หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1442 สามีภรรยาพบหน้า

บทที่ 1442 สามีภรรยาพบหน้า

ถ้วยแตกกระจายบนพื้น

มู่เฟิงมองภาพเงาที่เยื้องย่างเข้ามาด้วยความไม่อยากเชื่อ ภาพเงานั้นตราตรึงอยู่ในหัวใจทุกเมื่อเชื่อวัน แม้จะแยกจากกันไปเนิ่นนาน

ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มหรือใบหน้าบึ้งตึงของภาพเงานั้นก็ทำให้หัวใจของเขาสะท้านไหว…

ย้อนไปในอดีตเพื่อปกป้องลูกน้อย ชิงเหยี่ยนจิ้งตัดใจจากลาไป ดังนั้นจินตนาการได้เลยว่ามู่เฟิงจะต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ด้านหนึ่งคือฮูหยินที่รักสุดหัวใจ อีกด้านหนึ่งก็คือลูกน้อยของเราสองคน

ยี่สิบกว่าปีที่เลี้ยงดูมู่เฉิน เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาก เขาคิดถึงร่างที่สถิตในดวงใจแทบตลอดเวลา ทว่าเขารู้ถึงความยากที่เราสองคนจะได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงอารมณ์เหล่านั้นต่อหน้ามู่เฉิน แม้ว่าจะปรารถนาในใจก็ตาม…

ตอนที่มู่เฉินออกจากมณฑลเป่ยหลิง เขาเคยสัญญาว่าจะพาชิงเหยี่ยนจิ้งกลับมา แต่ในเวลานั้นมู่เฟิงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่จะบรรลุ

ดังนั้นเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะพานางกลับมาจริงๆ…

“ชิง…”

เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้นเสียงของมู่เฟิงก็เริ่มสั่นเครือ

ภาพเงานั้นยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฟิงมองใบหน้าที่สูงวัยยิ่งกว่าในอดีต แม้แต่ดวงตานางก็อดคลอไปด้วยหยาดน้ำตาไม่ได้

ตอนนั้นนางหลงทางจนมาถึงมณฑลเป่ยหลิง เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้แทบจะกลายเป็นคนที่ไร้พลังใดๆ ถึงแม้จะมีขุมพลังของนางอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่เพนสะอาการบาดเจ็บ ทำให้คลื่นหลิงที่กระจายออกจากร่างกายควบคุมไม่ได้เหมือนคนไร้พลัง ทำให้ดึงดูดเหล่าสัตว์อสูรทั้งหมดในป่าคิดจะกินนางเป็นอาหาร…

ตอนที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังนางได้พบกับมู่เฟิง ชายคนนี้อ่อนแอในสายตานางนัก แต่กลับแบกนางขึ้นบนหลังโดยไม่ลังเลใดๆ จากนั้นพานางรอดพ้นจากการถูกห้อมล้อมของสัตว์อสูร

แม้จะมีบาดแผลมากมาย แต่เขาก็ไม่คิดปล่อยนางลง…

แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูบ้าและโง่ในสายตาของนาง แต่ก็สร้างความประทับใจตราตรึงยิ่งนัก นางเคยได้พบกับอัจฉริยะมากมาย แต่เป็นเรื่องธรรมดาในหมู่พวกเขาที่จะทิ้งเพื่อนร่วมทางและหลบหนีเมื่อตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นางจะเห็นคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตคนที่พวกเขาพบเป็นครั้งแรก…

“เจ้าเริ่มแก่แล้ว” มือชิงเหยี่ยนจิ้งแตะเบาๆ ที่แก้มของมู่เฟิงที่เต็มไปด้วยตอเคราสั้นๆ

มู่เฟิงเกาหัว “แต่เจ้ายังงดงามเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลย”

“เจ้าเพิ่งบอกว่าไม่สนข้าไม่ใช่เหรอ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม แม้แต่หญิงสาวอ่อนโยนก็ไม่ง่ายที่จะจัดการต่อหน้าคนรัก

ทันใดนั้นมู่เฟิงก็ปวดหัวจี๊ดพลางถลึงตาใส่มู่เฉินที่ยิ้มดูอยู่ข้างๆ “เป็นความผิดของไอ้ลูกคนนี้!”

ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะ นางรู้ว่ามู่เฟิงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้จริงๆ นางเอื้อมไปจับมือหยาบกระด้างของมู่เฟิงตอบว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินเอ๋อ ข้าคงยังกลับมาไม่ได้”

“เจ้าเลี้ยงลูกของเราได้ดีเหลือเกิน ไม่ได้ทำให้ความไว้วางใจของข้าพังทลายลง”

มู่เฟิงถอนหายใจ เขายังรู้สึกอึ้งที่ลูกชายตนเองมีความสามารถเช่นนี้ แต่ในเวลานี้เขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้กับภรรยาได้ จึงกระแอมไอแก้เขิน “แม้ว่าข้าจะสอนดี แต่ไอ้หนูนี่ก็มีความสามารถ ไม่ได้ทำให้คำสอนของข้าไร้ประโยชน์”

ที่ด้านข้างมู่เฉินอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน

ทว่าตอนนี้เองมู่เฟิงก็ออกจากอารมณ์ดีใจเพราะนี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะสม ทุกคนพากันจ้องมองมาที่พวกเขา

ใบหน้าของมู่เฟิงเห่อแดงจากสายตาที่จ้องมองมา เขาพูดกับชิงเหยี่ยนจิ้งอย่างขมขื่น “เฮ้อ ชิงน้อย เจ้าเด็กนี่อยู่นิ่งไม่ได้เลย สร้างปัญหาไปทั่ว”

แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกหวาดกลัว จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา? พวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? หากสถานการณ์ดูท่าไม่ดี ดูเหมือนว่าเขาจะต้องให้มู่เฉินพาชิงเหยี่ยนจิ้งหลบหนีไป

ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ปล่อยให้เขาจัดการเรื่องนี้เถอะ”

หลังจากที่พูดนางก็หันไปหาถังเชียนเอ๋อและยิ้ม “เจ้าคือเชียนเอ๋อใช่ไหม?”

ดวงตาของถังเชียนเอ๋อเบิกกว้างเมื่อมองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง นางไม่เคยพบมารดาของมู่เฉิน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถาม นางก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย

จากนั้นนางก็หันไปหามู่เฉิน เพราะไม่รู้ว่าจะพูดเรียกมารดาเขาอย่างไร

“แม่ข้าชื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง” มู่เฉินยิ้ม

“ท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อเรียกอย่างเชื่อฟัง

รอยยิ้มอ่อนโยนกระจายออกมาบนริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับเฉินเอ๋อโตมาด้วยกัน ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าป้าจิ้ง งั้นข้าจะให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อย”

ขณะที่พูดก็หยิบจี้ผลึกแก้วใสที่มีเข็มทิศหกเหลี่ยมสลักด้วยลวดลายลึกซึ้ง

“ขอบคุณท่านป้าจิ้ง” ถังเชียนเอ๋อรับไปด้วยความสุขบนใบหน้า

ทว่าตัวนางเพียงรู้สึกเพียงว่าจี้นี้สวยงามดี มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่สัมผัสได้ว่ามีค่ายกลระดับจงซือผนึกอยู่ภายใน ในเวลาอันตรายจะสามารถป้องกันการโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้เลยทีเดียว

นี่เป็นยันต์ป้องกันชัดเจน

ตอนนั้นเองหลิงซีและหลงเซี่ยงก็ตามเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อหลงเซี่ยงเข้ามาหลายคนก็หันมามองทันที

แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบอกระดับของมู่เฉินได้ แต่พวกเขาสัมผัสแรงกดดันของหลงเซี่ยงได้ว่านี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้คุ้มกันสองคนของราชันไป่หลิงเลย

“นี่หลิงซี นางติดตามข้าตั้งแต่เด็ก ข้านับนางเป็นลูกสาวคนหนึ่ง” ชิงเหยี่ยนจิ้งดึงหลิงซีเข้ามาหาแนะนำให้มู่เฟิง

หลิงซีรู้สึกทำตัวไม่ถูกขณะมองไปที่มู่เฟิงและทำตามอย่างเชื่อฟัง “หลิงซีทักทายท่านน้ามู่”

ทันใดนั้นมู่เฟิงก็หัวเราะเบาๆ ขณะมองหลิงซีด้วยสายตาอ่อนโยน “ดี ดี ลูกสาวดีกว่าไอ้เด็กบ้านี่ที่ชอบรอดูเรื่องตลกของพ่อ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาหลิงซีก็ยิ้ม

“นายท่าน ข้าเป็นผู้คุ้มกันของนายหญิง หลงเซี่ยงขอรับ” หลงเซี่ยงโค้งคำนับต่อมู่เฟิงด้วยมารยาท

เมื่อมู่เฟิงเห็นสิ่งนี้ ก็รีบตอบกลับหลงเซี่ยงด้วยมารยาททันที นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แม้แต่ในทวีปไป่หลิงก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แม้แต่ราชันไป่หลิงยังต้องไว้หน้า ดังนั้นเขาจึงประหม่าเมื่อจอมยุทธ์ระดับดังกล่าวแสดงความเคารพต่อเขา

เพื่อเบี่ยงเบนบรรยากาศที่น่าอึดอัด มู่เฟิงแนะนำสหายพันธมิตรเป่ยหลิงให้ชิงเหยี่ยนจิ้งรู้จักทันที ซึ่งนางก็ยิ้มตอบกับทุกคน

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็แอบยิ้มไม่ได้ ถ้าคนเหล่านี้รู้ว่ามารดาของเขาเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง พวกเขาคงไม่มีความกล้าแม้แต่จะเปิดปากพูดกับนาง…

ในขณะที่มู่เฉินและพรรคพวกกำลังสนุกกับการสนทนากัน ทุกคนในห้องโถงก็ยังคงเงียบ ไม่มีใครกล้ารบกวน ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาทักทายพวกเขา

เพราะเมื่อไรที่บิดามารดาของราชันไป่หลิงมาถึงก็จะเกิดการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในตอนนั้นถ้ามู่เฉินไม่สามารถเผชิญหน้าได้ วันนี้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม…

แล้วใครจะกล้าพูดคุยกับพันธมิตรเป่ยหลิงตอนนี้กันล่ะ?

ราชันไป่หลิงมองไปมู่เฉินอย่างโหดเหี้ยมและคำรามในใจ ‘สนุกกันให้พอเถอะ เมื่อไรที่พ่อแม่ข้ามาถึง พวกแกจะไม่มีเวลากระทั่งร้องไห้!’

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจกับสายตาร้ายกาจนั่น ที่เขาให้ไปเรียกคนมาช่วยของราชันไป่หลิงมาก็เพราะต้องการจัดการกับเรื่องนี้ทีเดียวในวันนี้

การรวมมณฑลเป่ยหลิงเป็นงานหนักของมู่เฟิง แม้ว่าจะไม่มีอะไรในสายตาของมู่เฉิน แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบิดาของเขา

ดังนั้นเขาจะต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเพื่อความสงบสุขของมู่เฟิงและพันธมิตรเป่ยหลิง…

ไม่ว่าจะเป็นราชันไป่หลิงหรือประมุขตำหนักปลายเหนือ พวกเขาล้วนเป็นตัวอันตราย หากเขาไม่สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม

ด้วยความคิดนี้มู่เฉินจึงนั่งลงด้านข้างอย่างเงียบๆ และรอ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ทุกคนเริ่มกระวนกระวายใจ พวกเขารู้สึกว่าพายุใกล้เข้ามาแล้ว

เมื่อตะวันเลื่อนตกลง แสงสีแดงเข้มก็ส่องไปทั่วทั้งเมืองไป่หลิง…

ฮึ่ม

ทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่มาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย

“ในที่สุดก็มาถึงแล้ว” มู่เฉินเอ่ยเสียงเบา

พริบตาคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดล้างออกไปทั่วภูมิภาค ทุกคนในเมืองไป่หลิงตัวสั่นสะท้านจากแรงกดดัน

เมื่อความกดดันปรากฏขึ้น ห้วงมิติก็บิดตัวบนท้องฟ้าของวังแห่งนี้

ตู้ม!

ห้องโถงสั่นสะเทือน จากนั้นทุกคนก็ตกตะลึงเมื่อเห็นหลังคาของโถงถูกพัดออกไปขณะที่คลื่นหลิงน่ากลัวบีบลง ในเวลาเดียวกันเสียงของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารก็ดังก้อง

“ไอ้โง่หน้าไหนกล้าตัดแขนลูกข้า! ไสหัวออกมา!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท