หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1441 ไปหาตัวช่วย

บทที่ 1441 ไปหาตัวช่วย

เสียงหัวเราะของมู่เฉินดังก้องไปทั่ววัง

แต่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกเลย ทุกคนตัวสั่นเทิ้ม ต่างแอบบ่นอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะมองพลาดไป ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ไม่ใช่ลูกวัวแต่เป็นพยัคฆ์ร้าย

ดูจากการที่มู่เฉินสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มร่อแร่ได้ ต่อให้โง่กว่านี้พวกเขาก็เดาได้ว่ามู่เฉินจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแน่นอน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้มาก่อน!

‘เทพเจ้าสู้กัน แต่เป็นชาวโลกที่เสียหาย’ พวกเขาไม่กล้าที่จะออกเสียงแม้แต่น้อย ไม่ว่ามู่เฉินหรือภูมิหลังที่น่ากลัวของราชันไป่หลิงก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงได้ ทั้งสองคล้ายกับเทพเซียนที่กำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาได้แต่หลบหนีด้วยความกลัวเมื่อเทพเซียนต่อสู้กัน

ขณะที่ทุกคนที่นี่กำลังหวาดกลัว คนจากพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกตะลึงไปกับฉากนี้ มากจนกระทั่งถังเชียนเอ๋อก็ยังอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ

พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเหมือนตุ๊กตาในมือของมู่เฉิน

จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็คือเหล่าเจ้าเขตต่างๆ ในมณฑลเป่ยหลิง พวกเขาจึงคุ้นเคยกับมู่เฉินดี ย้อนกลับไปมู่เฉินยังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ตอนที่จากไป แต่ใครจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะไปไกลเกินเอื้อมเมื่อกลับมาครั้งนี้?

ราชันไป่หลิงสีหน้าเขียวคล้ำลงในความเงียบนี้พร้อมกับความตกใจในดวงตา ทว่าเขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตูมเหมือนคนอื่นๆ

อย่างไรก็ตามบิดามารดาของเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธมากที่มู่เฉินดูถูก เขาเค้นเสียงโต้ “ช่างยิ่งใหญ่จริง! เจ้าทำร้ายผู้คุ้มกันข้าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือ เจ้าคิดท้าทายตำหนักปลายเหนือเรอะ?”

มู่เฉินยิ้มอ่อน “ตำหนักปลายเหนือ? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”

ราชันไป่หลิงเยาะเย้ย “บิดาข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!”

ขณะที่เขาพูดในประโยคก็มีร่องรอยความภาคภูมิใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของมู่เฉิน แต่เขาก็เดาได้ว่าไอ้บ้าคนนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น

แม้ว่าราชันไป่หลิงจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซึ่งมีช่องว่างขนาดใหญ่ห่างจากยอดยุทธ์ของมหาพันภพ แต่เขาก็รู้ว่าระดับเทียนจื้อจุนถูกแยกขั้นจากพลังของบิดามารดา เบื้องหน้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกขั้นหลิงก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไร

ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้กลัว

“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทรงพลังจริง” มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “แต่แกก็ยังคงเป็นขยะบูดอยู่ดี”

ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของราชันไป่หลิงก็แข็งค้าง พนักเก้าอี้ก็ถูกบีบจนแตก เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะผยอง แม้จะรู้ว่าบิดาของเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีลดราวาศอก

ผู้อาวุโสในชุดดำอีกคนก็ก้าวออกมาอยู่ข้างราชันไป่หลิงพลางประสานมือให้ “ท่านจอมยุทธ์ เจ้าทำให้ผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือหมดสภาพก็น่าจะได้ว่าระบายความโกรธแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องไม่พอใจกับตำหนักปลายเหนือด้วย?”

“ถ้าเจ้ายอมถอยสักก้าว ตำหนักปลายเหนือจะไม่ติดตามเอาผิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักปลายเหนือ เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะมีการสนับสนุนที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็คงตายที่นี่หากไปยั่วยุอีกฝ่าย

ดังนั้นแม้ว่าบิดาของราชันไป่หลิงจะมาแก้แค้นให้ พวกเขาก็ลงไปปรโลกแล้วในตอนนั้น

“หึ ผู้อาวุโสหลู่ไม่จำเป็นต้องกลัวมัน! ข้าจะดูว่ามันกล้าทำยังไงกับข้าในวันนี้ แม้ว่ามันจะฆ่าข้า แต่ท่านพ่อก็จะทำให้มันตายตกตามกันไป การที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสังเวยชีวิตตามข้าไปยมโลก ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว!”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลู่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ สงบลง ราชันไป่หลิงก็เยาะเย้ยขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้ายพลางท้าทายด้วยสายตา

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าต่อต้านเขาเพราะมีบิดามารดาให้ท้าย ทว่าเขากลับถูกกล่าวว่าเป็นขยะในวันนี้ ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่กลัวที่มู่เฉินจะฆ่าเขา

“ดูเหมือนแกจะไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าแกจริงๆ” มู่เฉินโยนถ้วยเล่นพลางยิ้มไม่แยแส

น้ำเสียงบรรจุเจตนาฆ่าหนาวเหน็บซึ่งทำให้ทั้งวังตกลงไปในจุดเยือกแข็ง ทุกคนตัวสั่นจากความหนาวเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ‘ชายคนนี้คงไม่ฆ่าราชันไป่หลิงจริงๆ ใช่ไหม?’

หากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่จริงๆ ตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาอาจเอาเลือดล้างทั้งทวีปไป่หลิงก็ได้!

“ไอ้หนู”

มู่เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น เขาไม่กลัวราชันไป่หลิง แต่เขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะฆ่าอีกฝ่าย หากเป็นเช่นนั้นบิดามารดาของราชันไป่หลิงคงตามแก้แค้นมู่เฉินแน่

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร

ดังนั้นเขาจึงยอมถอยไม่อยากให้มู่เฉินไปเสี่ยง

จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เมื่อดำเนินมาถึงขั้นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขารู้ดีว่าหากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่ มณฑลเป่ยหลิงอาจต้องจมลงในความโกรธของผู้ปกครองของราชันลูกแง่คนนี้

แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็คงไม่สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสองคนหรอกมั้ง? นอกจากนี้หนึ่งในนั้นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนในตำนานอีกด้วย

“มู่เฉิน” ถังเชียนเอ๋อดึงแขนเสื้อมู่เฉิน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะน่ารังเกียจแต่ก็มีภูมิหลังที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงไม่ดีที่จะฉีกหน้ากันอย่างเต็มที่

เมื่อมู่เฉินเห็นก็หันไปยิ้มให้พวกเขา “เชื่อข้า ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉิน มู่เฟิงก็ไม่พูดอีกต่อไป เขาเข้าใจลูกชายดี มู่เฉินไม่ใช่คนบุ่มบ่ามและต้องมั่นใจในการทำเช่นนี้

แม้แต่ถังเชียนเอ๋อก็ยังผงกหัวหลังจากลังเลชั่วครู่

ราชันไป่หลิงสังเกตเห็นมู่เฉินปลอบใจมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อ ความลังเลของมู่เฟิงและถังเฉียนเอ๋อทำให้เขาเข้าใจว่าการคุกคามของตนมีประโยชน์ รอยยิ้มของเขากลายเป็นหยิ่งผยองทันที

‘ต่อให้แกเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนแล้วยังไง? ต่อหน้าพ่อแม่ข้า แกก็ต้องก้มหน้าให้!’

“ดูเหมือนแกจะเชื่อมั่นพ่อแม่มากนะ”

เสียงมู่เฉินดังก้องขณะที่ยิ้มอ่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเรียกพ่อแม่มาที่นี่… ข้าอยากเห็นว่าใครสามารถช่วยเจ้าได้ในวันนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ม่านตาของราชันไป่หลิงก็เย็นเยือกลงขณะมองไปที่มู่เฉิน

“ท่านจอมยุทธ์!” ผู้อาวุโสหลู่ร้องลั่น

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจคำเรียกนั่น เขาหันมาหา “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งวัน ไปหาคนที่ช่วยมันได้มาให้หมด”

ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดลงก่อนที่จะเหยียดนิ้วชี้ไปยังราชันไป่หลิง

ปัง!

แขนของราชันไป่หลิงถูกเฉือนออกพร้อมกับเลือดสดสาดกระเซ็น มู่เฉินไม่สนใจเสียงกรีดร้องของราชันไป่หลิงพลางโบกมือส่งแขนข้างนั้นไปให้ผู้อาวุโสหลู่

“เอาติดตัวไปด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะคิดว่าข้าล้อเล่น”

มองไปที่ราชันไป่หลิงที่กุมไหล่ไร้แขนขณะส่งเสียงกรีดร้อง ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเหี้ยมขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะฉีกหน้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงจริงๆ

ผู้อาวุโสหลู่ตกใจขณะรับแขนนั้นไว้

“ผู้อาวุโสหลู่รีบไป! ไป! ตามท่านพ่อท่านแม่มา ข้าต้องการให้ไอ้สวะนี่ทรมาน! ข้าจะฆ่ามันทั้งโคตรให้ได้!” ราชันไป่หลิงจับบาดแผลไว้แล้วคำรามด้วยสายตาดุร้าย

มู่เฉินขมวดคิ้วชี้นิ้วออกไป แขนอีกข้างหนึ่งของราชันไป่หลิงก็ระเบิดออก

“งั้นเอาไปสองข้างเลย” มู่เฉินโยนแขนอีกข้างให้ผู้อาวุโสหลู่พร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั่นทำให้อีกฝ่ายขนลุกชันไปหมด

ผู้อาวุโสในชุดดำจับแขนสองข้างกัดฟันพูดกับมู่เฉินว่า “เจ้ามีปัญหาแน่! แล้วเจ้าจะเสียใจ!”

ขณะพูดจบก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย

เมื่อผู้อาวุโสหลู่จากไปบรรยากาศในโถงก็เริ่มอึดอัด แม้ว่าราชันไป่หลิงจะถูกตัดไปสองแขน แต่เขาก็ยังคงมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย ชัดว่ากำลังรอการมาถึงของบิดามารดา

ในเวลานั้นเขาจะฉีกแขนขาทั้งครอบครัวของมู่เฉินต่อหน้าและปล่อยให้พวกมันทรมานจนตาย

แม้บรรยากาศในโถงจะอึดอัด มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจ เขาหันไปหามู่เฟิงยิ้มเผล่ “ท่านพ่อข้าพาบางคนมาหาแน่ะ”

ตอนนี้มู่เฟิงคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบกลับอย่างไม่พอใจ “จะพาใครมาข้าก็ไม่สนใจ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นท่าทางของมู่เฉินก็แปลกไปราวกับว่ากำลังเยาะเย้ย

ขณะที่มู่เฟิงกำลังสงสัยเกี่ยวกับท่าทางของมู่เฉิน เสียงพลิ้วหวานก็ดังก้องก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “โอ้? ไม่สนใจแม้กระทั่งข้าเหรอ?”

เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ทุกคนก็หันไปมองทางประตู มองเห็นร่างเงาย่างกรายตรงไปยังมู่เฟิง

เพล้ง

เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้น ดวงตาของมู่เฟิงก็เบิกกว้าง ถ้วยชาในมือหลุดตกลงไปบนพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท