หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1419 ผู้นำคนใหม่ตระกูลชิง

บทที่ 1419 ผู้นำคนใหม่ตระกูลชิง

“ท่านแม่ข้าชื่อ…ชิง-เหยี่ยน-จิ้ง”

เสียงของมู่เฉินสร้างความปั่นป่วนรุนแรงทันที สมาชิกหลายตระกูลในเผ่าฝูถูลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าตกตะลึง

“แม่ของเขาคือชิงเหยี่ยนจิ้ง?!”

“นั่น…คือไอ้ตัวกาลกิณีหรือ?”

“ทำไมเขาถึงกล้ามาเผ่าฝูถูของเรา? อยากติดตาข่ายตายรึไง!”

“…”

เสียงอื้ออึงดังขึ้นภายในเผ่าฝูถู ทุกคนมองไปที่มู่เฉินราวกับว่าพวกเขากำลังมองสิ่งไม่น่าเชื่อ

แม้ว่าชื่อของมู่เฉินจะไม่คุ้นในเผ่าฝูถู แต่ทุกคนก็รู้เกี่ยวกับตัวตนของเขาในฐานะตัวกาลกิณี เนื่องจากมารดาของเขาโดดเด่นเกินไป!

หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง ความแข็งแกร่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างได้แม้จะมีรากฐานแบบเผ่าฝูถูก็ตาม

การมาถึงจุดนี้ได้บ่งบอกว่าพรสวรรค์ของชิงเหยี่ยนจิ้งยอดเยี่ยมเพียงใด ตามสถานการณ์ปกตินางจะกลายเป็นประมุขเผ่าฝูถูด้วยพลังที่มี

ทว่าไม่มีใครคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ใส่ใจเรื่องควบคุมเผ่า นางไม่เพียงออกจากตระกูล แต่ยังแต่งงานและมีลูกด้วย

ย้อนกลับไปเหตุการณ์นั้นเกือบจะทำให้เผ่าฝูถูพลิกคว่ำพลิกหงายกันหมด สร้างความโกรธเคืองให้ผู้อาวุโสใหญ่ เขาจึงกักขังชิงเหยี่ยนจิ้งเอาไว้ นอกจากนี้เขายังค้นหาข่าวลูกชายอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง แต่ตลอดมาก็ไม่มีวี่แววเลยสักนิดกระทั่งสองสามปีก่อน ทว่าตอนนั้นก็ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสต่างตกตะลึง เนื่องจากมู่เฉินได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว

นอกจากนี้เขายังได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์จากแดนเซิ่งยวนโบราณ กระทั่งเฉวียนหลัวและมั่วซินสองอัจฉริยะของเผ่าก็กลับมามือเปล่า

แต่ไม่ว่าพัฒนาการของมู่เฉินจะรวดเร็วเพียงใดทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าฝูถูกลัวว่าจะทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งโกรธละก็ การจับกุมมู่เฉินก็เป็นเรื่องง่าย

ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่ามู่เฉินไม่คิดซ่อนตัวจากเผ่าฝูถูอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังปรากฏตัวในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาจึงรู้สึกไม่อยากเชื่อ

เมื่อเทียบกับความตกใจของผู้คน ฝูถูเฉวียนก็ค่อยๆ คืนสติ เขาจ้องมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาช้าๆ

“เจ้ากาลกิณี ช่างกล้าหาญแท้จริง! เจ้าคิดว่าไม่ต้องเกรงกลัวเพราะมีมารดาปกป้องอยู่รึ!” เสียงของฝูถูเฉวียนสะท้อนระหว่างฟ้าดินไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

ในขณะที่เขาพูดก็ทำให้เกิดความผันผวนระหว่างชั้นฟ้าชั้นดินทั้งหลาย ความกดดันที่กำจายออกมาห่อหุ้มทั้งสวรรค์และโลกเอาไว้

เผชิญกับแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เหล่าผู้ชมก็อดไม่ได้ที่จะเผยริ้วความเคารพในสายตา

มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันทำลายล้าง ภายใต้พลังนั้น แม้ว่าเขาจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ยังรู้สึกถึงความอ่อนแอของตน

“นี่คือความกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเหรอ? สมควรเป็นสุดยอดของมหาพันภพ!”

ทว่าไม่มีความกลัวใดๆ บนใบหน้าของมู่เฉิน แม้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้จะทรงพลัง แต่เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบมาก่อน นอกจากนี้เมื่อเทียบกับเซียวเหยียนและหลินต้ง ฝูถูเฉวียนก็อ่อนกว่าหลายส่วนเลยทีเดียว

ดังนั้นมู่เฉินจึงหายใจเข้าลึก ปล่อยเสื้อผ้ากระพือไปตามสายลม สายตาคมชัดขึ้นพลางก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นความกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็พลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย

แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเท่าฝูถูเฉวียน แต่ก็คล้ายกับภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเป็นลมพายุใดๆ ก็ตาม

แม้ว่าเขาจะไม่ทรงพลังเท่าฝูถูเฉวียน แต่เขาก็เป็นประมุขของขั้วอำนาจสูงสุดและยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ดังนั้นฝูถูเฉวียนคิดน้อยไปที่จะบีบเขาให้ทนรับแรงกดดันแบบนี้อย่างเดียว

“ระดับเทียนจื้อจุน?!”

ผู้คนจำนวนมากฉายท่าทางที่เปลี่ยนไป เมื่อความกดดันคลื่นหลิงของมู่เฉินแผ่กระจายออก โดยเฉพาะสมาชิกเผ่าฝูถู

“เป็นไปได้ยังไง?!” เฉวียนหลัวและมั่วซินเขียนความตกใจบนใบหน้า ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ

ต้องรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่พวกเขาพบกับมู่เฉิน อีกฝ่ายเพิ่งจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แล้วเขาไปถึงขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างไรในเวลาปีเดียว!

นี่ใช้พรสวรรค์และโอกาสมากแค่ไหนกัน!

พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่ชนชั้นสูงของเผ่าโบราณ แต่ตอนนี้กลับต้องหม่นหมองเมื่อเทียบกับตัวกาลกิณี

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของทั้งสองก็เขียวคล้ำ ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอิจฉาริษยา

บนภูเขาตระกูลชิง ผู้คนในตระกูลต่างตกตะลึง โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะถึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“หึ ตอนนี้รู้ระยะห่างรึยัง? เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่อายุยังน้อยแม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินก็เทียบไม่ติด แล้วพวกเจ้าจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา” ชิงหลิงเย้ยหยัน

จอมยุทธ์รุ่นใหม่ตระกูลชิงแลกเปลี่ยนสายตาด้วยรอยยิ้มอึดอัดใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้หาได้ยากแม้แต่ในเผ่าโบราณ ไม่รู้จริงๆ ว่ามู่เฉินฝึกฝนอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ว่าคืออีกฝ่ายไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าเลย!

เมื่อเทียบกับมู่เฉิน พวกเขาเป็นฝุ่นแท้จริง สิ่งที่ชิงหลิงพูดคือความจริง

“สมกับเป็นลูกของท่านหญิงจิ้งจริงๆ พรสวรรค์นี้…” ผู้อาวุโสตระกูลชิงบางคนถึงกับถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก ถ้ามู่เฉินเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชิงละก็จะมีที่สำหรับเฉวียนหลัวและมั่วซินได้อย่างไร?

“แต่เขาไม่ควรมาที่นี่ นี่คือเผ่าฝูถู ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ด้วยพลังที่มีตอนนี้”

มู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขามองไปที่ฝูถูเฉวียนพลางยิ้ม “ข้าท่องยุทธภพไปทั่วมหาพันภพเป็นเวลาสิบกว่าปี ความกล้าหาญที่มีไม่น้อยหรอก แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมารดาข้า ไม่เหมือนผู้อาวุโสใหญ่ที่ชอบใช้สิ่งนี้ในการข่มขู่เพื่อกักขังผู้หญิงคนหนึ่ง”

คำพูดของเขาแหลมคมโดยไม่ไว้หน้าฝูถูเฉวียน เนื่องจากคำพูดเหล่านี้เป็นหนามที่ฝังอยู่ในใจของเขามานานหลายปี

“อวดดี!”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ผู้อาวุโสบางคนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เสียงด่าเกรี้ยวกราดของพวกเขาสะท้อนออกมาพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิง

“ทำไม? ผู้อาวุโสทั้งหลายคิดจะรุมจัดการข้ารึ? ก็ได้ งั้นวันนี้ข้าขอชี้แนะหน่อยละกัน!” มู่เฉินหันหน้าไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้นก็หัวเราะอย่างไม่เกรงกลัว

“ไอ้เด็กงี่เง่า รนหาที่ตาย!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเตรียมพุ่งออกไปด้วยความโกรธพลางออกกระบวนท่า

“หยุด!”

ทว่าเสียงของฝูถูเฉวียนก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองไปที่คนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาถอยฉากไป นี่คืองานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพรวมตัวกันที่นี่ หากเผ่าฝูถูรวมหัวกันรังแกเด็กคนหนึ่ง ก็จะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับเผ่าได้

หลังจากที่หยุดผู้คนเอาไว้ สายตาของฝูถูเฉวียนก็จ้องไปที่มู่เฉินพูดเสียงบาดลึก “เจ้ามาที่เผ่าฝูถูของข้าเพื่อปากดีเรอะ?”

มู่เฉินส่ายหัวยิ้มอ่อน “ข้าไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น การมาเยือนของข้ามาจากคำขอของใครบางคน”

“โอ้?” ฝูถูเฉวียนหรี่ตาลง

“ช่วยตระกูลชิงได้ตำแหน่งกลับมา” มู่เฉินหลุบตา

ทันทีที่เขาพูดก็ทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้แต่ตระกูลชิงเองก็ยังตกตะลึง ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้

“ฮ่าๆ ตลกล่ะ เจ้ามีความสามารถอะไร นอกจากนี้เจ้าไม่ใช่สมาชิกเผ่าข้า จะมีสิทธิ์มาจากไหน?” เสียงเยาะเย้ยสะท้อนมาจากเฉวียนกวางที่มองมู่เฉินอย่างไม่แยแส

มู่เฉินยิ้มแล้วยกมือขึ้น ป้ายสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นในมือ “ด้วยสิ่งนี้ ข้ามีสิทธิ์หรือยัง?”

“ป้ายประจำตระกูล?”

เฉวียนกวางอดไม่ได้ที่จะหดดวงตาเมื่อเห็นป้ายในมือของมู่เฉิน

“ป้ายประจำตระกูลชิง? ชิงเทียนพวกตระกูลชิงของเจ้ากำลังทำอะไร?! ป้ายตกอยู่ในมือไอ้กาลกิณีนี่ได้ยังไง?!” มั่วถงมองไปที่ชิงเทียนขณะที่ตะเบ็งเสียงลั่น

ชิงเทียนรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ก่อนที่เขาจะสบตากับชิงเซวียนจากนั้นก็กัดฟันกรอด “เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะบอกว่ามู่เฉินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าฝูถู ถ้าเขาไม่ใช่เช่นนั้นก็ขับไล่ชิงเหยี่ยนจิ้งออกไปด้วยสิ”

“และผู้อาวุโสตระกูลชิงตัดสินใจแล้วว่าข้าไม่สามารถแบกรับตำแหน่งประมุขไว้ได้อีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมู่เฉินจะเป็นประมุขคนใหม่ของตระกูลชิง หากมีข้อข้องใจก็รอเปิดสภาผู้อาวุโส อย่างน้อยตอนนี้พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจได้”

ชิงเทียนรู้ดีว่าตระกูลชิงจะสูญเสียตำแหน่งในฐานะหนึ่งในสายเลือดหลักแล้ว นอกจากนี้หลายปีที่ผ่านมายังถูกกดดันโดยตระกูลเฉวียนและมั่วมาตลอด พวกเขาไม่อยากทนต่อไปอีกแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ฝากความหวังทุกอย่างกับมู่เฉินซะจะดีกว่า!

“ชิงเทียน แก!”

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไป ขณะมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ

ชิงเทียนเค้นเสียงใส่ ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาหมดความอดทนแล้ว ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดในวันนี้ก็คือพวกเขาหลุดจากหนึ่งในสายเลือดหลัก ส่วนมู่เฉินจะทำอะไรปล่อยให้ทำไปเถอะ ถือเป็นการชดใช้ให้ชายหนุ่มคนนี้

เมื่อทุกคนเห็นความขัดแย้งนี่ก็ได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่จุดนี้

“เอาล่ะ ทุกคนหุบปาก!”

เสียงตะโกนของฝูถูเฉวียนทำให้ทุกคนหยุด ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนไม่น่าดู การประลองงานชุมนุมสายเลือดกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับคนอื่นแล้ว

เขามองไปที่มู่เฉินขณะพูดต่อ “ในเมื่อตระกูลชิงเลือกเจ้าขึ้นเป็นประมุข ดังนั้นก็ต้องผ่านความเห็นของสภาผู้อาวุโสเพื่อลบออก แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้”

“แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นประมุข แต่ตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากได้ก็จะได้ไป ถ้าเจ้าต้องการก็แสดงพลังให้ประจักษ์”

ในเมื่อตระกูลชิงแพ้ในการป้องกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องสู้เพื่อให้ได้มา

แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็อยู่ในระยะต้นเท่านั้น ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแย่งชิงกลับมา

มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยิน “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่ต้องกังวล”

พูดจบเขาก็ทะยานออกไปพลิ้วตัวลงบนแท่นของตระกูลเฉวียน

เวลาเดียวกันน้ำเสียงเย็นชาก็สะท้อนออกมา

“ในเมื่อตระกูลเฉวียนเอาตำแหน่งของตระกูลชิงไป ข้าก็ขอเอาคืนจากพวกเจ้า!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท