หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1410

ตอนที่ 1410

ครึ่งเดือนต่อมา

จอมยุทธ์ตำแหน่งสูงของตำหนักมู่มารวมตัวกันด้านหน้าห้องโถง

มู่เฉินยืนไพล่มือหลังก่อนที่จะหันกลับมามองไปที่มั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียนที่ยืนหน้าสุด

“ตอนที่ข้าไม่อยู่มั่นถัวหลัวจะมีหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ในสำนักและหากมีใครมาท้าทายก็ต้องรบกวนผู้อาวุโสเฉวียนเทียนช่วยจัดการสักหน่อย” มู่เฉินยิ้มให้ทั้งสองคน

เฉวียนเทียนยิ้มพลางประสานมือ “ประมุขวางใจ ตอนนี้ข้าดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสของตำหนักมู่ ข้าจะรับผิดชอบสุดความสามารถ”

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ และมองไปที่มู่เฉิน “ระวังด้วย”

แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนกระทั่งนางเองก็ต้องเงยหน้ามอง แต่นางรู้ว่าเป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือหนึ่งในห้าเผ่าโบราณแห่งมหาพันภพ

รากฐานของเผ่าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาก็ยังหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลข้ารู้ขีดจำกัดของตัวเองดี”

เขาจะไม่รู้ถึงพลังของเผ่าโบราณได้อย่างไร? แต่เขามีแผนสำหรับการเดินทางครั้งนี้แล้ว

“ไปกันเถอะ”

หลังจากฝากฝังเรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็หันไปพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยง เนื่องจากทั้งสองคนเคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน การมีพวกเขาเป็นผู้นำทางก็สามารถช่วยเขาได้หลายอย่าง

ทั้งสองพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูด

จากนั้นทั้งสามคนก็เคลื่อนเข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนที่ประกายแสงจะค่อยๆ มารวมตัวกัน…

รัศมีปกคลุมสายตาของเขา ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ท้องฟ้า “เผ่าฝูถู…ข้ามาแล้ว”

ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาก็ทำงานหนักมาตลอดจนถึงวันนี้ คงมีแต่เทพเซียนที่รู้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามและอดทนแค่ไหน…

ทว่าการทำงานหนักของเขาได้รับผลตอบแทนแล้ว เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตก้าวเท้าออกจากบ้านเกิดเพื่อท่องยุทธภพจนกระทั่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุนในวันนี้และกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาพันภพ

และตอนนี้… ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแก้เรื่องราวในอดีตทั้งหมด

แสงหลิงพร่างพราวรวมตัวกัน คนสามคนก็หายไปในพริบตา

ทวีปฝูถู

ที่นี่เป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ

ในฐานะที่เป็นทวีปใหญ่ ควรจะมีขั้วอำนาจนับไม่ถ้วน ทว่าบนทวีปนี้มีเพียงขุมกำลังเดียว นั่นก็คือเผ่าฝูถู

การตั้งชื่อทวีปว่าฝูถูก็สามารถบอกได้ว่าเผ่าฝูถูถือว่าทั้งทวีปเป็นดินแดนของตน แต่การกระทำที่ครอบงำนี้กลับไม่ได้ดึงดูดปัญหาใดๆ

เนื่องจากทุกคนรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดที่เก่าแก่ที่สุดในมหาพันภพที่มีความแข็งแกร่งในการปกครองทั้งทวีป

เมืองสง่างามตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางทวีป เมืองนี้ได้ชื่อว่าเมืองฝูถูซึ่งเป็นหัวใจของทวีปนี้

ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของทวีป เมืองฝูถูไม่เคยร้างราผู้คน ทว่าช่วงนี้ประชากรที่มาที่นี่ก็เพิ่มสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เนื่องจากขั้วอำนาจทั้งหลายมารวมตัวกันที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะดูงานชุมนุมสายเลือดของเผ่าฝูถู…

เนินเขาขนาดใหญ่ที่ใจกลางเมืองมีจัตุรัสขนาดมหึมา ขณะนี้ร่างแสงนับไม่ถ้วนพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส

“สมกับเป็นเผ่าฝูถู อำนาจในการเรียกรวมผู้คนไม่อาจบรรยายได้จริงๆ” ร่างเงาสามร่างยืนอยู่ที่ริมจัตุรัสพร้อมกับรอยยิ้มของคนนำหน้า

พวกเขาก็คือมู่เฉิน หลิงซีและหลงเซี่ยงซึ่งใช้เวลาครึ่งเดือนในการเดินทางจากทวีปเทียนหลัว

มู่เฉินถอนหายใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนยิ่งใหญ่จากกลุ่มร่างแสงที่ลงมาจากท้องฟ้า

ทุกกลุ่มต่างมีจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนทั้งสิ้น

ในส่วนอื่นๆ ของมหาพันภพ พวกเขาอาจเป็นราชัน แต่ที่นี่พวกเขาอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น

“จอมยุทธ์ที่ถูกเชิญโดยเผ่าฝูถูล้วนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในมหาพันภพ มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจอ่อนแอบางส่วนเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญเพื่อสร้างสัมพันธ์กับเผ่าฝูถูด้วย” หลิงซีกล่าว

“ตำหนักมู่ของเราคงถูกจัดเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจอ่อนแอสินะ?” มู่เฉินยิ้ม ตำหนักมู่เพิ่งจะผงาดเข้าสู่การเป็นขั้วอำนาจสูงสุด ในแง่ของรากฐานพวกเขาอ่อนแอกว่ากลุ่มมากมายที่นี่

หลงเซี่ยงพ่นลมหายใจ “ถ้านายหญิงได้รับการช่วยเหลือ ตำหนักมู่ก็จะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย เทียบกับขั้วอำนาจอื่นในหาพันภพ เราก็จะจัดอยู่ในจุดสุดยอด”

มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหัวก่อนจะมองไปที่ภูเขาใหญ่ ประตูมิติกำลังวูบไหว ประตูนั้นจะนำไปสู่มิติฝูถู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ตระกูลใหญ่อาศัยอยู่

ถือเป็นหัวใจสำคัญของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว

ส่วนที่เหลือในทวีปนี้ถือได้ว่าเป็นกิ่งก้านใบเท่านั้น ไม่รู้ว่ามีสมาชิกตระกูลย่อยเท่าไรที่พยายามให้ตระกูลใหญ่ยอมรับ

เรือขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้ที่ด้านนอกประตูซึ่งจอดระหว่างเขตแดน บางครั้งก็จะลงมาที่จัตุรัสเพื่อต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติเข้าสู่มิติฝูถู

มีค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกป้องเขตแดนจากภายนอกและมีเพียงคนที่อยู่บนเรือเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่สามารถก้าวเข้ามาได้

“เกณฑ์ของประตูเผ่าฝูถูนี่สูงใช้ได้เลย” หลิงซีกวาดสายตามองและขมวดคิ้ว

นั่นเป็นเพราะตามกฎแล้ว เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้นที่สามารถขึ้นเรือได้โดยไม่ต้องรอจนเหนื่อย ส่วนพวกที่ไม่ได้รับเชิญก็ได้แต่รอจนสุดท้าย

แม้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ขั้วอำนาจสูงสุดที่มาด้วยตัวเองไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ระทมในใจเท่านั้น

“รอไปเถอะ ยังไงซะเราก็ไม่ได้มายินดีด้วย ถ้าพวกเขารู้ตัวตนของเรา กลัวว่าจะไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยซ้ำ” มู่เฉินยิ้มและสงบนิ่งลง ทว่าในส่วนลึกของดวงตาของเขาพล่านด้วยไอเย็นเยือก

“นายน้อย เรามาที่เผ่าฝูถูอย่างนี้มันดีจริงหรือ?” หลงเซี่ยงลังเลก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงกังวล พวกเขารู้ซึ้งถึงทัศนคติที่เผ่าฝูถูมีต่อมู่เฉิน หากคนเหล่านั้นสัมผัสถึงตัวตนของมู่เฉินได้ละก็ ด้วยพลังอำนาจของเผ่าฝูถู ต่อให้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็คงไม่สามารถหนีรอดไปได้

มู่เฉินยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อถูกจับกุมนะ”

เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของมู่เฉิน หลงเซี่ยงก็รู้สึกโล่งใจ เนื่องจากเขารู้จักนิสัยของมู่เฉินดี หากไม่มีการเตรียมการมู่เฉินก็ไม่ต้องหลุมพรางแน่นอน

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ร่างแสงก็ทะยานลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจัตุรัส

เมื่อรัศมีจางหายไป ภาพเงาทรงเสน่ห์โดดเด่นก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน

ร่างนั้นสวมชุดสีแดงเพลิงขับเน้นรูปร่างดึงดูดความสนใจของทุกคน โดยเฉพาะเสน่ห์เหลือล้นที่เล็ดลอดออกมาจากทุกอากัปกิริยาทำให้หัวใจสั่นไหวเลยทีเดียว

แม้จะทรงเสน่ห์ แต่สายตาของนางเย็นชานัก ทว่าเมื่อผสมผสานกันกลับยิ่งทำให้ดูน่าตื่นใจมากขึ้น

เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนนั้น ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่มากประสบการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสักนิด

แต่เมื่อสายตาของพวกเขาเห็นสัญลักษณ์เปลวเพลิงบนชุดของนาง หัวใจพวกเขาก็สั่นสะท้านก่อนที่จะเบนสายตาออก

เนื่องจากสัญลักษณ์นี้แสดงถึงพลังสูงสุดที่ไม่เป็นสองรองไปจากเผ่าฝูถู…

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

“ไม่คิดว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วจะส่งตัวแทนมาด้วย… พวกเขาไม่เคยเข้าร่วมชมงานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูมาก่อน ทำไมครั้งนี้ถึงมาล่ะ?” มีคนกระซิบกระซาบกัน

สาวทรงเสน่ห์ไม่ได้ให้ความสนใจกับสายตาโดยรอบ นางพาพรรคพวกเดินไปที่ศูนย์กลาง

เมื่อผู้ดูแลเผ่าฝูถูเห็นนาง สายตาก็เปลี่ยนไปด้วยความเคารพ กระวีกระวาดเชื้อเชิญ

แต่เมื่อพวกเขากำลังจะทักทาย หญิงสาวก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดใจบนใบหน้า

จากนั้นทุกคนก็เห็นนางเมินเฉยต่อผู้ดูแล หันเดินไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง

“มู่เฉิน เจ้ามาจริงด้วย”

มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวคนนั้นด้วยรอยยิ้มที่เกิดจากหัวใจ “เซียวเซียวนานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน”

นางก็คือเซียวเซียวที่ไม่ได้พบกันมานาน ครั้งนี้นางมาในฐานะตัวแทนแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

เมื่อนางเห็นมู่เฉินใบหน้าที่เย็นชาก็อ่อนโยนและสดใสขึ้น นางเม้มปากก่อนจะก้าวเยื้องเผยให้เห็นคนข้างหลัง

นี่เป็นชายชราคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีขาวที่ดูอัธยาศัยดีพร้อมกับสายตาลึกซึ้งทำให้เกิดปัญญา

เซียวเซียวยิ้มควงแขนชายชรา “มู่เฉินนี่คืออาจารย์ปู่ของข้า อาจารย์ของพ่อข้าน่ะ”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน ขณะที่เขามองไปที่ชายชราด้วยความตกใจ เซียวเหยียนที่เป็นที่เคารพนับถือเป็นศิษย์ชายชราคนนี้เหรอ?!

หัวใจของเขาโลดด้วยความตกตะลึงก่อนที่จะฉายสีหน้าเคร่งขรึมคารวะไปทางชายชราอย่างจริงจัง

“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท