หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1404

ตอนที่ 1404

เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

ทำเอาผู้คนตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่กลัว เขายังกล้าที่จะท้าทาย ราวกับว่าไม่เกรงกลัวการรวมพลังของจอมยุทธ์ทั้งสามคน

ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน จื่อชี่ เหลยจุนเจ่อและหลงเตียวก็มีสีหน้าดิ่งลง นับตั้งแต่ที่พวกเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้รับความท้าทายเช่นนี้

นอกจากนี้ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบด้านจำนวนด้วย

“ประมุขมู่ช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับพวกเราสามคนได้ด้วยตัวคนเดียวเรอะ” หลงเตียวมีสีหน้ามืดครึ้มพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา

มู่เฉินตอบอย่างสบายว่า “ทำไมจะไม่ล่ะ?”

ขณะที่พูดแสงหลิงก็พุ่งออกมาจากร่างรองของเขา แต่ละคนก็เร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมา แสงกำจายออกไปปลดปล่อยพลังอันไร้ขอบเขต ชัดว่าก้าวเข้าสู่สภาพพร้อมรบเต็มที่

ในเวลานี้ทุกคนรู้ดีว่ามู่เฉินไม่ได้หลอก เขาตั้งใจที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามจริงๆ

จอมยุทธ์ทั้งสามมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หัวใจสั่นสะท้าน ขณะนี้พวกเขาตระหนักดีว่าด้วยร่างรองทั้งสอง มู่เฉินไม่ได้ด้อยกว่าในแง่ของจำนวน

หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงในวันนี้ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับซึ่งอาจจบลงด้วยทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนตาย

ผลที่ตามมารุนแรงเกินไป ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบเรื่องนี้ได้

พวกเขาฝึกฝนมาอย่างขมขื่นหลายต่อหลายปีเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ยังไม่ได้รับชื่อเสียงเกียรติยศเพียงพอในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเลย การประลองกับมู่เฉินไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด

ไม่ต้องพูดถึงว่าทั้งสามคนไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พวกเขาเป็นคู่แข่งกัน หากไม่ใช่เพราะมู่เฉิน พวกเขาก็ไม่มีวันรวมตัวกันหรอก

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ไว้วางใจในพันธมิตรชั่วคราวนี่ หากการต่อสู้เกิดขึ้นและมีสักคนวิ่งหนีไป พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต

ตรงกันข้ามร่างรองทั้งสองของมู่เฉิน พวกเขาไม่เพียงแต่มีสายสัมพันธ์กัน แต่ทั้งสามคนยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างสมบูรณ์ การปะทะเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าได้

หากการต่อสู้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์นี้… โอกาสที่พวกเขาจะชนะไม่สูงเลย

ดังนั้นยามนี้พวกเขาทั้งสามจึงเริ่มลังเลและตกอยู่ในความเงียบ

ความเงียบทำให้ผู้คนที่จับจ้องมาต่างตกตะลึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามยังถูกมู่เฉินข่มขู่ ไม่กล้าที่จะปะทะ

นั่นไม่ได้หมายความว่าแม้ทั้งสามจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังกลัวมู่เฉินเหรอ?

ทุกคนจึงมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจและหวาดกลัวในดวงตา

ด้วยตัวเขาสามารถปราบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคนได้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อของมู่เฉินอาจดังระเบิดทั่วมหาพันภพเลยทีเดียว

ความเงียบจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จื่อชี่จะถอนหายใจ “ประมุขมู่ไม่มากไปหรือ?”

มู่เฉินตอบเสียงเรียบเฉย “ตอนที่พวกเจ้าสามคนสนับสนุนเฉวียนเทียนเพื่อมากดดันตำหนักมู่ พวกเจ้าเคยคิดไหมว่ามันมากไป?”

เขายกเปลือกตาขึ้นมองทั้งสามคนอย่างไม่แยแส “ถ้าข้าปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ ข้ากลัวว่าตำหนักมู่ของข้าจะไม่มีความสงบสุขในอนาคต”

“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะต่อสู้ ข้าก็ยินดี ถ้าไม่มีใจก็ตามที่ข้าพูดก่อนหน้า ถอนออกจากจักรวรรดิเหนือ”

จื่อชี่ขมวดคิ้วก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าทรัพยากรในจักรวรรดิเหนือจะไม่เล็ก แต่ถ้ำรัศมีม่วงของเขาก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุด ที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในทรัพย์สินและก็ไม่คุ้มที่จะต่อสู้กับมู่เฉินเพื่อมัน

ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักเมฆาม่วงที่อยู่ภายใต้สังกัดถ้ำรัศมีม่วงขอถอนตัวออกจากจักรวรรดิเหนือเพื่อเป็นการขอโทษต่อประมุขมู่”

เขาเป็นคนที่สามารถรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตอบสนองผลกำไรหรือขาดทุนด้วยความใจเย็น เนื่องจากเขารู้ว่าความได้เปรียบไม่ได้อยู่ข้างตัวเอง เขาจึงตัดสินใจปล่อยไป การเติบโตของตำหนักมู่ไม่สามารถหยุดได้และตราบใดที่มู่เฉินอยู่ที่นี่ก็เท่ากับมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามคน ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่าถ้ำรัศมีม่วงของพวกเขา

เมื่อเห็นว่าจื่อชี่ถอยออกไปแล้ว เหลยจุนเจ่อก็ส่ายหัว “ภูเขาเหลยยิงของข้าก็ถอนตัวด้วยเช่นกัน”

เมื่อหลงเตียวเห็นฉากนี้ ดวงตาก็กะพริบด้วยความโมโห ถ้าทั้งสองคนไม่ร่วมมือ เขาก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมู่เฉินทั้งสามได้

ดังนั้นเขาจึงได้แต่เค้นเสียงเย็น ส่งสายตาแสดงความเกลียดชังไปที่มู่เฉิน จากนั้นร่างเงาก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานออกไป

การกระทำแสดงถึงการเลือกของเขาแล้ว

เมื่อประมุขจักรวรรดิเหนือทั้งสามคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็มืดครึ้มด้วยความขมขื่น พวกเขาไม่คิดว่าแม้แต่กองกำลังสนับสนุนของพวกเขาก็ยอมแพ้ มากกว่าจะต่อสู้กับมู่เฉิน

หากไม่มีการสนับสนุน พวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรในการแข่งขันกับตำหนักมู่อีกล่ะ? ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่มีพื้นที่สำหรับพวกเขาในจักรวรรดิเหนือแล้ว

พอเห็นการเลือกของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสาม สายตาของมู่เฉินห็วูบไหว แต่เขาไม่ได้แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าทั้งสามที่ต่างมีความคิดไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเขาหรอก

แต่นี่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เฉวียนเทียนถูกปราบปราม ถ้าเขารอดไปได้ก็จะเป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ส่งนะ เชิญ” มู่เฉินประสานมือให้พลางพูดกับทั้งสามคนอย่างนิ่งเฉย

จื่อชี่และเหลยจุนเจ่อก็ได้แต่กลืนความโกรธแค้นลงท้องไป แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงจากไป หากยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปจะต้องอับอายขายหน้ามากกว่านี้แน่

พร้อมกับการจากไปของพวกเขา ความกดดันที่ปกคลุมพื้นฟ้าและพื้นดินก็ค่อยๆ หายไป หลายคนรู้สึกโล่งใจอย่างมากขณะที่ปาดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผาก

มู่เฉินโบกมือ ร่างรองก็หายไป เจดีย์ที่อยู่ในมือก็กลับเข้าไปสถิตในดวงตา

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาก็ไพล่มือไว้ด้านหลัง สายตาทะลุทะลวงมองฝูงชนที่เฝ้าสังเกตการณ์จากระยะไกล

เมื่อรู้สึกถึงการสายตาเจาะทะลุของมู่เฉิน แต่ละคนก็เริ่มผละออกและรู้สึกเสียดาย ถ้ามู่เฉินแสดงความอ่อนแอให้เห็น ใครจะรู้ว่ามีกี่คนที่พยายามเฉือนตำหนักมู่ออก แต่น่าเสียดายที่มู่เฉินทรงพลังสามารถดึงตำหนักมู่ที่กำลังอยู่ที่ขอบเหวกลับมาได้

นอกจากนี้เมื่อไรที่เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ตำหนักมู่จะเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำของทวีปเทียนหลัวทันที ในอนาคตตำหนักมู่อาจมีโอกาสก้าวขึ้นด้านบนสุดของทวีปเทียนหลัวและกลายเป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริง

ตอนนี้ก็เก่งกาจใช่เล่น อนาคตก็จะต้องลุกขึ้นผงาดเหมือนมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครหยุดเขาได้ ตำหนักมู่จะใช้ประโยชน์จากความปั่นป่วนและก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุด

บนท้องฟ้า เมื่อสายตาเหล่านั้นหายไป มู่เฉินก็ดึงความกดดันที่น่ากลัวรอบๆ ตัวออกแล้วพลิ้วลงมาจากท้องฟ้ายืนเบื้องหน้าตำหนักมู่

“ยินดีต้อนรับท่านประมุข”

เมื่อเห็นมู่เฉินลงมา หลิ่วเทียนเต้าและคนที่เหลือก็คุกเข่าด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า

มู่เฉินมองไปที่ทุกคน ก็เห็นว่าจำนวนจอมยุทธ์ชั้นสูงลดลงหลังจากที่เขาจากไป

เมื่อรู้สึกถึงสายตามองของมู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็ก้าวออกมา “ภายใต้แรงกดดันของผู้เฒ่าเฉวียนเทียนในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่เข้าร่วมกับเราก็ขอถอนตัวไปมาก”

เมื่อมู่เฉินได้ยินใบหน้าก็สงบนิ่ง “ดีแล้ว พวกที่หนีไปเมื่อเผชิญอันตรายอยู่ไปก็เป็นหายนะ”

มั่นถัวหลัวพยักหน้า คนพวกนี้เป็นพวกหมาใน หากเก็บไว้ก็อาจเป็นปรสิตในตำหนักมู่แทน

แม้ว่าครั้งนี้ความแข็งแกร่งของตำหนักมู่จะลดลง แต่พวกเขาก็สามารถกำจัดอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้

“สำหรับพวกที่ออกไปแล้วให้ยึดดินแดนและขับไล่พวกมันออกจากจักรวรรดิเหนือ ในอนาคตหากพวกมันกล้าที่จะแหย่เท้าเข้ามาอีกละก็ ฆ่าให้หมดตรงหน้าเลย” สายตาของมู่เฉินเป็นประกายด้วยแสงเย็น ถ้าเขาต้องการให้ตำหนักมู่ยืนยงอยู่ได้ เขาจะต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ส่วนคนที่กล้าหันหลังให้ตำหนักมู่เมื่อมีภัย เขาก็ต้องเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อเตือนใจเสียหน่อย

เมื่อได้ยินเสียงเยือกเย็นของมู่เฉิน หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน ทว่าบังเกิดความรู้สึกโชคดีในใจ โชคดีที่พวกเขาอดทนและอยู่ต่อไป มิฉะนั้นผู้โชคร้ายเหล่านั้นจะเป็นพวกเขาเอง

“เมื่อลงทัณฑ์แล้วก็มีรางวัลตอบแทนเช่นกัน”

มู่เฉินหันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง สายตาอ่อนโยนลง “สำหรับดินแดนที่ถูกยึดเหล่านั้นจะเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ยังไม่ถอนตัวออก จำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ที่จะได้รับในอีกสามปีข้างหน้าก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

คำพูดของเขาสร้างความสุขให้กับทุกคน เนื่องจากมีขั้วอำนาจจำนวนมากที่ถอนตัวออกจากตำหนักมู่ หากพวกเขาสามารถรับดินแดนเหล่านั้นได้ พลังของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้หากจำนวนป้ายทะเลสาบสวรรค์ก็จะเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาสามารถเข้าสู่ทะเลสาบสวรรค์เพื่อฝึกฝนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าแสดงความเคารพต่อมู่เฉิน “เราขอขอบคุณรางวัลจากท่านประมุข!”

เมื่อมั่นถัวหลัวและหลิงซีเห็นมู่เฉินใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งอย่างไร พวกนางก็สบตากันและยิ้ม พวกนางรู้ว่าช่วงเวลาที่มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุน การพัฒนาของตำหนักมู่ก็ถูกกำหนดขึ้น…

คราวนี้ไม่มีใครหยุดการทะยานขึ้นได้อีกแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท