หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1436 ของขวัญสำหรับการพบหน้า

บทที่ 1436 ของขวัญสำหรับการพบหน้า

งานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถูสิ้นสุดลง ความสงบสุขหวนกลับคืน

เมื่องานชุมนุมจบลง ความผันผวนในเผ่าฝูถูก็ค่อยๆ เบาบางลงเช่นกัน แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่จะเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่ง แต่ศักดิ์ศรีและพลังของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่งนัก ดังนั้นนอกเหนือจากการสั่นสะเทือนบางอย่างของตระกูลมั่วและเฉวียนแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ก็ยอมรับความเป็นจริงนี้ได้

แขกที่มาชมงานในเผ่าฝูถูก็อยู่ต่อไปอีกสองสามวันก่อนที่จะลากลับไป สามารถจินตนาการได้ว่าหลังจากที่พวกเขากลับไปเรื่องราวต่างๆ ในเผ่าฝูถูจะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ เวลานั้นชื่อของมู่เฉินก็จะกระจายออกไป

เพราะแม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะเป็นคนมาปิดเหตุการณ์ในเผ่าฝูถู แต่ในระหว่างทางฝีมือของมู่เฉินก็น่าตกใจอย่างยิ่ง

เขาไม่เพียงแต่เอาชนะผู้อาวุโสตระกูลเฉวียนหลายคนด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้น เขายังอาศัยพลังของค่ายกลพิทักษ์เพื่อปราบปรามผู้อาวุโสเจ็ดถึงแปดส่วนของเผ่า บังคับให้ฝูถูเฉวียนต้องเคลื่อนไหว…

ความสำเร็จนี้สร้างความตกตะลึงแท้จริงและทำให้ทุกคนพูดไม่ออก

บนภูเขาลูกหนึ่งในเผ่าฝูถู

มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่พร้อมเก๋งหินและภูเขาเทียมที่ตกแต่งสวนที่นี่ได้อย่างงดงาม

ที่นี่เป็นที่พักที่ดีที่สุดของเผ่าฝูถูเพื่อใช้รับรองแขก ซึ่งตอนนี้เป็นที่พักชั่วคราวของมู่เฉิน

เมื่องานชุมนุมสายเลือดสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสทุกคนต่างต้องการให้มู่เฉินย้ายออกจากที่พักรูหนูพร้อมกับยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกอายที่จะปฏิเสธ…

เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเกิดจากชิงเหยี่ยนจิ้งในฐานะผู้อาวุโสใหญ่

หากเป็นในอดีตแม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้เป็นตัวกาลกิณี แต่สถานะของเขาในฐานะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นคงไม่มีโอกาสที่เขาจะได้รับความสำคัญใดๆ จากทางเผ่า แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งหลุดพ้นข้อหา มิหนำซ้ำยังขึ้นดำรงผู้มีอำนาจสูงสุดของเผ่าฝูถู จึงไม่มีใครกล้าละเลย มู่เฉินบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของนาง แต่ละคนทำเสมือนเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว

ทว่ามู่ฉินก็ยังคงสงบนิ่งระหว่างการปฏิบัตินี้ ในเมื่อพวกเขายืนยันที่จะมอบให้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสุภาพ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ให้อะไรเขาก็ไม่สำคัญเช่นกัน

แม้ว่ามารดาของเขาจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่า แต่เขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อเผ่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีเจตนาที่จะใช้บารมีไปโอ้อวดอะไร

เพราะที่ผ่านมาเขาก็ใช้ชีวิตธรรมดามาตลอด แม้ว่าจะไม่มีเผ่าฝูถู เขาก็ยังมีชีวิตที่ดีได้

“สหายน้อยงานชุมนุมสายเลือดจบแล้ว ถึงเวลาพวกข้าต้องกลับสักที เรามาที่นี่เพื่ออำลา”

เย่าเฉินและหลินเตียว พาเซียวเซียวและหลินจิ้งมาถึงคฤหาสน์ใหญ่

การเดินทางมาเผ่าฝูถูครั้งนี้ก็เพื่อช่วยมู่เฉิน ในเมื่อมู่เฉินสบายดี พวกเขาก็ถึงเวลาจากลาแล้ว

มู่เฉินประสามมือด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองในครั้งนี้ นอกจากนี้โปรดส่งข้อความจากข้าถึงท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้ง คราวนี้มู่เฉินเป็นหนี้ทั้งสองท่านแล้ว”

เย่าเฉินและหลินเตียวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พวกเขารู้ว่าเหตุผลที่เซียวเหยียนและหลินต้งให้ความสำคัญกับมู่เฉินก็เป็นการลงทุน พวกเขามีสายเฉียบแหลมเกี่ยวกับพรสวรรค์ของชายหนุ่มและรู้สึกว่าเขาจะต้องยืนอยู่ในจุดสูงสุดของมหาพันภพในวันหนึ่งแน่นอน

หลังจากเรื่องในเผ่าฝูถู เย่าเฉินและหลินเตียวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ด้วยศักยภาพของมู่เฉินมีความเป็นไปได้ที่เขาจะไปถึงจุดสูงสุดในอนาคต

ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่สามารถติดหนี้บุญคุณเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามในมหาพันภพ ทว่ามู่เฉินมีคุณสมบัติดังกล่าว

“ตอนแรกพวกเขาต้องการมาด้วยตัวเอง แต่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหว แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูตั้งอยู่ที่ชายแดนของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่สามารถประมาทได้” เย่าเฉินและหลินเตียวกล่าว

เมื่อมู่เฉินได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็หดลง จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเป็นศัตรูตัวฉกาจของมหาพันภพ ตัวเขาก็เคยเห็นความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจด้วยตัวเขาเอง ตอนที่ไปในพิภพเขตล่าง

“ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามน่าชื่นชมอย่างแท้จริง”

ชิงเหยี่ยนจิ้งยืนอยู่ข้างมู่เฉินเพื่อมาส่งพวกเขา นางกล่าวว่า “ฝากบอกเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามว่าเผ่าฝูถูก็อยากสร้างสัมพันธไมตรี ภายภาคหน้าเราอาจจะได้ร่วมมือกัน หากจักรวรรดิปีศาจมิติเคลื่อนไหว ส่งข่าวบอกเผ่าฝูถูด้วย”

เมื่อหลินเตียวและเย่าเฉินได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าก็เคร่งขรึมลง นี่ไม่เหมือนกับมู่เฉิน คำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นตัวแทนของเผ่าฝูถูซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณ ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู ดังนั้นแม้แต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เต็มใจที่จะต้อนรับความสัมพันธ์ดังกล่าว

“เราจะนำคำพูดของเจ้าไปบอกอย่างแน่นอน” หลินเตียวและเย่าเฉินตอบกลับ

“เฮ้ มู่เฉิน! อย่าลืมไปเยี่ยมกันที่แคว้นหวูนะ ครั้งต่อไปที่เราพบกันข้าจะบุกเข้าระดับเทียนจื้อจุนเหมือนกัน!” หลินจิ้งกำหนัดแน่นพลางพูดกับมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้ม “เจ้าทำได้แน่นอน”

ความสามารถของหลินจิ้งไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย เพียงแต่นิสัยติดเล่นเกินไปและนางไม่เคยสัมผัสกับความเป็นตายเช่นเดียวกับเขา ไม่อย่างนั้นนางเหนือกว่าเฉวียนหลัวและมั่วซินอย่างแน่นอน

“ตอนแรกเห็นเจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ข้ายังตั้งใจจะประลองกับเจ้าสักหน่อย แต่หลังจากได้เห็นการแสดงฝีมือของเจ้าระหว่างงานชุมนุมสายเลือด ข้าก็ไม่อยากทำให้ตัวเองอับอาย ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมท่านพ่อถึงมองเจ้าสูงนัก นั่นเพราะเจ้าก็เหมือนกับเขา เป็นสัตว์ประหลาดด้วยกันทั้งคู่” เซียวเซียวจ้องไปที่มู่เฉินและพูดอย่างจริงจัง

ทันใดนั้นเส้นสีดำก็ปกคลุมหน้าผากของมู่เฉินทันที ‘เรียกพ่อตัวเองว่าสัตว์ประหลาด มันดีเหรอ?’

เย่าเฉินและหลินเตียวส่งยิ้มให้กัน แต่ก็ไม่คิดอยู่ต่อ หลังจากร่ำลามู่เฉินและชิงเหยี่ยนจิ้ง พวกเขาก็โบกมือพาเซียวเซียวและหลินจิ้งไป ขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

“สหายน้อยไว้พบกันใหม่”

เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วท้องฟ้าขณะที่พวกเขาหายไป

มู่เฉินยืนนิ่งเฝ้าดูพวกเขาจากไป

“เฉินเอ๋อ เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นวีรบุรุษ แม้ว่าพวกเขาจะมาจากพิภพเขตล่าง แต่พรสวรรค์ของพวกเขาก็พิเศษเหนือกว่าทุกคนในมหาพันภพ ดังนั้นสายตาของพวกเขาจึงเฉียบแหลมมาก ในมหาพันภพมีผู้คนไม่มากที่จับตาพวกเขาได้ ข้ารู้สึกภูมิใจที่เจ้าสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองคนได้” ชิ้งเหยี่ยนจิ้งลูบหัวของมู่เฉินเบา ๆ ขณะที่หัวเราะ

“ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง” มู่เฉินเห็นด้วย หลังจากได้พบปะพวกเขาสองคน เขาก็สัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของทั้งสองคน

“แต่เฉินเอ๋อของแม่ก็ไม่เลว ในอนาคตเจ้าจะสามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าว

“ขออวยพรให้เป็นจริง”

มู่เฉินยิ้มจากนั้นก็พูดต่อ “ท่านแม่ เราจะกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงเมื่อไร? ท่านพ่อรอวันนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว…”

แม้ว่าจะไม่มีใครในเผ่าฝูถูกล้าท้าทาย ทุกคนให้ความเคารพเขา แต่มู่เฉินก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน

สิ่งที่เขาต้องการทำที่สุดตอนนี้คือกลับไปที่มณฑลเป่ยหลิงพร้อมกับชิงเหยี่ยนจิ้ง

แม้ว่าที่นั่นจะกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับทวีปเทียนหลัวหรือเผ่าฝูถู แต่ก็เป็นบ้านในหัวใจของมู่เฉิน

เขาเติบโตที่นั่นและได้รับความมุ่งมั่นที่จะก้าวเข้าสู่มหาพันภพจากบ้านอันอบอุ่น…

ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยลืมคำสัญญาที่มีให้ต่อบิดา…

แม้ว่าชายคนนั้นจะเป็นเพียงเจ้าเขตมู่เล็กๆ แต่เขาก็เลี้ยงดูปกป้องมู่เฉินจนเติบใหญ่ ดังนั้นภาพของบิดาคือวีรบุรุษในใจของมู่เฉินเสมอ

สายตาของชิงเหยี่ยนจิ้งเหม่อลอยไปเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะฉายแววตาอ่อนโยนเมื่อนึกถึงสามี “เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวังที่เลี้ยงดูบุตรชายได้ดีพร้อมขนาดนี้”

ในเวลาเดียวกันน้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความปรารถนาเข้มข้น

“หลังจากแม่จัดการเรื่องต่างๆ ในเผ่าฝูถูเรียบร้อย ก็น่าจะเดินทางกลับพร้อมลูกได้”

รอยยิ้มเพิ่มขึ้นที่มุมริมฝีปากของชิงเหยี่ยนจิ้ง ขณะนางมองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างออกมา “แต่ก่อนหน้านั้นข้ามีของขวัญเล็กๆ สำหรับเจ้าด้วย”

ก่อนที่มู่เฉินจะตอบ นางก็คว้าแขนบุตรชายพร้อมกับคลื่นหลิงโอบทั้งสองคนไว้

เมื่อแสงหายไปมู่เฉินก็เห็นทิวทัศน์ใหม่ ที่นี่เป็นสถานที่เก่าแก่มีเจดีย์หินสูงตระหง่านโบราณ

มู่เฉินคุ้นเคยกับสถานที่นี้ ตอนที่เขาปรับแต่งเจดีย์พุทธะก็ได้มายังสถานที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาเกือบถูกฝูถูเฉวียนจับได้ด้วย

“ท่านแม่?”

ชัดว่าเขาไม่รู้ทำไมชิงเหยี่ยนจิ้งถึงพาเขามาที่นี่

“ในเผ่าฝูถูเมื่อจอมยุทธ์บรรลุระดับเทียนจื้อจุนก็จะมีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่และดูดซับรัศมีบรรพบุรุษเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งเจดีย์ของพวกเขาเป็นครั้งที่สอง” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้ม

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะส่ายหัว “คงไม่เหมาะสมล่ะมั้งขอรับ?”

แม้ว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะพูดแบบสบายๆ แต่มู่เฉินจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีค่าแค่ไหนได้อย่างไร? มีจอมยุทธ์ไม่มากนักที่จะได้รับสิ่งนี้ นอกจากนี้พูดแบบตรงๆ ตัวเขาก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่า

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ตอบว่า “ตอนนี้แม่เป็นผู้อาวุโสใหญ่และถ้าข้าบอกว่าเจ้ามีคุณสมบัติคุณก็คือมีคุณสมบัติ นอกจากนี้นี่ยังเป็นสิ่งที่เผ่าฝูถูเป็นหนี้เจ้า ตอนนั้นพวกเขาละเลยเจ้า ดังนั้นนี่จึงถือเป็นการขอโทษ”

เมื่อเห็นด้านเผด็จการของชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฉินก็ยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะพยักหน้ารับ

“งั้นข้าก็ขอบคุณท่านแม่”

เขารู้ดีว่าโอกาสที่เจดีย์ของเขาจะพัฒนาเป็นครั้งที่สองนั้นหายากเพียงใด ในเมื่อตอนนี้ส่งมาถึงตรงหน้า ก็น่าเสียดายที่จะต้องสละสิทธิ์ไป

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท