หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1416 ผู้นำสามสายเลือด

บทที่ 1416 ผู้นำสามสายเลือด

ตึง ตึง!

คลื่นหลิงมหาศาลกวาดอาละวาด กลองบนยอดเขาแต่ละยอดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายคลื่นเสียงออกมา ทำให้เกิดเสียงชวนใจสั่นระรัวระหว่างสวรรค์และโลก

เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ทุกสายตาก็พุ่งตรงไปที่แท่นหยกทั้งสิบเก้าต้น

บนแต่ละแท่นหยกมีร่างจอมยุทธ์ยืนตระหง่ายอยู่ ซึ่งมีความผันผวนคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงพวยพุ่งระหว่างฟ้าดิน

ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแท้จริง

เมื่อมองฉากนี้ ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความอิจฉา ต้องรู้ว่าการประเมินรากฐานของขุมกำลังง่ายมาก เพียงแค่นับจำนวนจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็เท่านั้น

พูดโดยทั่วไป ขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนเดียวก็พอจะก้าวเข้าสู่ตำแหน่งของขั้วอำนาจสูงสุดได้ แต่มีเพียงขั้วอำนาจที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนเท่านั้นถึงจะนับว่าโดดเด่นในกลุ่มขั้วอำนาจสูงสุด

ตอนนี้เผ่าฝูถูเผยให้เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสิบเก้าคน ยิ่งกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด

เผ่าโบราณใดบ้างที่ไม่มีไพ่ตายซ่อนอยู่

และนี่ก็คือรากฐาน

รากฐานที่สั่งสมมานานนับหมื่นปี

ขั้วอำนาจสูงสุดทั่วไปอาจจรัสแสงได้ในช่วงสั้นๆ แต่สุดท้ายก็สลายหายไป มีเพียงเผ่าโบราณเท่านั้นที่สามารถพัฒนาและอยู่รอดต่อไปได้ หลังจากผ่านความยากลำบากเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น

เผชิญหน้ากับเผ่าโบราณที่มีรากฐานเช่นนี้ แม้แต่มู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเคร่งเครียด เผ่าโบราณทั้งห้าสมกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง

“ดูเหมือนว่าตำหนักมู่จะต้องให้ความสำคัญกับการดูแล หากต้องการยืนยงอยู่ได้” มู่เฉินตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง แม้ว่าตำหนักมู่อาจเรียกได้ว่าเป็นขั้วอำนาจสูงสุด แต่ก็เป็นเพราะการดำรงอยู่ของเขา เมื่อเทียบกับเผ่าฝูถูแล้ว ก็เหมือนกับหิ่งห้อยบินวนเวียนหน้าดวงจันทร์ดวงใหญ่

แต่ตำหนักมู่ก็เพิ่งได้ก่อตั้งไม่นาน ผลสำเร็จเท่านี้นับว่าดีแล้ว หากอนาคตมีโอกาสสามารถครอบครองทวีปเทียนหลัวซึ่งเป็นหนึ่งในมหาทวีปของมหาพันภพ บวกกับการมีอยู่ของวังสวรรค์บรรพกาล มู่เฉินเชื่อว่าจะมีจอมยุทธ์โดดเด่นเกิดขึ้นในตำหนักมู่ ในอนาคตบางทีอาจสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่เป็นหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเผ่าฝูถูเลย

มู่เฉินค่อยๆ ดึงความคิดกลับมาและมองไปที่ร่างเงาทั้งสิบเก้าร่างและพบว่าแท่นหยกเหล่านั้นแบ่งแยกกันชัดเจน

โดยรวมก็คือแยกออกเป็นสี่ส่วนอย่างคลุมเครือ

“นี่น่าจะเป็นตระกูลเฉวียน มั่ว ชิงและสายตระกูลย่อยของเผ่าฝูถู…” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง สายตาของเขาพุ่งไปที่ตระกูลเฉวียนบริเวณนั่นแข็งแกร่งที่สุดโดยครอบครองครึ่งขอบฟ้าเลยทีเดียว

มีแท่นเจ็ดแท่นในทิศทางนั้น โดยมีร่างเงาสีดำยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนแท่นที่สูงที่สุด เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา สายตาอบอุ่น พร้อมกับแสงหลิงไหลเวียนอยู่บนร่างกาย

เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ รัศมีของเขาดูอ่อนแอที่สุด แต่ทุกคนที่นี่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบอกได้ว่าชายคนนี้ควบคุมคลื่นหลิงของตัวเองราวกับเป็นหลุมดำไม่มีรั่วไหลและหลอมรวมกับฟ้าดินอย่างสมบูรณ์ นั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว

เห็นได้ชัดว่าร่างชุดดำอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายและกำลังพยายามที่จะบรรลุขั้นเซิ่ง

เมื่อมองไปที่นั่น มู่เฉินก็หดดวงตา เขารู้สึกได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากอีกฝ่าย

“นั่นคือประมุขตระกูลเฉวียน—เฉวียนกวาง… เขาเป็นบิดาของเฉวียนหลัวและเป็นหนึ่งในสองจอมยุทธ์ของเผ่าฝูถูที่มีโอกาสสูงสุดในการบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เมื่อเขาประสบความสำเร็จก็อาจจะได้รับตำแหน่งประมุขเผ่าไป” ชิงซวงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มองตามสายตาของมู่เฉิน

“พ่อของเฉวียนหลัว?” ดวงตามู่เฉินวูบไหวพลางพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเบนสายตาลงไปก็เห็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิงในบรรดาผู้อาวุโสตระกูลเฉวียน

เห็นได้ชัดว่าตระกูลเฉวียนส่งกำลังสูงสุดลงมาปกป้องตำแหน่งของพวกเขา

เมื่อเทียบกับตระกูลเฉวียนแล้ว ตระกูลมั่วมีคนน้อยกว่าหนึ่งคน ทว่าจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ปลดปล่อยรัศมีที่ไร้ขอบเขตออกมา

บนแท่นสูงสุดของตระกูลมั่ว เป็นชายวัยกลางคนที่มีดวงตาสีดำสนิทและมีลวดลายสีดำแปลกประหลาดอยู่บนใบหน้า เปล่งรัศมีเยือกเย็นออกมา รูม่านตาของเขาคล้ายกับหลุมดำสองหลุมที่กลืนกินคลื่นหลิงระหว่างฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง

“นั่นคือประมุขตระกูลมั่ว—มั่วถง เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเฉวียนกวางเลย” ชิงซวงอธิบายเพิ่มเติม

มู่เฉินพยักหน้า เห็นได้ชัดว่ามั่วถงเป็นจอมยุทธ์อีกคนหนึ่งที่มีศักยภาพในการก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ทั้งสองคนมีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมตระกูลเฉวียนและมั่วถึงรุ่งเรืองในขณะที่อยู่ในมือพวกเขา

ในตระกูลมั่วก็มีทั้งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนและขั้นหลิงอย่างละสามซึ่งไม่ธรรมดาเช่นกัน หากอยู่ในมหาพันภพ พวกเขาสามารถก่อตั้งขั้วอำนาจสูงสุดระดับยอดเยี่ยมได้เลยทีเดียว

เขาเลื่อนสายตาไปยังตระกูลชิง เมื่อเทียบกับสองตระกูลแล้ว ตระกูลชิงอ่อนแอกว่ามาก

เนื่องจากมีจอมยุทธ์เพียงสามคน นอกจากชิงเซวียนที่เขาคุ้นเคยแล้ว ผู้นำคือชายชราผมขาวที่มีรัศมีทรงพลัง แสงหลิงแผ่ออกมารอบตัวเขาทำให้มิติสั่นสะเทือน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเช่นกัน

แต่เมื่อเทียบกับเฉวียนกวางและมั่วถงแล้ว ตระกูลชิงอ่อนแอกว่ามาก เนื่องจากรัศมีของสองคนแรกราวกับดวงอาทิตย์ขึ้น ขณะที่ชายชราจากตระกูลชิงราวกับดวงอาทิตย์ตก

เส้นทางของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งต้องไร้ความหวาดเกรง หากสูญเสียความเฉียบคมนั่น ก็หมายความว่าจอมยุทธ์ตระกูลชิงผู้นี้ไม่มีโชคชะตาที่จะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว

“นั่นคือประมุขตระกูลชิงของเรา—ชิงเทียน…” ชิงซวงกล่าว

มู่เฉินพยักหน้าตอบทันที “รัศมีอ่อนแอ…เทียบกับอีกสองคนไม่ได้เลย”

พอได้ยินการประเมินนั้น ชิงซวงก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ถ้าท่านน้าจิ้งอยู่เฉวียนกวางและมั่วถงจะเทียบกับนางได้อย่างไร?”

จริงที่กล่าวตอนนี้เฉวียนกวางและมั่วถงยังค้นหาเส้นทางเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอย่างขมขื่น ขณะที่ชิงเหยี่ยนจิ้งไปถึงการบรรลุหลิงเจิ้นต้าจงซือแล้ว ในแง่ของความสำเร็จนางนำหน้าทั้งสองไปไกลลิบ

“การจะฟื้นฟูตระกูลไม่ได้อาศัยคนเพียงคนเดียว” มู่เฉินพูดเบาๆ จากนั้นก็เงียบแล้วมองไปที่สามคนสุดท้าย พวกเขาน่าจะมาจากตระกูลย่อยของเผ่าฝูถู ว่ากันว่าเผ่าฝูถูมีกฎว่าสามตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสต้องสงวนไว้สำหรับตระกูลย่อยเพื่อรักษาความภักดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกลัวเรื่องโดนชิงตำแหน่ง

แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่ต้องกังวลก็คือการมีตระกูลย่อยมากเกินไป ย่อมมีคนอยากเข้ามาเสียบแทนที่พวกเขา

มู่เฉินส่ายหัว เขารู้สึกได้เลยว่าตระกูลชิงอยู่ในตำแหน่งอันตรายแล้ว…

ตึง ตึง ตึง!

เสียงกลองดังสะท้อนถี่ขึ้น

“เริ่มได้” เสียงของฝูถูเฉวียนดังก้อง

ฟิ้ว!

เมื่อสิ้นเสียง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็กวาดสร้างความหายนะ เงาร่างทั้งสามก็ทะยานออกไปก่อนที่จะพลิ้วตัวลงบนแท่นของตระกูลชิง

ชายชราผิวขาวราวหิมะที่มีผิวอ่อนนุ่มราวกับเด็กทารกพลิ้วลงมาบนแท่นที่ชิงเทียนนั่งอยู่พลางโค้งคำนับ “มั่วกู่จากตระกูลมั่ว ขอคำชี้แนะจากท่านด้วย”

มั่วกู่ยิ้ม ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวเขาดูแปลกประหลาด แต่ก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชิงเทียนที่อยู่ในขั้นเซียนกลับไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามยังมีแววเยาะเย้ยฉายออกมา

ใบหน้าของชิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างไม่น่ามองเมื่อเห็นสิ่งนี้ ก่อนที่เขาจะหันไปมองอีกสองแท่นก็เห็นร่างเงาปรากฏที่เบื้องหน้าชิงเซวียนและผู้อาวุโสตระกูลชิงอีกคน

“เฉวียนหลิงจากตระกูลเฉวียน ผู้อาวุโสชิงเซวียนโปรดชี้แนะด้วย”

“เฉวียนจินจากตระกูลเฉวียน ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสชิงหยุนด้วย”

ฉากนี้ทำให้เกิดความโกลาหลในฟ้าดินทันที ทุกคนจับจ้องมาที่พวกเขา

ใบหน้าของชิงเซวียนไม่น่าดู ตระกูลมั่วและเฉวียนเคลื่อนไหวพร้อมกัน ชัดว่าทั้งสองตระกูลจับมือร่วมมือกันนานแล้ว

“สารเลว!”

ชิงเซวียนอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ ตระกูลมั่วและเฉวียนกดหัวตระกูลชิงเอาไว้ตลอดเวลา ไม่คิดว่าสองตระกูลจะหันมาร่วมมือกันในการประลองงานชุมนุมสายเลือดครั้งนี้อีก!

มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อเห็นสถานการณ์นี้

มั่วกู่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ดังนั้นเขาจะแพ้แน่นอนเมื่อต่อสู้กับชิงเทียน

แต่เฉวียนหลิงเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังขั้นหลิงระยะปลายสามารถเอาชนะชิงเซวียนซึ่งอยู่ในขั้นหลิงระยะกลางได้

สำหรับเฉวียนจินก็จะเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นอย่างชิงหยุนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง

ด้วยวิธีนี้จะเป็นชนะหนึ่งแพ้สอง

งานนี้ตระกูลชิงแพ้แน่นอน

“แผนโหดทีเดียว”

มู่เฉินหัวเราะเยาะ ตระกูลมั่วและเฉวียนตั้งใจที่จะถีบตระกูลชิงออกจากสภาผู้อาวุโส หากบรรลุวัตถุประสงค์ก็คงยากที่ตระกูลชิงจะกลับมาเป็นตระกูลใหญ่ได้อีกครั้ง

ทั้งสองตระกูลวางแผนมาอย่างดี

แต่ในเมื่อมีเขาอยู่ แผนการของพวกมันก็คงไม่ประสบความสำเร็จง่ายๆ แล้ว!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท