หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1399

ตอนที่ 1399

ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ

ในปีที่ผ่านมา ตำหนักมู่เข้ามายืนหนึ่งแทนที่สามขั้วอำนาจใหญ่ของจักรวรรดิเหนือ หลังจากที่มู่เฉินแสดงฝีมืออย่างเหนือชั้น

ด้วยเหตุนี้ตำหนักมู่จึงเฟื่องฟูมากในช่วงปีที่ผ่านมา ครอบครองทรัพยากรครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิเหนือเลยทีเดียว รวมทั้งพลังก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้นชื่อเสียงของพวกเขายังเลื่องลือไปทั่วทวีปอีกด้วย ซึ่งตรงกันข้ามประมุขสามขั้วอำนาจใหญ่ที่เก็บเนื้อเก็บตัว ทำให้มีเหล่าจอมยุทธ์น้อยใหญ่หันมาเข้าร่วมกับตำหนักมู่มากขึ้น

ทว่าประมุขทั้งสามก็ยังคงเงียบกริบเมื่อเผชิญกับตำหนักมู่ แต่ทุกคนรู้ดีว่าความเงียบคงอยู่อีกไม่นาน เนื่องจากประมุขทั้งสามมีขั้วอำนาจสูงสุดคอยหนุนหลัง คนเหล่านั้นไม่มีทางเฝ้าดูผู้ใต้บังคับบัญชาที่พวกเขาสนับสนุนมานานหลายปีถูกเตะโด่งออกมาจากจักรวรรดิเหนือแน่

ดังนั้นนี่จึงเป็นความเงียบก่อนพายุจะมาเท่านั้น

มั่นถัวหลัวในฐานะผู้ดูแลสูงสุดของตำหนักมู่ก็รู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติ ดังนั้นนางจึงไม่ผ่อนคลายและให้ความสนใจกับประมุขทั้งสามตลอดเวลา

นางรู้ว่าประมุขทั้งสามจะมีการตอบโต้แน่นอน

และก็ไม่ผิดจากความคิดของนาง ครึ่งปีหลังจากที่มู่เฉินไปก็มีตำหนักแห่งหนึ่งลอยลงมาจากท้องฟ้า บินคว้างอยู่เหนือตำหนักมู่

เมื่อตำหนักนั่นลงมาก็สร้างความตื่นตระหนกให้ผู้คนในตำหนักมู่ เนื่องจากแรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากมัน ครอบคลุมรัศมีหลายล้านลี้เลยทีเดียว ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้แรงกดดันสั่นสะท้านด้วยความกลัว

แรงกดดันนี้เป็นสิ่งที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริง!

ทว่าตำหนักนั้นก็เพียงลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ แต่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอื่น เพียงแค่มีจดหมายหยกส่งลงมา

จดหมายหยกพุ่งลงมาตามด้วยเสียงหนักแน่นดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือ

“ข้าชื่อผู้เฒ่าเฉวียนเทียน มาเพราะการขอร้องจากผู้อื่น ประมุขตำหนักมู่ ยังไม่ออกมาพบอีกเรอะ?!”

เสียงดังก้องด้วยความไม่แยแส ชัดว่าไม่ได้เห็นมู่เฉินอยู่ในสายตา ฟังดูเข้มงวดราวกับผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนผู้น้อย

น้ำเสียงนั้นทำให้เกิดความโกรธเกรี้ยวกับจอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าตำหนักมู่จะแข็งแกร่งขึ้น ทว่าก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าชายคนนั้นเคลื่อนไหวคงไม่มีใครในตำหนักมู่รับมือได้

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ปลดปล่อยความกดดันเบื้องบน มั่นถัวหลัวก็โกรธเคือง ในตอนแรกนางรับจดหมายไว้ คิดจะเจรจากับเจ้าตำหนักคนนั้น แต่นางถูกกันออกไปหลังจากมาถึงด้านหน้าตำหนัก

“ให้ประมุขเจ้ามาเอง ตัวเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะพบกับตาเฒ่าคนนี้” เมื่อมั่นถัวหลัวถูกปฏิเสธ เสียงเรียบนิ่งก็ดังขึ้นจากขอบฟ้า

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเขียวคล้ำจากการถูกลดเกียรติ จากนั้นนางก็สูดหายใจระงับความโกรธในใจ ดึงป้ายราชันสังหารปีศาจที่มู่เฉินให้ไว้ เขวี้ยงเข้าไปในตำหนักนั่น

ป้ายราชันสังหารปีศาจเป็นวัตถุของวังมหาพันภพและเป็นตัวแทนสถานะอีกด้วย ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาจะกล้าท้าทาย

แต่คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้น ป้ายราชันสังหารปีศาจถูกโยนกลับออกไป

“ราชันสังหารปีศาจที่ไร้อำนาจต้องการจะลองดีกับข้าเหรอ?”

“กลับไปซะ ให้ประมุขของเจ้ามาพบกับข้า ไม่งั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่สักหลายปี มาดูว่าตำหนักมู่ของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

เมื่อมั่นถัวหลัวรับป้ายกลับมา ใบหน้าของนางมืดครึ้ม แต่หัวใจดิ่งลง จากคำพูดดังกล่าว ชัดว่าคนผู้นี้จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับมู่เฉินและเตรียมตัวมาอย่างดี ดังนั้นคนผู้นี้จึงไม่มีความเกรงกลัวต่อวังมหาพันภพ

เผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ มั่วถัวหลัวก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นางทำได้เพียงมองไปอย่างเย็นชาก่อนที่จะสะบัดหน้าจากมา

ในครึ่งปีต่อมาตำหนักนั่นก็ยังลอยอยู่เหนือตำหนักมู่ตามที่ประกาศไว้ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนก็ปลดปล่อยแรงกดดันออกมาตลอดเวลา ทำให้จอมยุทธ์ตำหนักมู่รู้สึกขมขื่นนัก

นี่เหมือนกับการสร้างความอัปยศอดสูให้ตำหนักมู่ จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนคนนั้นจงใจจะอยู่นอกประตูบ้านพวกเขา ซึ่งเป็นการทำลายชื่อเสียงกันทางอ้อม

เมื่อตำหนักมู่ประสบปัญหานี้ สำนักเมฆาม่วง ภูเขาเหลยยิงและคฤหาสน์อินทรีทองก็มา ทั้งหมดสามารถเข้าสู่ตำหนนักแห่งนั้นได้ พวกเขาเข้าคารวะผู้เฒ่าเฉวียนเทียน

สมาชิกตำหนักมู่เฝ้ามองฉากนี้อย่างชัดเจน พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ

ตอนนั้นเองที่สามขั้วอำนาจก็เริ่มผนึกกำลัง ค่อยๆ กลืนกินดินแดนของตำหนักมู่…

สิ่งนี้ทำให้ตำหนักมู่ถูกโยนเข้าสู่วิกฤตที่ไม่เคยมีมาก่อนและใกล้จะล่มสลาย

เมื่อเวลาผ่านไป

ข่าวคราวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่ข่มเหนือตำหนักมู่ไม่เพียงแต่กระจายไปทั่วภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น แต่ยังลามไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัวเลยทีเดียว ดังนั้นหูตาทั้งหมดจึงมุ่งตรงมาที่ภูมิภาคทางเหนือทันที

การปรากฏตัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนดึงดูดความสนใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

แม้จะมีกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวว่าไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้ามายุ่งในการต่อสู้ แต่ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ชิงอำนาจกับตำหนักมู่ มันเป็นเพียงความบาดหมางส่วนตัวกับมู่เฉิน ดังนั้นจึงไม่ผิดกฎใดๆ

เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครกล้าท้าทายจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเพื่อตำหนักมู่ที่ไม่มีแม้แต่จอมยุทธ์ในระดับนี้

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตำหนักมู่ ทุกคนก็เฝ้าสังเกตการณ์จากข้างสนาม มิหนำซ้ำยังหวังว่าตำหนักมู่จะแตกฉานซ่านเซ็น เพราะถึงยังไงพลังต่อสู้ที่มู่เฉินแสดงออกมาก็ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว

โชคดีที่ตำหนักมู่ยังไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ถ้าพวกเขาสามารถหาขั้วอำนาจสนับสนุนได้ในอนาคต ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการพุ่งทะยานของตำหนักมู่

ดังนั้นตำหนักมู่จึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยไม่รู้ตัว…

ครึ่งปีผ่านไปในพริบตา

สำหรับตำหนักมู่ครึ่งปีนั้นเป็นความทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนแรกพวกเขาเฟื่องฟู แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเพราะตาเฒ่าเฉวียนเทียน

ทว่าผู้เฒ่าเฉวียนเทียนก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ แม้ว่าเขาจะสามารถพลิกคว่ำพลิกหงายตำหนักมู่ได้อย่างง่ายดาย ในทางกลับกันเขาเลือกวิธีที่เลวร้ายนี้เพื่อขยี้ขวัญกำลังใจของจอมยุทธ์ตำหนักมู่

เขาจะส่งจดหมายหยกลงมาทุกวันเพื่อบังคับให้มู่เฉินปรากฏตัว แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในภูมิภาคทางเหนือ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่มู่เฉินจะไม่มาปรากฏตัว เมื่อเวลาผ่านไปก็มีข่าวลือหนาหูว่าประมุขตำหนักมู่กลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจนหนีหางจุกตูดไปแล้ว…

ซึ่งเป็นประมุขทั้งสามที่ปล่อยข่าวลือนี้ และก็สร้างผลกระทบยอดเยี่ยม ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าสวามิภักดิ์ตำหนักมู่ในตอนแรกก็กำลังสั่นคลอนและแสดงสัญญาณตีจาก

เพราะมองจากภาพที่ปรากฏในปัจจุบัน ตำหนักมู่แสดงสัญญาณการล่มสลาย ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร มนุษย์ก็ยังมองเพียงแต่ตัวเอง พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ร่วมเป็นร่วมตายกับตำหนักมู่

ดังนั้นตำหนักมู่จึงล้มลุกคลุกคลานและในเวลาเพียงครึ่งปี ความเจริญรุ่งเรืองไม่เหลืออยู่อีกต่อไป ดูเหมือนล่มสลายลงทุกเมื่อ…

อีกวันผ่านไป

จอมยุทธ์ชั้นสูงของตำหนักมู่ก็มารวมตัวกันพร้อมกับบรรยากาศหดหู่ พวกเขามองขึ้นไปที่ตำหนักบนท้องฟ้าซึ่งมีความกดดันเล็ดลอดออกมา บีบทุกคนเอาไว้

“ท่านมั่นถัวหลัว สำนักภูเขาเหล็กและสำนักเสียงสวรรค์ประกาศแยกตัวจากตำหนักมู่ในวันนี้แล้ว” หลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันต่อหน้าทุกคน ใบหน้าของพวกนางไม่น่าดูเลยทีเดียว แม้ว่าจะพยายามอดทนมาตลอดครึ่งปี แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า

ผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคล้ายกับภูเขาที่ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกหายใจไม่ออก ทุกคนตื่นตระหนกนัก หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จที่รุ่งโรจน์ของมู่เฉินในอดีต ตำหนักมู่คงพังทลายไปนานแล้ว

ขณะนี้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต่อขั้วอำนาจ

มั่นถัวหลัวเงยหน้าขึ้นมองไปที่ตำหนักสูงตระหง่านพร้อมกับกำหมัดขึ้นก่อนที่จะพูดอย่างเย็นชา “ไอ้เฒ่าเฉวียนเทียนชั่วร้ายจริงๆ เขาต้องการใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตำหนักมู่ล่มสลาย”

หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ เงียบลงก่อนที่จะถามพูดว่า “มีข่าวท่านประมุขหรือยัง?”

มั่นถัวหลัวส่ายหัว “เขากำลังมองหาวิถีเทียนจื้อจุน แม้แต่พวกข้าก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้”

หลิ่วเทียนเต้ายิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้ากลัวว่าเราคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน”

มั่นถัวหลัวกัดฟันตอบ “ตราบใดที่มู่เฉินยังอยู่ตำหนักมู่ก็จะคงอยู่ เมื่อเขาก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน ตำหนักมู่ก็จะฟื้นขึ้นได้ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็ตาม!”

พวกหลิ่วเทียนเต้าถอนหายใจเฮือกในใจ ระดับเทียนจื้อจุนบรรลุง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ? แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จมากมายและเต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีโอกาส จะง่ายสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่สถานการณ์นี้ก็ยังยากที่จะแก้ไข เพราะแม้ว่าในตำหนักนั้นจะมีผู้เฒ่าเฉวียนเทียนคนเดียว แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าขั้วอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังสามประมุขเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งต่างมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอยู่อีกด้วย…

สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาอันตรายมาก!

ฮึ่ม

ขณะที่พวกเขาถอนหายใจ ริ้วแสงก็ร่อนลงมาอีกครั้ง

ริ้วแสงกลายเป็นจดหมายหยกพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องภูมิภาคทางเหนือ

“ไอ้หนูมู่เฉิน ถ้าแกยังไม่แสดงตัว กลัวว่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ในตำหนักมู่ของแกแล้ว…”

เมื่อมั่นถัวหลัวได้ยินคำเยาะเย้ยนั่น เสียงแตกลั่นก็ดังขึ้นในมือของนาง ขณะที่หลิงซีและหลงเซี่ยงก็โกรธเกรี้ยวตามกัน หากไม่ใช่เพราะช่องว่างพลังขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขาละก็ ตอนนี้พวกเขาคงทะยานออกไปแล้ว

ใบหน้าของทุกคนในตำหนักมู่ก็มืดมนลงเช่นกัน

“หืม?”

แต่ขณะที่ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ท่าทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน พวกเขารีบเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวในระยะไกล แสงหลิงระเบิดออกก่อนที่ร่างเงาสูงโปร่งจะย่างกรายออกมา อึดใจเดียวเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นเหนือตำหนักมู่แล้ว

มั่นถัวหลัวและคนอื่นๆ อึ้งไปเมื่อมองไปที่ร่างเงานั้น อึดใจดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้าง

“นั่นคือ?”

“ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านประมุข?” หลิ่วเทียนเต้าขยี้ตา จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความไม่เชื่อ

ร่างอ่อนเยาว์พุ่งเข้ามาพลางโบกมือ จดหมายหยกก็บินเข้าไปในมือ เขาไม่แม้แต่จะมองก่อนที่จะบดขยี้ให้เป็นผุยผง

สายตาของเขาเย็นชาเมื่อมองไปที่ตำหนักเบื้องบนแล้วชี้นิ้ว

ตู้ม!

มิติรอบตำหนักนั่นพังทลายลงจากปลายนิ้วเขา สะเก็ดมิติกลายเป็นมือขนาดใหญ่คว้าไปที่ตำหนักแล้วบดขยี้

เมื่อตำหนักถูกทำลาย เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วภูมิภาคทางเหนือพร้อมกับจิตสังหารเฉียบคม

“ในเมื่อแกชอบที่จะอยู่ในตำหนักมู่ของข้ามาก งั้นก็อยู่ต่อไม่ต้องไปไหนแล้ว…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท