หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1403

ตอนที่ 1403

“โปรดยั้งมือ!”

เสียงแกร่งกร้าวสามเสียงดังก้อง พร้อมกับพลังมหาศาลสามสายทะลุมิติยับยั้งเจดีย์ผลึกแก้วใสเพื่อช่วยเหลือเฉวียนเทียน

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้หลายคนตกตะลึงกับสถานการณ์ เนื่องจากพวกเขาสามารถบ่งบอกตัวตนของคนเหล่านั้นได้จากการเรียกขานของเฉวียนเทียนแล้ว

จื่อชี่จากถ้ำรัศมีม่วง!

เหลยจุนเจ่อจากวิหารเสียงสายฟ้า!

หลงเตียวจากถ้ำคัมภีร์มังกร!

ทั้งสามขุมกำลังนี้เป็นขั้วอำนาจชั้นสูงในมหาพันภพ ซึ่งคนที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็คือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสาม!

ตามกฎของทวีปเทียนหลัว ไม่อนุญาตให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเข้าร่วมชิงชัยในทวีปนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งสามไม่สามารถรั้งตัวเองได้อีกต่อไป

เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด หากพวกเขายอมให้ชายหนุ่มจัดการเฉวียนเทียนละก็จะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ จักรวรรดิเหนือทั้งหมดก็จะอยู่ในมือของตำหนักมู่

งานหนักทั้งหมดที่พวกเขาทำมาหลายปีก็จะละลายลงไปกับสายน้ำ

ดังนั้นพวกเขาต้องหาโอกาสที่จะยับยั้งแรงผลักดันของมู่เฉิน

ตามการคาดการณ์พวกเขาน่าจะสามารถจัดการกับมู่เฉินได้ ตราบใดที่พวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกัน

“พวกท่านผู้อาวุโสเคลื่อนไหวแล้ว!”

เมื่อพวกประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามเห็นฉากนี้ ความปีติยินดีก็กระจายบนใบหน้า จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนจะทำให้พวกเขาสามารถพลิกสถานการณ์นี้ได้ แม้แต่มู่เฉินก็ต้องถอยห่างจากการรวมตัวนี้!

เมื่อมองไปที่จอมยุทธ์ทั้งสามที่ทะยานมาจากระยะไกล ม่านตาสีดำของมู่เฉินก็กะพริบด้วยไอหนาวเย็น เขารู้โดยธรรมชาติเกี่ยวกับความตั้งใจของทั้งสามได้

“ในอดีตข้ายังไว้หน้าพวกเจ้า ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงยอมละมือ แต่ตอนนี้พวกเจ้าแส่เข้ามายุ่ง ก็อย่ามาโทษข้านะ”

มู่เฉินเค้นเสียงเย็นพลางก้าวออกไปปรากฏตัวเหนือเจดีย์ มือข้างหนึ่งสร้างตราประทับ แสงสีม่วงทองไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมา ร่างเงาขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นข้างหลังเขาในพริบตา

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์!

ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์แข็งแกร่งกว่าก่อนที่มู่เฉินจะบรรลุระดับนี้ไม่รู้กี่เท่า แม้แต่ขนาดที่แท้จริงก็ยังขยายไปถึงสิบกว่าเท่าจากหนึ่งพันจั้งเป็นหลายหมื่นจั้งเห็นจะได้

นอกจากนี้แสงสีม่วงทองบนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ยังได้รับการขัดเกลา หากในอดีตร่างเทพสุริยะนิรันดร์เป็นเพียงร่างลวงตา เวลานี้ก็คือพระพุทธรูปยักษ์แท้จริง!

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ขนาดมหึมาสลักด้วยอักขระโบราณบนตัว เปล่งประกายด้วยรัศมีอมตะ ราวกับว่ากาลเวลาไม่สามารถกัดกร่อนได้

เมื่อร่างเทพสุริยะนิรันดร์ปรากฏขึ้นด้านหลังมู่เฉิน มันก็เปิดปากและสายธารสีม่วงทองพุ่งออกมา ทำให้มิติถึงกับพังทลายลงจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง

มู่เฉินมองสายธารเชี่ยวกรากพลางพยักหน้าเบาๆ แม่น้ำนี้ถูกสร้างขึ้นจากรหัสเทพอมตะ ตามการประมาณของเขา จำนวนลวดลายที่สามารถสร้างได้ครั้งนี้มีถึงสี่ร้อยแปดสิบลายเลยทีเดียว

ต้องรู้ว่าขนาดมู่เฉินหลอมรวมกับร่างรองก่อนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน เขาก็สามารถสร้างได้เพียงสามร้อยลายเท่านั้น

แต่ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์สามารถปลดปล่อยรหัสเทพอมตะได้เกือบห้าร้อยลวดลาย เห็นได้ว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นมากเพียงใด

เพราะยิ่งหลังๆ รหัสเทพอมตะทุกลวดลายก็จะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสร้าง ไม่ต้องคิดถึงเกือบสองร้อยลายเลย…

ขณะที่แม่น้ำสีม่วงทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก็คดโค้งไปตามรูปแบบที่มู่เฉินต้องการ ก่อร่างเป็นมังกรทองโหดร้าย

โฮก!

มังกรปลดปล่อยเสียงคำรามสั่นสะท้านชั้นฟ้า

ฟิ้ว!

มังกรทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยอานุภาพไร้ขอบเขตปะทะกับพลังยิ่งใหญ่สามสายที่พุ่งลงมา

จังหวะที่ปะทะกันนั้นสวรรค์และโลกก็เงียบกริบลง แม้ว่าจะไม่มีเสียงรบกวนทำให้พื้นดินโยกคลอน แต่มิติก็เริ่มถล่มลงบนท้องฟ้า ก่อนที่จะค่อยๆ ก่อตัวเป็นหลุมดำที่มีขนาดแสนจั้ง…

มังกรและพลังยิ่งใหญ่ทั้งสามสายถูกลบออกจากการปะทะกันนี้

เฮือก!

หลายคนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดผวาพล่านในดวงตา ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะสามารถต้านทานการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้

“เป็นไปได้ยังไง?!”

ประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามตกตะลึง แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมา ทว่าพวกเขาก็ยังได้เปรียบด้านจำนวน แต่ตอนนี้พวกเขาถูกมู่เฉินคนเดียวต้านได้ ดังนั้นแสดงให้เห็นว่ามู่เฉินมีความแข็งแกร่งปานใด

“หึ ใครกล้าท้าทายในพื้นที่ตำหนักมู่จะต้องถูกตำหนักมู่ของข้าจัดการ นี่ไม่ใช่ธุระกงการของพวกแก!” มู่เฉินยืนอยู่บนเจดีย์พร้อมสาดสายตาเย็นชา เสียงของเขาก็ดังก้องไปทั่วขอบฟ้าสอดแทรกด้วยพลังที่น่ากลัว

ทั่วบริเวณเงียบ ราวกับว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังตกใจกับพลังของมู่เฉิน

ทว่ามู่เฉินไม่สนใจพวกเขา เขากระทืบเท้าบนเจดีย์ เจดีย์สั่นสะเทือนระเบิดผลึกแสงออกมาห่อหุ้มเฉวียนเทียนเอาไว้

“อ้ากๆๆๆ!”

เฉวียนเทียนร้องลั่นขณะที่ร่างเหนือสวรรค์จางลง ก่อนที่จะถูกดูดเข้าไปในเจดีย์

เจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่ในอากาศเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ความกลัวทุกสายตาจับจ้องมองมา

เนื่องจากฉากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถูกปราบต่อหน้าช่างน่าตกใจแท้จริง

“ประมุขมู่!”

“ประมุขมู่สุดยอด!”

ความเงียบคงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะมีเสียงคำรามที่ทำให้หูดับดังก้องไปทั่ว ทั้งตำหนักมู่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี ดวงตาของพวกเขาอัดแน่นด้วยความเคารพขณะมองไปที่มู่เฉิน

ตำหนักมู่ถูกเฉวียนเทียนเหยียบหัวมานาน แต่ใครจะไปคิดว่าประมุขจะกลับมาอย่างทรงพลังเช่นนี้ กระทั่งสามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้

ความสำเร็จนี้ทำให้ทุกคนในตำหนักมู่รู้สึกภาคภูมิใจในหัวใจ

ด้วยประมุขคนนี้ใครจะกล้าท้าทายตำหนักมู่ของพวกเขาในจักรวรรดิเหนือ? หรือแม้แต่ทวีปเทียนหลัว?

ขณะที่ตำหนักมู่ส่งเสียงร้อง ขั้วอำนาจอื่นๆ ก็มีใบหน้าดิ่งลง เพราะพวกเขาเป็นสำนักที่เลือกแยกตัวออกจากตำหนักมู่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าตำหนักมู่ถูกปราบไว้ พวกเขาไม่มีความคิดที่จะยืนร่วมกับคนอ่อนแอต่อไป

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าตำหนักมู่จะไม่สามารถช่วยตัวเองได้ในวันนี้ แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรแบบนี้

“เราตายแน่… ในอนาคตไม่มีที่สำหรับเราในจักรวรรดิเหนืออีกต่อไป” ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดจนไม่น่าดู

เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้อง มู่เฉินก็ยื่นมือออกไป เจดีย์หดตัวลงตกบนฝ่ามือของเขา

มู่เฉินเหลือบตามองเจดีย์ ตอนนี้เขาได้เปิดใช้งานวิชาเจดีย์แปดองค์เพื่อปราบเฉวียนเทียนไว้ภายใน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาที่จะจัดการอีกฝ่าย

มู่เฉินถือเจดีย์ในมือพลางเงยหน้าขึ้น เสียงสงบนิ่งสะท้อนออกไป “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสามเคลื่อนไหวก็แสดงตัวออกมา การซ่อนตัวไม่ใช่วิถีของจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุน”

เมื่อเสียงของมู่เฉินดังก้อง เสาแสงสามเสาก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นร่างเงาสามร่าง

เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่น รัศมีของพวกเขาก็ทำให้มิติแปรปรวน

เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนก็คือจื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวที่ปะทะกันก่อนหน้านี้

ตอนนี้ใบหน้าของทั้งสามไม่น่าดูเลย พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยเฉวียนเทียนจากมือของมู่เฉินได้ แต่กลับถูกลูบคมด้วย

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับใบหน้าเหี่ยวย่นไม่น่าดู เขากล่าวว่า “เฉวียนเทียนกำเริบคิดจะปราบตำหนักมู่ของข้าคงได้รับการสนับสนุนจากพวกเจ้าทั้งสามด้วยใช่ไหม? วันนี้พวกเจ้าต้องมีคำอธิบายกับข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ทั้งสามก็หดดวงตาก่อนที่หลงเตียวจะเอ่ยเยาะ“โอ้? ตำหนักมู่ต้องการคำอธิบายอะไรจากเรา?”

“จากนี้ไปจักรวรรดิเหนือเป็นของตำหนักมู่เพียงผู้เดียว ใครไม่คิดสวามิภักดิ์ก็ไสหัวไป” มู่เฉินหลุบตาลงขณะที่ตอบอย่างสบายๆ

หลายคนตัวสั่นสะท้านจากคำพูดเหล่านั้น กระทั่งจอทยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามก็ออกอาการโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะหยิ่งผยองแม้แต่ต่อหน้าพวกเขา

“คำพูดของประมุขมู่เกินไปรึเปล่า…” จื่อชี่ขมวดคิ้วขณะที่พูด

หลงเตียวหัวร้อนฉ่าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอกเสียงเย็นชาใส่ว่า “เจ้าจะทำอะไรได้ถ้าเราไม่เต็มใจ”

“ทำอะไรได้เหรอ?”

ไอสังหารพวยพุ่งสูงขึ้นรอบตัว ร่างรองทั้งสองก็ทะยานออกไป มู่เฉินทั้งสามก็มองไปที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามอย่างเย็นชา

ทั่วฟ้าดินเงียบกริบ ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารในดวงตาของชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเฉวียนเทียนมากที่บังอาจมากลั่นแกล้งตำหนักมู่ถึงเพียงนี้

เพื่อข่มขู่คนทั้งทวีปเทียนหลัว เขาก็ไม่ยอมแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนก็ตาม

ภายใต้สายตาที่ตกตะลึง มู่เฉินก็ยิ้มน้ำเสียงเย็นชาสะท้อนออกมา

“ข้าจะทำอะไรได้? งั้นมาประลองกันว่าใครจะอยู่และใครจะตาย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท