หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1443 หลิ่วไป่ฮวา

บทที่ 1443 หลิ่วไป่ฮวา

ตู้ม!

หลังคาโถงถูกฉีกออกจากกันด้วยมือที่มองไม่เห็น แสงแดดส่องลงมากระทบร่างทุกคนที่นี่ แต่ทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นของดวงตะวันเลย ตรงกันข้ามพวกเขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่น่ากลัว

นั่นเป็นเพราะที่สาดส่องลงมาพร้อมแสงตะวันก็คือไอสังหารเย็นเยือก

ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ตัวสั่นงันงกเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันในหมู่เมฆพร้อมกับสตรีสวมชุดชาววัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาและเจตนาฆ่าที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดในดวงตา จนพวกเขาไม่กล้ามองนาง

แรงกดดันคลื่นหลิงทรงพลังกำจายออกมาจากร่างของนางอย่างต่อเนื่อง ล้อมรอบเมืองไป่หลิงทั้งหมดไว้ ทำให้ทุกคนตัวสั่นเทิ้มจากการบีบคั้นของระดับเทียนจื้อจุน

เมื่อมองไปที่สตรีคนนั้น ทุกคนก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ พวกเขาจำได้ชัดเจนว่านางเป็นมารดาของราชันไป่หลิง ประมุขสำนักร้อยบุปผา—หลิ่วไป่ฮวา มิหนำซ้ำยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงอีกด้วย

“ท่านแม่! ท่านแม่! เร็ว ช่วยข้าด้วย!”

เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลิ่วไป่ฮวา ราชันไป่หลิงก็คำรามรุนแรง อารมณ์ที่อัดอั้นระเบิดออกเต็มที่ “ไอ้บ้านั่นตัดแขนข้าสองข้าง ท่านอย่าปล่อยมันไปนะ!”

เมื่อเห็นร่างบุตรชายโชกเลือกซ้ำยังไม่มีแขน หลิ่วไป่ฮวาก็รู้สึกว่าปอดกำลังจะระเบิดด้วยความโกรธ นางถนอมบุตรชายราวกับของแก้วล้ำค่า นี่คือเหตุผลว่าทำไมนางจึงยอมให้เขามาปกครองทวีปและกลายเป็นราชัน

ดังนั้นเมื่อเห็นลูกรักถูกตัดแขน ความโกรธของนางก็ระเบิดตูม

“ไม่ต้องกังวล พ่อเจ้ากำลังเร่งรุดมากับพรรคพวก วันนี้ข้าจะดูว่าไอ้หน้าโง่คนไหนกล้าทำร้ายลูกชายของข้าในทวีปไป่หลิงนี้!” เสียงเยือกเย็นของหลิ่วไป่ฮวาดังสะท้อนโดยปราศจากความอบอุ่นใดๆ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นพวกมู่เฟิงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะไปตีรังผึ้งในครั้งนี้ ฟังจากคำพูดของนาง ประมุขตำหนักปลายเหนือไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่มีผู้ช่วยมาด้วย

สายตาเย็นชาของหลิ่วไป่ฮวากวาดไปทั่วห้องโถง ก่อนที่เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “ใครเป็นคนทำ?”

ทุกสายตาจ้องมองไปที่มู่เฉินที่ตอนนี้กำลังคลึงถ้วยในมือเล่นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองไปที่หลิ่วไป่ฮวา “ดูท่าว่าเจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอโทษนะ?”

พอได้ยินคำพูดของเขา หลิ่วไป่ฮวาก็หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “ขอโทษรึ? สมองแกเน่าไปแล้วมั้ง!”

มู่เฉินพูดต่อ “พวกเจ้าปล่อยให้ไอ้โง่นี้ทำตามอำเภอในในทวีปไป่หลิง ทำร้ายบิดาข้าและพยายามบังคับให้เพื่อนรักของข้าแต่งให้มัน ในเมื่อพวกเจ้าไม่สั่งสอน ข้าก็เลยจะจัดการให้เอง”

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!” หลิ่วไป่ฮวารู้สึกแค้นเคืองกับคำพูดของมู่เฉินก่อนที่นางจะพูดต่อ “ทวีปไป่หลิงเป็นของสามีข้ามอบให้บุตรชาย เขาเป็นผู้ปกครองที่นี่ ถึงเขาจะทำเรื่องที่แกว่ามาแล้วจะยังไง”

“ดูเหมือนว่าตัวแม่ก็เป็นหญิงโง่ไม่มีเหตุผล”

มู่เฉินขมวดคิ้วพูดต่อ “งั้นตั้งแต่วินาทีนี้ทวีปไป่หลิงเป็นของข้าแล้ว”

“สามหาว ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

หลิ่วไป่ฮวาก้าวออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากแขนเสื้อนางกลายเป็นพายุดอกไม้ห่อหุ้มไปที่ร่างมู่เฉิน

“ต้องการยึดทวีปไป่หลิงเรอะ? แกยังไม่มีความสามารถพอ!”

พายุดอกไม้ส่งเสียงหวีดหวิว แวววาวราวกับอัญมณี ดอกไม้ทุกดอกมีพลังหลิงที่ควบแน่นมากซึ่งสามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้อย่างง่ายดาย ด้วยการรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ตราบใดที่หลิ่วไป่ฮวาต้องการ นางก็สามารถทำให้ทั้งเมืองไป่หลิงอาบไปด้วยเลือดทันที

ทว่าเมื่อมู่เฉินมองไปที่ดอกไม้ก็ไม่มีแม้แต่คลื่นกระเพื่อมในดวงตา เขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในขั้นหลิงระยะต้น ยิ่งตอนนี้เขาบรรลุระยะกลางแล้ว หลิ่วไป่ฮวาที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะต้นก็ไม่มีอะไรอยู่ในสายตาเขา

ดังนั้นเขาจึงเปิดปากพ่นพายุคลื่นหลิงไปปะทะกับพายุดอกไม้ ลบล้างออกไปอย่างสมบูรณ์

ฉากนี้ทำให้ใบหน้าของผู้คนเปลี่ยนไป แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะสามารถแก้ไขการโจมตีของหลิ่วไป่ฮวาได้อย่างง่ายดายแบบนี้

“แกมีความสามารถพอตัว มิน่าล่ะถึงกล้าอวดดีขนาดนี้!” หลิ่วไป่ฮวาหดตาลง ใบหน้าก็เย็นเยือกลง นางไม่รั้งรออีกต่อไป แสงหลิงพร่างพราวออกมาจากร่างกาย ตอนนี้นางเปิดใช้คลื่นหลิงเต็มกำลังแล้ว

“ทักษะหลิงไม่เสินทง ร้อยบุปผาสังหาร!”

หลิ่วไป่ฮวาชี้ไปทางมู่เฉินจากระยะไกลด้วยสายตาเย็นชา

ฮึ่ม!

ทันทีที่หลิ่วไป่ฮวาชี้นิ้วลง ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดอกไม้สีแดงเข้มแปลกประหลาดงอกออกมารอบตัวมู่เฉิน ก่อนที่จะกลืนกินร่างมู่เฉินเข้าไป

“หึ ไอ้หนู คิดว่าบรรลุเทียนจื้อจุนแล้วจะอวดดีได้เรอะ ทักษะหลิงไม่เสินทงของข้าผิดแผก ตราบใดที่ถูกกลืนกิน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ต้องสูญสลาย!” เมื่อหลิ่วไป่ฮวาเห็นมู่เฉินถูกดอกไม้สีแดงเขมือบ นางก็เค้นเสียงเยาะเย้ยใส่

เมื่อมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ส่วนชิงเหยี่ยนจิ้งยังมีสีหน้าสงบนิ่งพลางตบหลังมือมู่เฟิงเบาๆ เป็นการปลอบใจ

ผู้นำขั้วอำนาจอื่นๆ ต่างส่ายหัว ดูท่าหลิ่วไป่ฮวาจะมีไหวพริบในการเผชิญหน้ามากกว่า

“ฮ่าๆๆๆ!” ราชันไป่หลิงหัวเราะร่วน จากนั้นก็มองไปที่มู่เฟิง ถังเชียนเอ๋อและคนอื่นๆ ด้วยสายตาโหดเหี้ยม

“ก็แค่ทักษะหลิงไม่เสินทงจากเส้นหลิงขั้นเทียน ทรงพลังอย่างที่เจ้าพูดซะที่ไหน…”

ทว่าในขณะที่ราชันไป่หลิงหัวเราะสาแก่ใจ เสียงหนึ่งก็ดังก้องออกมาจากดอกไม้สีแดงเข้ม พริบตาทุกคนก็มองเห็นเพลิงสีม่วงลุกขึ้นจากภายในดอกไม้ ก่อนที่จะสลายดอกไม้สีแดงเข้มที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้

หลิ่วไป่ฮวาตกตะลึงกับภาพนี้ นางรู้ชัดเกี่ยวกับทักษะหลิงไม่เสินทงของตนเองดี หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อยู่ในระดับเดียวกันตกอยู่ในนั้น ต่อให้มีความสามารถก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะหลุดพ้น แต่ตอนนี้แค่ไม่กี่อึดใจยังยับยั้งมู่เฉินไว้ไม่ได้?

“ดูเหมือนจะพูดดีๆ กับผู้หญิงไร้สมองอย่างเจ้าไม่ได้แล้ว…” มู่เฉินเงยหน้ามองหลิ่วไป่ฮวาอย่างไม่แยแส “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็คุยด้วยกำปั้นแล้วกัน”

เมื่อพูดจบเขาก็เปิดปากเพลิงสีม่วงลุกโชติช่วงกวาดออกมาในพริบตา กลายเป็นมังกรเพลิงสีม่วงพุ่งเข้าหาหลิ่วไป่ฮวา

มังกรม่วงทะยานเข้าไป หลิ่วไป่ฮวาก็หดดวงตา เนื่องจากนางได้เห็นว่าเปลวไฟสีม่วงทรงพลังเพียงใด ดังนั้นนางจึงไม่กล้าประมาท ฝ่ามือประสานกันทันที ทันใดนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกกลายเป็นกำแพงดอกไม้

แม้กำแพงจะดูอ่อนแอ แต่ก็เป็นการป้องกันทรงพลังที่สามารถต้านทานการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้อย่างเต็มที่

แต่เมื่อเปลวไฟสีม่วงสัมผัส กำแพงก็ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ลุกไหม้และพังทลายลงในพริบตา

ในที่สุดหลิ่วไป่ฮวาก็ฉายความหวาดผวาบนใบหน้า เนื่องจากกระทั่งการป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของนางก็ไม่สามารถต้านทานการเคลื่อนที่ของเปลวไฟสีม่วงได้ ยามนี้นางตระหนักได้ถึงช่องว่างระหว่างตนเองกับมู่เฉินแล้ว

“ให้ตายเถอะ ประเมินเจ้าเด็กนั่นต่ำไป ข้าต้องถอยก่อนแล้วรอให้ตาแก่กับพรรคพวกมาจัดการกับเจ้าเด็กนี่!” หลิ่วไป่ฮวากัดฟัน ภาพเงากลายเป็นลำแสงถอยหนีออกไป

แต่เมื่อนางถอยออกไป ทุกคนก็สูดลมหายใจเย็น ไม่มีใครคิดว่าเจ้าสำนักร้อยบุปผาจะตกอยู่ในสถานะมีปัญหา หลังจากที่แลกกระบวนท่ากับมู่เฉินเพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น

ทันใดนั้นทุกสายตาก็ฉายความกลัวและเคารพ ขณะมองไปที่มู่เฉิน พลังที่แสดงออกมาของชายหนุ่มเหนือกว่าหลิ่วไป่ฮวาหลายขุม

แม้แต่ราชันไป่หลิงก็ยังหุบปากด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

“ในเมื่อมาแล้ว คิดจะไปง่ายๆ เรอะ?”

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจใคร เขามองไปที่หลิ่วไป่ฮวา เค้นเสียงเย็นชาก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นมังกรเพลิงม่วงก็ระเบิดขึ้น มือเพลิงม่วงซัดใส่ร่างของหลิ่วไป่ฮวา

ปัง!

หลิ่วไป่ฮวารับความทุกข์ทรมานหนักหน่วง ร่างทรุดลงทำให้เกิดปากปล่องบนพื้นขนาดใหญ่ รอยแตกพล่านออกไป ดูน่าอนาถยิ่งนัก

ตู้ม!

ทว่ามู่เฉินก็ไม่คิดที่จะไว้หน้าให้นาง มือเพลิงม่วงขนาดใหญ่กำเป็นหมัดซัดลงไป แม้ว่าหลิ่วไป่ฮวาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง แต่กายาหลิงเทียนจุนของนางก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แน่หากถูกโจมตี

ใบหน้าของหลิ่วไป่ฮวาซีดลงด้วยความกลัว นางไม่คิดว่ามู่เฉินจะโหดเหี้ยมขนาดนี้

ฟิ้ว!

หมัดชกลงมาท่ามกลางสายตาหวาดผวานับไม่ถ้วน เมืองไป่หลิงทั้งเมืองก็แผ่นดินพิโรธรุนแรง…

ควันพวยพุ่ง ทุกคนมองไปในพื้นที่นั้น ในใจก็สั่นไหว ‘อย่าบอกนะว่าหลิ่วไป่ฮวาถูกฆ่าด้วยหมัดของมู่เฉินแล้ว?’

มู่เฉินก็มองไปพลางหรี่ตาลง

เมื่อควันค่อยๆ สลายไป กำปั้นก็ยังคงท่าที่ชกลง แต่กลับมีกระดองเต่าสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นเบื้องบนปกป้องหลิ่วไป่ฮวาไว้

เมื่อมู่เฉินเห็นกระดองนั่น เขาก็เหยียดเอวโดยไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ในดวงตา สายตามองไปที่ระยะไกลก็เห็นร่างเงาสี่ร่าง

แรงกดดันมหาศาลปลดปล่อยจากร่างกายพวกเขา

ในบรรดาทั้งสี่คน ชายสวมชุดสีฟ้าอมเขียวที่มีสายตาแหลมคมกำลังมองไปที่มู่เฉินก่อนที่จะตะเบ็งเสียงดังก้อง

“รังแกลูกเมียข้า แกไม่เห็นข้าฉิงเป่ยเฉวียนอยู่ในสายตาแล้วมั้ง?!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท