดใหม่ ซึ่งจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย
ทักษะเทห์สวรรค์นี้ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ท้ายที่สุดไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าพอจะเผชิญหน้ากับความเป็นตาย
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะถอนหายใจในหัวใจ เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากและความล้มเหลวนับไม่ถ้วนกว่าจะมาถึงจุดนี้ ทว่าเขาก็ยังรักษาหัวใจไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งอื่น
หลังจากเพาะบ่มมายาวนาน ในที่สุดความพยายามก็ออกดอกผล…
ออกจากเป่ยหลิงตั้งแต่เยาว์วัย วันนี้เขาก้าวเข้าสู่ประตูมังกรแล้ว
ตอนนี้มีที่สำหรับเขาในมหาพันภพแล้ว
มู่เฉินหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็โบกมือ เงาเขาค่อยๆ หายไปพร้อมกับสภาวะความวุ่นวายแรกเริ่มในมิตินี้…
ภูเขาเสี่ยหมัว
ครืน!
เสียงกึกก้องดังขึ้นระหว่างแผ่นฟ้ากับแผ่นดิน ทุกครั้งก็ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป
เนื่องจากทั้งหมดนี่ล้วนมาจากเจดีย์
ขณะนี้เจดีย์กำลังสั่นสะท้านไม่หยุด ชัดว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวสร้างหายนะอยู่ภายใน ดูเหมือนว่าเจดีย์จะไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
ตู้ม!
ความปั่นป่วนอีกครั้งดังขึ้น เจดีย์สั่นสะท้านทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับมหาสมุทรเลือดพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นร่างจอมปีศาจโลหิตบนท้องฟ้า
เมื่อผู้คนเห็นจอมปีศาจโลหิตก็อดรู้สึกสิ้นหวังในใจไม่ได้
แต่เมื่อพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย จอมปีศาจโลหิตก็ไม่แม้แต่ปรายตามองมา แต่กลับมองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกไป๋ซู่ซู่อึ้งไปชั่วคราว ก่อนที่จะคิดออกทันที จากนั้นทุกคนก็เงยหน้าขึ้น พวกเขาเห็นลูกแสงมหานวดาราพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
เมื่อแสงสลายไป ภาพเงาที่คุ้นเคยก็ก้าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ทำให้ความกลัวในใจทุกคนสงบลง
“ขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องรอคอย”