หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1412

ตอนที่ 1412

เสียงหัวเราะพลิ้วหวานดังขึ้น

หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวด้วยชุดเสื้อยาวสีดำและกางเกงสีดำ เอวและช่วงขายาวอธิบายด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ ผมมัดเป็นหางม้าดูมีชีวิตชีวานัก

นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามยิ่ง ดวงหน้าแย้มบานด้วยรอยยิ้ม ความเฉลียวฉลาดวูบไหวอยูในม่านตา ซึ่งสามารถบรรเทาอารมณ์ของคนที่มองได้

นางก็คือหลินจิ้งนั่นเอง

“ครั้งนี้เจ้าไม่ได้หนีออกจากบ้านมาใช่ไหม?” มู่เฉินยิ้มแซวพร้อมกับทำตาเล็กตาน้อย

“ไม่ได้หนีนะ!” หลินจิ้งย่นจมูกพลางก้าวถอยหลังเผยให้เห็นภาพเงาอีกด้านหนึ่ง เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นคนผู้นี้ ก็อดรู้สึกอะไรจะปานนั้นไม่ได้ แต่เมื่อมองให้ชัดเจนความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นประหลาด

เนื่องจากชายคนนี้สวมชุดสีขาว ใบหน้าดูงดงามอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกสวยในแวบแรก แต่หากมองดีๆ ก็จะรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นผู้ชาย

“นี่ท่านอาเตียว น้องชายร่วมสาบานของท่านพ่อข้าน่ะ” หลินจิ้งจับแขนอีกฝ่ายแกว่งไปมาแล้วหัวเราะเสียงใส ก่อนจะขยิบตาให้มู่เฉิน “สวยใช่ไหม?”

ทุกคนแสดงท่าทางกระอักกระอวน จะให้ตอบคำถามนี้ยังไง?

เมื่อชายรูปงามได้ยินคำพูดของหลินจิ้ง มุมริมฝีปากก็กระตุก ถ้ามีคนอื่นบอกเขาว่าสวยละก็ คงโดนจัดการตบสั่งสอนไปนานแล้ว แต่สำหรับหลานสาวตัวน้อยเขาไม่อยากแม้แต่จะตีนาง จึงได้แต่ถลึงตาใส่อย่างช่วยไม่ได้

“โฮ่ๆ นี่คงเป็นประมุขรองแคว้นหวูท่านหลินเตียวใช่ไหม?” เย่าเฉินยิ้ม

เมื่อมู่เฉินได้ยินหัวใจก็สั่นสะท้าน เขาเคยได้ยินมาว่าประมุขรองแคว้นหวูก็มาจากพิภพเขตล่างเช่นกัน มิหนำซ้ำยังเป็นเทพอสูรเพียงพอนฟ้า เมื่อเข้ามายังมหาพันภพก็ได้พัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรของที่นี่ ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเลยทีเดียว

“หลินเตียวคารวะผู้อาวุโสเย่า” หลินเตียวประสานมือพร้อมกับดึงไอเย็นที่มีก่อนหน้ากลับคืน

จากนั้นเขาก็หันไปหามู่เฉินพลางกวาดสายตา “ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นมู่เฉินใช่ไหม?”

“คารวะผู้อาวุโสหลินเตียวขอรับ” มู่เฉินพยักหน้า

“พรสวรรค์ยอดเยี่ยม มิน่าแม้แค่หลินต้งยังประเมินเจ้าไว้สูงมาก” หลินเตียวกล่าวชื่นชม ด้วยสายตาเฉียบแหลมเขาสามารถบอกได้ว่ารากฐานของมู่เฉินแข็งแกร่งมาก แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่ก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่งในอนาคตได้แน่นอน

“เราได้รับข้อความของเจ้า แคว้นหวูจะให้การสนับสนุน”

เย่าเฉินยิ้มอย่างอบอุ่น “หากต้องการอะไร แคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็จะช่วยเช่นกัน”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า การมาเยือนเผ่าฝูถูครั้งนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังอ่อนแอเกินไปหากต้องการฉีกหน้ากับเผ่าโบราณนี้

ดังนั้นก่อนที่เขาจะเดินทางก็ได้ส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแค้วหวู่จิ้งฮั่ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงมาตราการการป้องกันเท่านั้น ในกรณีที่เผ่าฝูถูเล่นตุกติก ไม่อย่างนั้นคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวพวกเขาหรอก

“งั้นข้าขอแสดงความขอบคุณ ครั้งนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” มู่เฉินคารวะด้วยมารยาทให้กับหลินเตียวและเย่าเฉิน

เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความคุ้มครองแก่เขาเพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเซียวเซียวและหลินจิ้งไว้ แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือตอบแทนมาแล้ว ดังนั้นหากเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาก็จะต้องเป็นหนี้บ้าง

“ตอนนี้เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นหนี้บุญคุณแล้ว” หลินเตียวยิ้ม คำพูดนี้ชัดเจน ในมหาพันภพไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นหวูและแคว้นหวู่จิ้งฮั่วได้ ทว่ามู่เฉินสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่วัยเท่านี้ อนาคตเขาจะกลายเป็นยอดยุทธ์ที่มีศักยภาพแน่นอน ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติที่จะให้ความช่วยเหลือ

มู่เฉินพยักหน้า “ในอนาคตถ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าก็จะทำเต็มความสามารถ”

หลิงซีและหลงเซี่ยงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉินถึงกล้ามาที่เผ่าฝูถู เพราะว่าเขาวางแผนเตรียมพร้อมทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

ด้วยการสนับสนุนจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ก็ไม่ต้องกลัวการข่มขู่จากเผ่าฝูถูแล้ว

หลิงซีมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาพอใจ ใครจะคิดได้ว่าชายหนุ่มที่ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางเพื่อท่องยุทธภพจะเติบโตขึ้นแล้วในตอนนี้? มากจนถึงขนาดที่เขาสามารถเชิญขั้วอำนาจสูงสุดทั้งสองของมหาพันภพและยืนเคียงข้างยักษ์ใหญ่ทั้งสองได้ กระทั่งเผ่าฝูถูก็ยังไม่กล้าเผยอหน้ามอง

“ในเมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว เราก็มุ่งหน้าเข้าสู่มิติฝูถูกันเถอะ” เย่าเฉินยิ้ม

ทุกคนพยักหน้า ผู้ดูแลก็รี่เข้ามาเรียกเรือหรูหราที่สุดให้

ขั้วอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งสองไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเผ่าหมัวเฮอแต่อย่างใด ในบางแง่มุมแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ยังหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรรพรรดิสงคราม

สำหรับพวกมู่เฉินทั้งสามคน พวกเขาได้นั่งบนเรือที่หรูหราที่สุดเนื่องจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูชักชวน ทิ้งสายตาอิจฉาจำนวนมากไว้

เรือแล่นไปอย่างรวดเร็วถึงประตูทางเข้าในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นก็แล่นเข้าไปช้าๆ

เมื่อเรือเข้าไป พลังทรงประสิทธิภาพก็กวาดออกไป ทำให้ดวงตาของเย่าเฉินและหลินเตียวหดลงเลยทีเดียว

“นี่คือค่ายกลพิทักษ์ของเผ่าฝูถู” มู่เฉินก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหรี่ตามองไปในความว่างเปล่า ความสำเร็จในด้านค่ายกลของเขามาถึงขั้นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้คลุมเครือว่ามีค่ายกลขนาดใหญ่ปกป้องพื้นที่นี้อยู่

ค่ายกลพิทักษ์นี้เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิงก็ไม่สามารถทำลายได้

“มีหลายวิธีในการใช้ค่ายกลพิทักษ์ เห็นได้ชัดว่าคนรุ่นหลังได้ค่อยๆ ปรับปรุงจนสมบูรณ์แบบ” มู่เฉินหลับตาสัมผัสค่ายกล ก่อนที่ดวงตาเขาจะสั่นสะท้าน

เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยที่มาจากมัน

“ท่านแม่สินะ… ท่านแม่เข้าร่วมในการทำให้ค่ายกลพิทักษ์นี้ให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังชัดเจนมาก คงไม่ได้ผ่านมานานเท่าไร” สายตาของมู่เฉินวูบไหวก่อนที่รอยยิ้มแปลกประหลาดจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นก็สลายการสัมผัสไป เพราะกลัวว่าจะโดนคนอื่นจับได้

เมื่อเรือแล่นเทียบท่าทัศนียภาพก็เปลี่ยนไป ราวกับว่าพวกเขาเข้าสู่อีกโลกหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์ลอยอวลเติมมิติ

“สมกับเป็นหัวใจของเผ่าฝูถูแท้จริง” มู่เฉินถอนหายใจกับฉากนี้ แม้แต่วังสวรรค์บรรพกาลก็ยังขาดเมื่อเทียบกับมิติฝูถูแห่งนี้

ทว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะวังสวรรค์บรรพกาลถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิฟ้า หลังจากนั้นท่านก็สละชีวิต ไม่มีใครช่วยสานต่อ ดังนั้นจึงสึกกร่อนไปตามกาลเวลา ซึ่งตรงกันข้ามกับมิติฝูถูที่ได้รับการจัดการอย่างดีในช่วงหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงแข็งแกร่งกว่าวังสวรรค์บรรพกาลโดยธรรมชาติ

เรือแล่นข้ามขอบฟ้าไม่นานก็แล่นช้าลง มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกได้ถึงความเร็วที่ลดลงกะทันหัน พวกเขาพากันมองขึ้นไปข้างหน้า

เทือกเขาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าครรลองสายตาพร้อมกับเจดีย์สีดำขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายไป

ทั่วทั้งฟ้าดินพร้อมกับกลิ่นอายโบราณลอยฟุ้ง

เมื่อเรือจอดเทียบท่า ร่างแสงก็ทะยานมาจากระยะไกลพลิ้วตัวลงบนเรือ

“ขงคงจากเผ่าฝูถูทักทายผู้เฒ่าเย่าและท่านหลินเตียว”

เขาเป็นชายสูงวัยที่มีผมสีดำแซมขาว แรงกดดันทรงพลังเปล่งออกมาจากร่างกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง

“อา…ผู้อาวุโสขงคง” เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้ารับ

มู่เฉินมองไปที่ผู้อาวุโสขงคงก่อนที่จะกวาดสายตาไปที่ด้านหลังก็ต้องอึ้งไปชั่วครู่ เขาเห็นคนคนหนึ่งเบิกตากว้างกำลังมองมาที่เขา

“ชิงซวง”

มู่เฉินมองไปที่หญิงสาวพร้อมกับสายตากะพริบวูบไหว เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับชิงซวงตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาเหยียบเผ่าฝูถู

“ทุกคนมาไกลไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

ผู้อาวุโสขงคงให้ความสุภาพกับเย่าเฉินและหลินเตียวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะมองไปที่มู่เฉิน “พ่อหนุ่มดูไม่คุ้นหน้านะ มีเทียบเชิญไหม?”

“เขาเป็นสหายน้อยของพวกเรามาที่นี่เพื่อชมพิธีน่ะ” เย่าเฉินยิ้ม

ขงคงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่แววตาจะจางลง ไม่มีกระทั่งเทียบเชิญ คงมาจากแค่ขั้วอำนาจธรรมดา

“โปรดตามข้ามา”

ขงคงหันหลังทะยานไปยังภูเขาสูงตระหง่านที่เต็มไปสวนที่ตกแต่งอย่างหรูหราสำหรับแขกสำคัญ

“ชิงซวงนำแขกทั้งสามคนไปที่สวนพักขั้นตี้เถอะ”

ขงคงกล่าวกับชิงซวง เขาต้องการต้อนรับกลุ่มเย่าเฉินและหลินเตียว สำหรับกลุ่มมู่เฉิน เขาไม่จำเป็นต้องรับเป็นการส่วนตัว

ชิงซวงพยักหน้านำทางไป

มู่เฉินพยักหน้าให้เย่าเฉินและหลินเตียว ก่อนที่เขาจะออกไปกับหลิงซีและหลงเซี่ยง

ทั้งกลุ่มลัดเลาะมาถึงสถานที่ที่ไม่มีผู้คน ก่อนที่ชิงซวงจะหยุดแล้วหันขวับมามองมู่เฉินอย่างโกรธเคือง “เจ้าอยากตายจริงๆ ใช่ไหม! ทำไมถึงมาที่เผ่าฝูถู?!”

“เจ้ากำลังเหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่ายชัดๆ!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท