“มู่เฉินทักทายผู้อาวุโสขอรับ”
มู่เฉินไม่กล้าไร้มารยาทต่อชายชรา เขาประสานมือโค้งคำนับพร้อมกับท่าทางเคร่งขรึมลง บุคคลที่สามารถสั่งสอนใครสักคนที่ยิ่งใหญ่อย่างเทพจักรพรรดิอัคคี ชายชราคนนี้ต้องมีความพิเศษแน่
“ฮ่าๆ ข้าชื่อเย่าเฉิน พูดถึงเรื่องนี้ดูเหมือนว่าเราจะมีชะตาต่อกันนะ กระทั่งชื่อยังใช้คำว่า ‘เฉิน’ เหมือนกันอีกด้วย”
ชายชรายิ้มให้มู่เฉินอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะพูดต่อ “จอมยุทธ์หนุ่มน้อยขุมพลังเทียนจื้อจุน เจ้าถือได้ว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ข้าเคยเห็น ไม่น่าแปลกใจที่เซียวเหยียนประเมินเจ้าไว้สูง”
“ท่านเซียวเหยียนชมเกินไป” มู่เฉินยิ้มโดยไม่มีความโอหังหรือความเย่อหยิ่งสักนิด
แม้ว่าเย่าเฉินจะแก่ชรา แต่มู่เฉินก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันคลุมเครือที่แผ่ซ่านออกมา เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนของแท้
เมื่อเทียบกับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเช่นเขา เย่าเฉินอยู่ในระดับสูงขึ้นไปอีก
แต่มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคีจะมีความแข็งแกร่งเช่นนี้
ดังนั้นเทียบกับพลังของเย่าเฉินแล้ว มู่เฉินอยากรู้เกี่ยวกับของเซียวเซียวมากกว่า เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของนางไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลย
“เจ้าก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วด้วยหรือ?” มู่เฉินมองเซียวเซียวด้วยความประหลาดใจ
ตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก แม้ว่านางจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ก็ยังอยู่ห่างจากระดับเทียนจื้อจุน ส่วนตัวมู่เฉินเองผ่านโชคลาภและประสบการณ์มากมายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจที่เซียวเซียวไล่ตามเขามาทันได้
“ทำไม? เจ้าเป็นอัจฉริยะคนเดียวในโลกเหรอ?” เซียวเซียวพ่นลมหายใจ
มู่เฉินยิ้มแหย ส่วนเย่าเฉินที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะเบาๆ “ในแง่ของเวลาการบ่มเพาะพลังเซียวเซียวไปไกลกว่าเจ้าสิบกว่าเท่า แต่นางจะเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นระยะเนื่องจากสภาพร่างกาย ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นพลังก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ก่อนหน้านี้นางหลับไปประมาณหนึ่งปี เมื่อตื่นขึ้นมาก็ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนน่ะ”
มู่เฉินตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตามองเซียวเซียวแปลกไป ไม่คิดว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้ แค่นอนก็สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
ตรงกันข้ามกับเขาที่ต้องเสี่ยงชีวิต แค่คิดถึงก็รู้สึกเปรี้ยวฝาดในใจ
“มองอะไร?!” เซียวเซียวส่งเสียงแหววอย่างเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อเมื่อนางเห็นสายตาที่มองแปลกไปของมู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะถอนสายตาแนะนำหลิงซีและหลงเซี่ยงให้รู้จัก
ขณะที่บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายกลมกลืน สายตาจำนวนมากก็พุ่งไปที่มู่เฉินอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาต่างสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของชายหนุ่ม เพราะในเมื่อได้รับความใส่ใจแบบนี้จากแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ชายหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาล่ะมั้ง?
วาบ!
ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังเดาตัวตนของมู่เฉิน ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างเงาสิบกว่าร่างพลิ้วลงมาที่จัตุรัส
เมื่อพวกเขาปรากฏขึ้นความกดดันมหาศาลแผ่กระจายออกไปทำให้ทั้งจัตุรัสเงียบเสียงลง
สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่พวกเขา
นี่เป็นกลุ่มจอมยุทธ์ที่มีสิบกว่าคนโดยมีผู้นำเป็นชายที่มีรัศมียิ่งใหญ่ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวดำพร้อมกับกลิ่นอายสูงส่ง โดยเฉพาะดวงตาข้างหนึ่งของเขาก็เป็นสีดำอีกข้างหนึ่งเป็นสีขาวดูมีมนตร์ขลังอย่างยิ่ง
เมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์นั้น ก็มีเสียงอุทานดังออกมาจากโดยรอบ “นี่คือเผ่าหมัวเฮอ มิน่าล่ะรัศมีของพวกเขาถึงยิ่งใหญ่เพียงนี้”
เผ่าหมัวเฮอเป็นหนึ่งในห้าเผ่าเก่าแก่ของมหาพันโลกเช่นกัน
ชายคนนั้นไม่สนใจสายตาที่แสดงความเคารพรอบข้าง ท่าทางเขาประหนึ่งจักรพรรดิเสด็จ
ผู้ดูแลเผ่าฝูถูรีบเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว เมื่อโบกมือเรือหรูหราก็ล่องลงมา
เรือหรูหราลำนั้นเป็นสิ่งที่มีเพียงแขกชั้นสูงที่สามารถใช้ได้
“เผ่าหมัวเฮอเรอะ?”
มู่เฉินมองไปที่คนกลุ่มนั้น สายตาก็วูบไหวเพราะเขาจำได้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบถูกเก็บไว้ในเผ่าโบราณเผ่านี้
ตอนนี้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขามาถึงจุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นอนาคตเขาจะต้องมุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอเพื่อสร้างร่างมหาเทพนิรันดร์ให้สมบูรณ์
“หืม?”
ขณะที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในใจเขา ประกายแสงสีม่วงทองก็พวยพุ่งรอบตัว ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทำท่าจะปรากฏออกมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้เขาตกใจก่อนที่จะระงับอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขารู้สึกได้ว่าความผิดปกติของร่างเทพสุริยะนิรันดร์เกิดจากคนผู้นั้น
ในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาหยุดการเคลื่อนไหวลงก่อนที่จะมองไปทางมู่เฉิน
สองสายตาปะทะกัน กระแสเลือดและรัศมีในร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้าน
มู่เฉินหรี่ตาลง สีหน้าเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงไอหนาวเหน็บไม่เป็นมิตรที่มาจากชายคนนั้น
“เจ้านั่น…ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ด้วย!” มู่เฉินอึ้งไป ปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดมาจากร่างเทห์สวรรค์ที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน
“แต่ไม่แปลกที่สมาชิกเผ่าหมัวเฮอจะฝึกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ในเมื่อพวกเขาครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์อยู่” มู่เฉินพึมพำในใจ
มู่เฉินพึมพำในใจ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็มีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ต่างกันพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยความเยาะเย้ยดูถูก “น่าสนใจ…ไม่คิดว่าจะได้พบกับคนนอกที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่นี่”
ตั้งแต่โบราณมาแล้วที่เผ่าหมัวเฮอได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์จากเทพจักรพรรดินิรันดร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาประกาศตัวว่าเป็นผู้สืบทอดชอบธรรมหนึ่งในสิบร่างมหาเทพปฐมกาล พยายามยับยั้งพวกฝึกฝนนอกรีตด้วยเพราะเกรงว่าจะมีคนที่เหมาะสมปรากฏขึ้นและนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากเผ่า
ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นว่ามู่เฉินครอบครองร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เขาก็ปลดปล่อยความเป็นศัตรูออกมาทันที
สายตาเขาวูบไหวด้วยไอเย็นชา เขาคิดจะสั่งให้คนไปตรวจสอบที่มาของมู่เฉิน แต่เมื่อเขาเห็นเซียวเซียวและเย่าเฉินที่อยู่ข้างๆ มู่เฉิน ดวงตาเขาหดลง
“แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว?”
แววตาชายคนนั้นจมลงด้วยความหวาดกลัววูบวาบในดวงตา ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อจากไป
“เผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจเหมือนเดิม” เซียวเซียวส่งเสียงเย็นชาขึ้นจมูกขณะมองแผ่นหลังของชายคนนั้น
“เขาคือใครกัน?” มู่เฉินถาม ชายคนนั้นก็ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ จะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาในอนาคตอันใกล้ เมื่อเขามุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอ
“เขาชื่อหมัวเฮอโยวเป็นน้องชายของประมุขเผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอเทียน” เย่าเฉินตอบ
“หมัวเฮอเทียน?” มู่เฉินหดดวงตาเมื่อได้ยินชื่อนี้ นี่เป็นชื่อที่มีชื่อเสียงมากในมหาพันภพ
“หมัวเฮอเทียนเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและพยายามกลืนกินแคว้นหวู่จิ้งฮั่วในอดีต แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับท่านพ่อข้า นับจากนั้นมาเผ่าหมัวเฮอก็ไม่กล้าเดินเฉียดแคว้นหวู่จิ้งฮั่วอีกเลย” เซียวเซียวตอบ
มู่เฉินพยักหน้า เขาเคยได้ยินเหตุการณ์นี้มาก่อน หลังจากครั้งนั้นแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในสุดยอดขั้วอำนาจสูงสุดแห่งมหาพันภพ
“จักรพรรดิฟ้าเคยบอกว่าหากข้ามีภูมิหลังและความแข็งแกร่งเพียงพอ ก็ให้มุ่งหน้าไปยังเผ่าหมัวเฮอเพื่อรับร่างมหาเทพนิรันดร์ เมื่อพิจารณาถึงตอนนี้มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังจริงๆ หากไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอแม้ว่าข้าจะมีวาสนากับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็กลัวว่าจะไม่สามารถรับมาได้” มู่เฉินพึมพำในใจ ตอนแรกเขายังมีความคาดหวัง แต่เมื่อเห็นหมัวเฮอโยวในครั้งนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์อย่างสันติ
“งั้นเราเข้าสู่มิติฝูถูกันดีกว่า” เซียวเซียวเหลือบมองผู้คนในจัตุรัสที่เพิ่มมากขึ้น นางรู้สึกไม่ชอบใจกับสายตาที่จ้องมารอบตัวแล้ว
มู่เฉินพยักหน้าไม่มีข้อขัดข้องอะไร
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไป ทันใดนั้นมู่เฉินก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้าก็ยิ้มกว้างออกมา “รอหน่อยนะ มาอีกคนแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงมู่เฉิน คนกลุ่มนี้ก็พลิ้วตัวลงมาข้างๆ พวกเขาเลยทีเดียว จากนั้นเรียวแขนก็ยื่นออกมาเกาะไหล่มู่เฉิน ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“คิกๆ มู่เฉิน ไม่เจอกันตั้งนาน คิดถึงข้าไหม?”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนั้น มู่เฉินก็ยิ้มบาง นี่จะเป็นใครอีกล่ะนอกจากหลินจิ้ง?