หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1429 สู้กับเผ่าฝูถูด้วยตัวคนเดียว

บทที่ 1429 สู้กับเผ่าฝูถูด้วยตัวคนเดียว

“เจ้าสองคนจะทำอะไร?”

เสียงของฝูถูเฉวียนทำให้บรรยากาศตกลงสู่จุดเยือกแข็ง หลายคนรู้สึกว่ากระดูกสันหลังสั่นไหวเลยทีเดียว พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นการเผชิญหน้าที่ดุร้ายในการเดินทางมาครั้งนี้

ถ้าเผ่าฝูถูรบกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู อาจทำให้ทั่วมหาพันภพเกิดการสะเทือน

ภายใต้การจ้องมองของฝูถูเฉวียน สายตาของเย่าเฉินและหลินเตียวก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ถ้าผู้อาวุโสใหญ่ยืนยันที่จะทำ พวกเราก็ทำได้แค่ขอโทษล่วงหน้าและปกป้องความปลอดภัยของมู่เฉินเท่านั้น”

คำพูดของพวกเขาทำให้ทุกคนใจสั่นทันที แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูมุ่งมั่นที่จะปกป้องมู่เฉิน? แม้จะต้องจ่ายราคาในการละเมิดเผ่าฝูถูนะเหรอ?

ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงบิดเบ้จนน่าเกลียด พวกเขารู้สึกไม่น่าเชื่อ ต้องรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณในมหาพันภพที่มีรากฐานที่ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูต้องการท้าทายพวกเขาเพื่อมู่เฉินคนเดียวหรือ?

ไอ้กาลกิณีนี่มีดีอะไร?

แต่เนื่องจากสถานการณ์ดำเนินไปถึงขั้นนี้ ทั้งสองคนก็ไม่กล้าจะพูด ได้แต่มองไปที่ฝูถูเฉวียนเพื่อรอการตัดสินใจขั้นสุดท้าย

ฝูถูเฉวียนตบพนักเก้าอี้เบาๆ พลางมองไปที่มู่เฉิน “ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเจ้าไปจริงๆ ในเวลาเพียงสองทศวรรษที่ผ่านมา เจ้ามาถึงจุดสูงสุดในการฝึกฝน ซ้ำยังสร้างความสัมพันธ์กับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูอีกด้วย”

ขณะที่พูดไอเย็นเยือกก็วูบวาบในดวงตาพร้อมกับพูดต่อ “แต่เผ่าฝูถูของข้าดำรงอยู่ในมหาพันภพมาเนิ่นนานเพราะเราปฏิบัติตามกฎ หากเจ้าคิดว่าการเชิญแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูสามารถช่วยแก้ไขตัวตนของเจ้าในฐานะตัวกาลกิณี เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป”

เมื่อพูดจบเขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉิน แต่หันไปหาเย่าเฉินและหลินเตียว “สำหรับพวกเจ้าสองคนจงให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาพูดคำเหล่านั้นเอง! เจ้าสองคนยังไม่มีสิทธิ์!”

ฝูถูเฉวียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้ว่าเย่าเฉินและหลินเตียวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย แต่ก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา ดังนั้นฝูถูเฉวียนจึงไม่คิดแลทั้งสองเลยสักนิด

ฝูถูเฉวียนเหยียนนิ้วชี้ไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “เฉวียนกวาง มั่วถง พวกเจ้ายืนรออะไรอยู่? จับเจ้ากาลกิณีนั่นซะ!”

“รับทราบ!”

เฉวียนกวางและมั่วถงรับคำสั่ง นำเหล่าผู้อาวุโสออกไปล้อมรอบตัวมู่เฉินเพื่อจับกุม

เมื่อเย่าเฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ส่วนหลินเตียวก็ก้าวเท้าออกไปเอ่ยเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าก็ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสใหญ่หน่อยเถอะ”

เมื่อเขาพูดจบบาตรแก้วก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งมีสัญลักษณ์โบราณแปดลายอยู่บนนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้า ไฟ น้ำแข็งและองค์ประกอบอื่นๆ หมุนเวียนอยู่บนบาตรแก้ว

เมื่อบาตรแก้วปรากฏขึ้นก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดินพร้อมกับความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้กวาดออกมา

สัมผัสได้ถึงความผันผวน ฝูถูเฉวียนก็หดดวงตาขณะที่จ้องไปที่บาตรแก้วในมือหลินเตียว “ลือกันว่าเทพจักรพรรดิสงครามได้ปรับแต่งตราประทับเทวลิขิตโบราณทั้งแปดให้กลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งที่เรียกว่าบาตรแก้วแปดเทวลิขิต ถ้าข้าเดาถูกก็น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าใช่ไหม?”

เมื่อเสียงของฝูถูเฉวียนดังก้องก็ทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด ทุกสายตามองไปที่บาตรแก้วในมือของหลินเตียวด้วยความตกใจและหวาดกลัว เนื่องจากอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมถูกจัดชั้นเป็น หลิง-เซียน-เซิ่งอีกด้วย

อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งหายากแม้แต่ในมหาพันภพ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้นพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมสามารถทำลายโลกได้เลยทีเดียว

“ถูกต้อง…”

หลินเตียวขานรับพลางแลกเปลี่ยนสายตากับเย่าเฉิน ทั้งสองคนชี้ไปที่บาตรแก้ว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็หลั่งไหลเข้าไปอย่างรุนแรง

หากพวกเขาต้องการที่จะเปิดใช้งานอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ยังพบว่ายากมาก ดังนั้นเย่าเฉินและหลินเตียวจึงต้องร่วมมือกันเพื่อเปิดใช้

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่หลินเตียวและเย่าเฉินเทพลังลงไป บาตรแก้วก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม รัศมีแปดสายกำจายออกมา อึดใจบาตรแก้วก็หายไปจากมือของหลินเตียว

ในช่วงเวลาต่อมาทุกคนก็เห็นบาตรสีทองโปร่งใสพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าผ่านเวลาและมิติ ตราบใดที่บีบลงมาได้ ก็ขังบางคนไว้โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ครืน!

บาตรแก้วครอบร่างฝูถูเฉวียนไว้ข้างใน ทำเอาภูเขาใหญ่ถึงกับสั่นสะเทือน

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลินเตียวและเย่าเฉินจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยมู่เฉิน แต่พวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจับตัวฝูถูเฉวียนไว้แทน

แต่การทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ฝูถูเฉวียนจะจัดการมู่เฉินด้วยตัวเองอยู่แล้ว แค่เฉวียนกวางกับมั่วถงก็ทำได้เกินพอดีแล้ว

ฝูถูเฉวียนอึ้งไปเช่นกัน ก่อนที่จะเค้นเสียงเย็นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เหมือนจะหลับตาลงแต่ก็ไม่ได้หลับ ทว่ามีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากในบาตรแก้วว่า

“จัดการต่อ”

เฉวียนกวางและมั่วถงไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างทะยานออกพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งสู่ขอบฟ้า โอบล้อมมู่เฉินไว้

“เฮ้ ท่านอาเตียว โจมตีผิดเป้าหมายรึเปล่า?!”

เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ นางก็ตะลึงก่อนจะดึงแขนเสื้อของหลินเตียวไปเขย่า “เป็นไปไม่ได้ที่ฝูถูเฉวียนจะต่อสู้กับมู่เฉินอยู่แล้ว แต่พลังที่เขามีก็ไม่สามารถต้านผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูได้นะ”

เซียวเซียวก็งงกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ดังนั้นนางจึงมองไปที่เย่าเฉินและหลินเตียว

ขณะที่หลินจิ้งเขย่าหลินเตียวไม่หยุด เขาก็ไม่สามารถรักษาสีหน้าเย็นชาและยิ้มอย่างขมขื่น “นังตัวน้อยของข้าเลิกเขย่าได้แล้ว นี่เป็นแผนการของมู่เฉิน เขาบอกให้เราหยุดฝูถูเฉวียนไว้ก็พอ ที่เหลือเขาจัดการเองได้”

เย่าเฉินพยักหน้าและยิ้ม “เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้กระทั่งข้ายังสงสัยว่ามู่เฉินมีความมั่นใจที่จะจัดการกับผู้อาวุโสเผ่าฝูถูทั้งหมดด้วยตัวเองมาจากไหน”

หลินจิ้งอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับเซียวเซียวเมื่อได้ยิน แม้ว่านางจะรับรู้ถึงความไม่ธรรมดาในการต่อสู้ของมู่เฉิน แต่สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะจัดการได้ด้วยตัวเอง

ทว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดอ้าง ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้เขาต้องมีวิธีการบางอย่าง…

“งั้น…ก็ดูกันไปก่อน ถ้ามู่เฉินทำไม่ได้พวกท่านต้องช่วยเขานะ” หลินจิ้งกล่าวด้วยความลังเลสั้นๆ

หลินเตียวพยักหน้าตอบว่า “วางใจเถอะ ในเมื่อพ่อของเจ้าฝากไว้แล้ว พวกเราก็ต้องปกป้องให้เขาปลอดภัย”

ขณะที่กลุ่มหลินจิ้งกำลังสนทนากัน เหล่าผู้ชมก็พากันงงงวย พวกเขามองมู่เฉินที่ถูกล้อมก็ส่ายหัว ไม่ต้องพูดถึงขุมพลังของมู่เฉินที่มี ต่อให้เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็คงไม่สามารถต้านผู้อาวุโสจำนวนมากของเผ่าฝูถูได้

“ดูเหมือนแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับเผ่าฝูถูเพื่อมู่เฉิน จึงทำให้พวกเขาแค่จับฝูถูเฉวียนไว้และไม่สนใจผู้อาวุโสคนอื่นๆ”

ขณะที่พวกเขากำลังงงงวยก็มีคนมโนเหตุผล ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี ใครๆ ก็สามารถชั่งน้ำหนักความสำคัญของมู่เฉินและเผ่าฝูถูได้

ผู้อาวุโสตระกูลชิงใบหน้าซีดเผือด ผู้อาวุโสใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าตระกูลชิงต้องการปกป้องมู่เฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“ชิงเซวียน เดี๋ยวเราก็มองหาโอกาสลงมือเพื่อช่วยให้มู่เฉินหลบหนีไป” ชิงเทียนกล่าวขณะที่กัดฟัน

หากพวกเขาปล่อยให้มู่เฉินถูกจับได้ ชิงเหยี่ยนจิ้งคงตัดสัมพันธ์กับตระกูลชิงครั้งนี้แน่

เมื่อชิงเซวียนได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

“มู่เฉินเลิกขัดขืน! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูด้วยกำลังที่มีรึ?”

ขณะที่ผู้ชมกำลังถอนหายใจ ตาข่ายก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสสิบกว่าคนจากตระกูลเฉวียนและมั่ว เฉวียนกวางและมั่วถงมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย็นชา ราวกับว่าพวกเขากำลังมองเหยื่อในกับดัก

“มู่เฉิน อย่าทำผิดพลาดมากกว่านี้ ยอมถูกจับซะดีๆ มิฉะนั้นถ้าปะทะกันแล้วพวกข้าควบคุมแรงไว้ไม่ดี อาจทำให้เจ้าพิการ นี่เป็นการสูญเปล่าสำหรับเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร” มั่วถงกล่าวอย่างไม่แยแส

เมื่อพวกเขาพล่าม มู่เฉินก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใด เขาค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับมือไพล่หลัง พายุดันเสื้อผ้าของเขาลอยขึ้น

“ไอ้ดื้อด้าน จัดการ!”

รอไปสิบกว่าลมหายใจ เมื่อไม่เห็นมีการตอบสนองอะไรเฉวียนกวางก็เค้นเสียงและสะบัดมือลง

วาบ!

ร่างเงาสิบกว่าร่างพุ่งออกมาข้างหลัง คลื่นหลิงกลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่พุ่งเข้าหามู่เฉิน นี่เป็นความปั่นป่วนที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังหวาดกลัว

ด้วยพลังที่มู่เฉินมี เขาได้รับบาดเจ็บหนักทันทีแน่

ทุกคนส่ายหัวด้วยความสงสาร เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรจะสิ้นชีพวันนี้แล้วหรือ?

ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขามองไปที่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูพร้อมกับรอยยิ้มเย็นบนริมฝีปาก

“พวกแกทำให้เราแม่ลูกต้องพรากจากกันหลายสิบปี ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องสะสางหนี้นี้!”

เมื่อเขาพูดจบ แสงนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกัน ก่อตัวเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ลึกลับจำนวนมาก

ครืน

ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่

เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏบนท้องฟ้า ทุกคนในมิติฝูถูก็สามารถสัมผัสได้โดยเฉพาะเฉวียนกวางและคนอื่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้น เมื่อมองไปที่ค่ายกล ต่อให้เป็นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมาทันที

นั่นเป็นเพราะค่ายกลที่ปรากฏนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าของพวกเขา!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท