หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1413

ตอนที่ 1413

“เหวี่ยงตัวเองเข้ามาในตาข่าย?”

มู่เฉินมองชิงซวงที่กำลังคลั่งก่อนที่จะยิ้มตอบว่า “ท่านแม่ปกป้องข้ามาตั้งนาน ข้าไม่โง่ที่จะหุนหันพลันแล่นหรอก”

“เจ้าก็รู้ตัวนี่? ที่นี่คือมิติฝูถูซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ของเผ่าฝูถู! ด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มของเจ้า ผู้อาวุโสทุกคนที่นี่จับกุมเจ้าได้อย่างง่ายดาย!” ชิงซวงถลึงตาขณะที่ร้องโวยวาย

เหตุผลที่นางลงทุนเสี่ยงไปแจ้งข่าวให้มู่เฉิน ก็เพื่อให้เขาไปซ่อนตัวให้ดีและไม่ถูกตรวจพบโดยเผ่าฝูถู แต่ตอนนี้เขาดันวิ่งทะเล่อทะล่ามาที่เผ่าฝูถู ซึ่งนี่ทำให้นางรู้สึกโกรธมาก

“ข้าว่าคงไม่มีผู้อาวุโสคนไหนจับข้าได้หรอก” มู่เฉินยิ้ม

“เจ้า!” ชิงซวงมุ่นคิ้ว นางรู้สึกว่าคำพูดของมู่เฉินดูจะผยองเกินไปหน่อย

แต่ก่อนที่นางจะเริ่มโวยวายต่อ มู่เฉินก็ก้าวออกมาครึ่งก้าวพร้อมกับรัศมีที่น่ากลัวพวยพุ่งออกมาจากร่างกายเขา ทำเอาฟ้าดินโดยรอบสั่นสะเทือน

ชิงซวงหดดวงตาทันทีจากนั้นก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะปล่อยแรงกดดันน่ากลัวออกมาชั่วขณะ แต่นางก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนจากระยะทางแค่นี้

รัศมีนั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนในตระกูลก็ไม่สามารถประชันด้วยได้

“จะ…เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วหรือ?!” ดวงตาชิงซวงโตเท่าไข่ห่านพร้อมกับความไม่เชื่อบนใบหน้า ตอนที่นางพบกับมู่เฉินเมื่อปีก่อนเขาเพิ่งบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ในเวลาสั้นๆ เพียงปีเดียวเขาก็ก้าวข้ามขอบเขตเข้าสู่ขุมพลังเทียนจื้อจุน!

ความเร็วในการฝึกฝนของเขาน่าสะพรึงขนาดไหน? ต้องมีพรสวรรค์และโอกาสมากเท่าไรสำหรับสิ่งนั้น?

ในฐานะสมาชิกเผ่าฝูถู ชิงซวงรู้ชัดเจนว่าการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนยากเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์รากฐานมั่นคงในเผ่าฝูถูก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนอย่างยากลำบาก

เช่นเดียวกับเฉวียนหลัวและมั่วซินที่เป็นผู้นำจอมยุทธ์รุ่นใหม่ของตระกูลเฉวียนและมั่ว แต่กระนั้นพวกเขาก็สามารถแค่สัมผัสกับระดับเทียนจื้อจุนได้หลังจากใช้ทรัพยากรของเผ่าไปมหาศาล แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะบรรลุขุมพลังนั้นได้เมื่อไรกัน

แต่ตอนนี้มู่เฉินบรรลุระดับเทียนจื้อจุนก้าวนำทั้งสองคนแล้ว ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อแค่ไหน

“ได้รับโอกาสบางอย่างจึงบรรลุได้น่ะ” ท่าทางของมู่เฉินสงบลง

ชิงซวงตะลึงไปนานก่อนที่จะฟื้นสติขึ้นมาและมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน นางรู้ดีถึงคลื่นความตกตะลึงที่จะซัดใส่เผ่าฝูถูหากมีการเปิดเผยเรื่องนี้

มู่เฉินเป็นตัวกาลกิณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์ แต่ก็ควรมีขีดจำกัด ทว่าความเป็นจริงกลับทำให้ทุกคนถูกตบหน้า ซ้ำยังบอกพวกเขาด้วยว่าแม้จะไม่มีเผ่าฝูถูคนอย่างเขาก็ยังสามารถเหนือกว่าอัจฉริยะที่พวกเขาฟูมฟักเลี้ยงดูมาในเผ่า…

“ตะ… แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ควรมาที่เผ่าฝูถูนะ!” ชิงซวงสูดหายใจเข้าลึกและพูด แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจข่มขู่เผ่าฝูถูได้ เพราะรากฐานเผ่าโบราณลึกล้ำ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแม้แต่ขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก่อปัญหาในเผ่าฝูถู

“ข้ารู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ” มู่เฉินพยักหน้า

เมื่อเห็นแววตาสงบนิ่งของมู่เฉิน ชิงซวงก็รู้ว่าคำห้ามปรามของนางไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงทำเพียงถอนหายใจและพาทั้งสามคนไปยังลานเงียบสงบ

“ข้าบอกเรื่องนี้กับผู้อาวุโสชิงเซวียนได้ไหม?” ชิงซวงมองไปที่มู่เฉินพลางถามหลังจากจัดการเรื่องนี้แล้ว

หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า

ชิงซวงรู้สึกหายใจโล่งบ้าง เมื่อตกลงกันเรียบร้อยนางก็ออกไป

มู่เฉินมองร่างเงาบอบบางก็หันกลับมาพูดกับหลิงซีและหลงเซี่ยงว่า “สองวันนี้พยายามอย่าออกไปไหน ทุกอย่างรอให้เริ่มงานชุมนุมสายเลือดก่อน”

ถึงยังไงพวกเขาก็มาอยู่ในเผ่าฝูถูแล้ว หากตัวตนของพวกเขาถูกเปิดเผยก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมาย

หลิงซีและหลงเซี่ยงพยักหน้า ครั้งหนึ่งพวกเขาก็เคยอยู่ในเผ่าฝูถูมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เกี่ยวกับรากฐานของเผ่าโบราณเผ่านี้โดยธรรมชาติ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในถ้ำเสือแล้ว พวกเขาต้องระวังตัวให้มาก

หลังจากสั่งทั้งสองคนแล้ว มู่เฉินก็เคลื่อนไหวไปปรากฏตัวในเก๋งหินที่ตั้งอยู่ในสวนแล้วนั่งลง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แสงหลิงสว่างวาบในดวงตาราวกับว่ามีสัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนสะท้อนในรูม่านตา

บางทีคนอื่นอาจเห็นเพียงคลื่นหลิงไร้ขอบเขตเมื่อจ้องมองไปบนท้องฟ้าของมิติฝูถู แต่มู่เฉินสามารถมองเห็นค่ายกลขนาดใหญ่

ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าฝูถูและความลึกล้ำก็เป็นสิ่งที่แม้แต่หลิงเจิ้นจงซืออย่างมู่เฉินก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้

แต่เขาไม่ได้พยายามที่จะมองผ่านค่ายกลนี้ แต่พยายามทำความคุ้นเคยต่างหาก

การสัมผัสของเขากินเวลาตลอดบ่ายและแววตาก็สงบลงเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน

“เป็นอย่างนี้เอง…”

มู่เฉินพึมพำกับตัวเองด้วยแววตาอัศจรรย์ใจ นั่นเป็นเพราะขณะที่เขาสัมผัสก็ตระหนักได้ว่าจริงๆ แล้วค่ายกลพิทักษ์นี้มีช่องโหว่บางอย่าง

ช่องโหว่เหล่านั้นถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แต่มู่เฉินก็สามารถรับรู้ได้ชัดเจนด้วยทักษะที่ได้รับมา ถ้าเขาเดาไม่ผิดช่องโหว่เหล่านั้นถูกทิ้งไว้โดยมารดาของเขา

“หืม?”

ขณะที่มู่เฉินกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปทันที สายตาหันไปมองระลอกมิติที่ผันผวนในสวน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้น

นี่เป็นสตรีที่ยังคงเค้าความงดงามและสง่างาม นางก็คือผู้อาวุโสชิงเซวียนที่เขาเคยพบมาก่อน

“ผู้อาวุโสชิงเซวียนมาเร็วเหมือนกันนะ” มู่เฉินยิ้มขณะมองไปที่ชิงเซวียน

ชิงเซวียนมองไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะเคลื่อนไหวฉับพลันมาปรากฏที่เบื้องหน้าเขา ฝ่ามือของนางฟาดออกพร้อมกับรัศมีซัดใส่มู่เฉิน

แม้ว่าฝ่ามือนั้นดูเหมือนไร้พลัง แต่ก็ทำให้เก๋งหินถล่มลงมา พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนราวกับพังแหล่มิพังแหล่

เมื่อฝ่ามือน่ากลัวพุ่งเข้ามา มู่เฉินก็มีท่าทางไม่แยแส เขารอให้ฝ่ามือพุ่งลงมาก่อนที่จะปัดมือใส่ฝ่ามือนั้นลวกๆ

ปัง!

เกิดการปะทะกัน มู่เฉินไม่ได้ขยับไปไหน แต่ชิงเซวียนตัวสั่นถอยออกไปหลายก้าวโดยที่พื้นที่ใต้เท้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อทรงตัวได้ชิงเซวียนก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าอะไรอีก แต่มองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาซับซ้อน “ตอนที่ชิงซวงบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ข้ายังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เจ้าเหมือนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วจริงๆ”

ขณะที่พูดแววพึงพอใจก็กะพริบในส่วนลึกของดวงตานาง

ทว่าในไม่ช้านางก็ถอนอารมณ์ออกพลางทอดถอนใจ “แต่เจ้าก็ไม่ควรมาที่นี่”

“เผ่าฝูถูทำให้ข้ากับท่านแม่ต้องแยกจากกันเป็นสิบๆ ปี ทำไมข้าถึงไม่ควรมาล่ะ?” มู่เฉินพูดอย่างไม่แยแสพร้อมกับแสงเย็นวูบไหวในม่านตา

ผู้อาวุโสชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “กระทั่งแม่ของเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่สามารถต่อกรกับทั้งเผ่าได้ ตัวเจ้าที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงจะทำอะไรได้?”

“เผ่าฝูถูทรงพลัง แต่ข้าไม่คิดว่าทางเผ่าจะทำอะไรก็ได้ในมหาพันภพใช่ไหม?” มู่เฉินพูดอย่างใจเย็น โดยไม่เปิดเผยความกลัวใดๆ ในดวงตา

ชิงเซวียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นางคิดว่ามู่เฉินแค่พูดออกมาด้วยความโกรธ ที่สุดแล้วเผ่าฝูถูก็ไม่สามารถกระทำการอย่างไม่เกรงกลัวในมหาพันภพ แต่กลับไม่ใช่สำหรับมู่เฉิน

“เจ้าอยากทำอะไร?” ชิงเซวียนลังเล ก่อนที่จะกัดฟันถามออกมา

มู่เฉินมองไปที่ชิงเซวียน ท่าทางของเขาก็ผ่อนคลายลง “ท่านยอมช่วยข้าหรือ?”

สายตาของชิงเซวียนดิ่งลงก่อนที่จะตอบว่า “นางก็เป็นน้องสาวของข้าเช่นกัน แต่ตอนนี้ตระกูลชิงอ่อนแอลงทุกวัน อำนาจในเผ่าก็น้อยลง ตระกูลมั่วและเฉวียนพยายามกดตระกูลชิงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหลายเรื่องเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”

“ตอนนั้นเราไม่สามารถช่วยมารดาเจ้าได้ คราวนี้จะให้เราปล่อยเจ้าถูกจับตัวก็ไม่ได้ มิฉะนั้นตระกูลชิงก็ไม่มีหน้าขอโทษน้องสาวข้าและท่านตาแล้วจริงๆ”

มู่เฉินอยู่ในความเงียบงัน เขารู้ว่าตระกูลชิงยิ่งใหญ่ตอนที่ท่านตาเขาปกครองจนเติบโตเป็นหนึ่งในสายเลือดหลักของเผ่าฝูถู แต่หลังจากการตายของท่านตา มารดาของเขาไม่อยากที่จะรับช่วงประมุขตระกูลจึงหนีออกจากไป ท้ายที่สุดนางก็ได้พบกับบิดาเขาและให้กำเนิดเขา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้นางถูกคุมขัง

“ช่วยบอกสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลชิงได้ไหม?” มู่เฉินถาม

แม้ว่าตระกูลชิงจะเริ่มตกต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นพลังได้หากดึงเข้ามาช่วย มู่เฉินไม่ใช่คนหยิ่งผยองที่คิดจะเผชิญหน้ากับเผ่าโบราณนี้ด้วยตัวเอง

ชิงเซวียนยิ้มอย่างขมขื่น “สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายกว่าที่เจ้าคิด หากครั้งนี้ตระกูลชิงไม่สามารถแสดงผลงานใดๆ ในการประลองได้ เราจะหลุดจากการเป็นสายเลือดหลักตกเป็นสายเลือดย่อย…”

มู่เฉินขมวดคิ้ว สถานการณ์ของตระกูลชิงย่ำแย่ขนาดนี้แล้วเหรอ?

“งานชุมนุมสายเลือดคืออะไรกันแน่?”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท