หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – ตอนที่ 1448

ตอนที่ 1448

ทวีปซันไห่

ที่นี่เป็นทวีปที่มีชื่อเสียงอย่างมากในมหาพันภพ แน่นอนว่าชื่อเสียงนั้นไม่ได้มาจากทวีป แต่เป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งที่อาศัยอยู่ที่นี่

เผ่าหงส์ฟ้า

ซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวบรรดาเผ่าวิหคทั้งหมดในมหาพันภพและมีชื่อเสียงโด่งดัง ในเวลาเดียวกันพลังของพวกเขายังติดอันดับต้นของยุทธภพอีกด้วย

ตามชื่อแล้วทวีปแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาจำนวนมากและมหาสมุทร เทือกเขาทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภูเขาแต่ละลูกมีขนาดเป็นแสนลี้ ราวกับยักษ์ปกคลุมผืนทวีปพร้อมกับความเวิ้งว้าง

ใจกลางทวีปมีหมอกมารวมตัวกัน สามารถมองเห็นวังหรูหราได้เลือนรางพร้อมกับเสียงนกร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูราวกับแดนสวรรค์

วังขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศสูงศักดิ์ เก้าอี้หินเลื่อนลงมาซึ่งมีคนนั่งอยู่บนนั้น ทุกคนกำจายด้วยแสงหลิงที่ก่อตัวเป็นสัตว์อสูรบินฉวัดเฉวียนอยู่ที่เบื้องหลัง

หากมีใครอยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องตกใจ เพราะทั้งหมดเป็นเทพอสูรประเภทกลางเวหาของมหาพันภพ

เผ่าเหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าขั้วอำนาจสุดยอดในมหาพันภพเลย นอกจากนี้เนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของเทพอสูร ทำให้ขั้วอำนาจสุดยอดธรรมดายังไม่อาจเทียบได้

ดังนั้นเมื่อรวมตัวกันจึงถือว่าเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ของมหาพันภพเลยทีเดียว

มีร่างเงานั่งบนเก้าอี้หินอยู่ในวัยกลางคนกำจายความสูงศักดิ์รอบตัวทุกครั้งที่เคลื่อนไหว

ในเผ่าหงส์ฟ้า ถูกปกครองร่วมกันระหว่างจักรพรรดิตระกูลเฟิ่งและจักรพรรดิตระกูลหวง พวกเขาจะแบ่งระยะเวลาในการปกครอง ซึ่งในปัจจุบันผู้ที่ถืออำนาจสูงสุดก็คือจักรพรรดิแห่งตระกูลหวง—หวงจิง

“ทุกคนสระยกเทพจะเปิดในหนึ่งเดือนข้างหน้า ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละเผ่าว่าจะสามารถหาสายเลือดได้มากเท่าไร” หวงจิงยิ้มด้วยใบหน้าทรงเกียรติ

เมื่อเขาพูดจบ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายเผยให้เห็นความตื่นเต้น

สระยกเทพมีสมบัติล้ำค่าที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่เผ่าหงส์ฟ้าทำร่วมกับสัตว์อสูรเผ่ากลางเวหาอื่นๆ เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของแต่ละเผ่าจะละสังขาร พวกเขาจะเข้าสู่สระยกเทพเพื่อหลอมร่างกายและสายเลือดรวมไปกับสระน้ำ

ด้วยวิธีนี้ ลูกหลานของพวกเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากสายเลือดที่บรรพบุรุษทิ้งไว้เพื่อใช้ชำระสายเลือดและวิวัฒนาการ

นั่นหมายความว่าสระยกเทพเป็นของขวัญยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษของเทพอสูรกลางเวหาทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง

ไม่ต้องพูดถึงเผ่าเทพอสูรอื่นๆ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ถูกล่อลวงด้วยของขวัญชิ้นนี้เช่นกัน

แต่เนื่องจากสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของเผ่าต่างๆ จึงไม่มีใครผูกขาดได้ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเหล่าอัจฉริยชนจะได้รับไปมากแค่ไหน

ขณะที่หวงจิงมองไปที่ทุกคน เขาก็ยิ้มก่อนที่จะหันไปมองคนสองคนที่ขอบลาน

หนึ่งในนั้นสวมชุดดำ เขาก็คือประมุขเผ่าวิหคโลกันตร์—เทียนฮวง

ที่ด้านหลังมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีดำ นางมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนสัดน่าทึ่ง รูปลักษณ์สะคราญโฉมยิ่งนัก ริมฝีปากที่เม้มแน่นทำให้คนอื่นรู้สึกถึงเจ้าพยศในใจ

นางก็คือจิ่วโยว

“ท่านเทียนฮวง แม่นางจิ่วโยว ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดยังไงกับข้อเสนอก่อนหน้าขอข้า?” หวงจิงมองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหวงจิง ใบหน้าของเทียนฮวงก็สลับระหว่างเขียวกับขาว ขณะที่จิ่วโยวกัดริมฝีปาก

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเงียบไป หวงจิงก็ยิ้ม “พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าบุตรชายของข้าฝึกฝนทักษะเก้าเทพหมุนวนในขั้นที่แปดแล้ว เหลือเพียงการนิพพานครั้งสุดท้ายก็สามารถบรรลุขั้นเซิ่ง ซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อเผ่าหงส์ฟ้า ดังนั้นข้าหวังว่าเผ่าวิหคโลกันตร์จะเติมเต็มความปรารถนาของข้า”

ขณะที่พูดหวงจิงก็มองไปที่ชายที่นั่งเงียบอยู่ทางด้านหลัง เขามีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สวมชุดสีทองทำให้ดูสูงส่ง เมื่อมองจากระยะไกลก็ราวกับโอรสสวรรค์ที่สูงศักดิ์

เขาก็คือบุตรชายของหวงจิงและยังเป็นประมุขน้อยตระกูลหวง—หวงเฉวียนจือ

ชายผู้นี้ได้รับการฝึกฝนทักษะเทพขั้นสูงสุดของเผ่าหงส์ฟ้าวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งการนิพพานทุกครั้งต้องใช้เวลาสิบปี เมื่อการนิพพานที่เก้าเสร็จสิ้น เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

วิชาเก้าเทพหมุนวนนี้เป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามีความพิเศษเพียงใด

ทว่าทักษะเทพระดับนี้ก็ยากในการฝึกฝนมาก นอกจากพรสวรรค์ผู้ฝึกต้องสูง ทุกการนิพพานยังต้องกลืนกินสายเลือดเทพอสูร เมื่อนิพพานที่แปดเสร็จสมบูรณ์ หวงเฉวียนจือก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้ว

พร้อมกับการสำเร็จนิพพานที่แปด ความเข้มงวดของสายเลือดที่ต้องการก็มากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายตาสายเลือดวิหคอมตะที่อยู่ในร่างจิ่วโยว

วิหคอมตะเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าหายากยิ่งกว่าหงส์ฟ้าแท้จริง ณ ปัจจุบันในโลกนี้อาจมีเพียงจิ่วโยวคนเดียวที่ครอบครองสายเลือดวิหคอมตะอยู่ก็ได้

เผ่าอื่นๆ ก็มองภาพนี้อย่างเย็นชา ในโลกสัตว์อสูร ผู้ที่แข็งแกร่งจะล่าผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ เผ่าวิหคโลกันตร์ถือได้ว่าเป็นเผ่าเทพอสูร แต่ยังไม่ใช่เผ่ามหาเทพอสูร ดังนั้นการครอบครองสายเลือดวิหคอมตะจึงดึงดูดความสนใจจากพวกเขา

สายตาของเทียนฮวงกะพริบด้วยแสงมืดมน จิ่วโยวเป็นจอมยุทธ์คนเดียวที่สามารถปลุกสายเลือดวิหคอมตะได้ในช่วงนับหมื่นปีที่ผ่านมา นางคือความหวังของทั้งเผ่า พวกเขาหวังว่านางจะสามารถวิวัฒนาการถึงขั้นสุดท้ายได้สำเร็จในวันหนึ่ง เพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

เหตุผลที่พวกเขามายังเผ่าหงส์ฟ้าก็เพื่อสระยกเทพ ทว่าพวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าจะดึงดูดความสนใจของหวงจิง เนื่องจากสายเลือดวิหคอมตะ…

เทียนฮวงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะ การฝึกฝนของจิ่วโยวก็จะหยุดลงตลอดชีวิต…และนี่จะเป็นการระเบิดใหญ่สำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์

ทว่าเผ่าหงส์ฟ้าทรงพลังและหวงจิงที่เป็นประมุขตระกูลหวง ซ้ำยังมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เผ่าวิหคโลกันตร์ไม่สามารถต่อกรได้ ดังนั้นถ้าปฏิเสธ อีกฝ่ายขุ่นเคืองแน่

ยามนี้เทียนฮวงหวั่นใจนัก เขาทำได้เพียงตอบกลับอย่างหนักแน่นว่า “โชคดีที่บุตรสาวของข้าเข้าตาท่านได้ แต่นางดื้อรั้นนักเมื่อตอนยังเด็ก นางได้สร้างพันธะโลหิตกับมนุษย์ไว้ กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน…”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนประหลาดใจไป แม้แต่หวงจิงยังขมวดคิ้ว เผ่าหงส์ฟ้ามีเกียรติและพวกเขาชอบความบริสุทธิ์ ในสายตาของพวกเขาแม้แต่มหาเทพอสูรเผ่าอื่นๆ ก็ยังหยาบคาย ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์เลย

เมื่อเทียนฮวงเห็นภาพนี้ก็ถอนหายใจโล่งอกในใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของจิ่วโยว แต่ก็ไม่มีอะไร ตราบเท่าที่เขาสามารถปกป้องบุตรสาวไว้ได้

ทว่าหวงเฉวียนจือกลับยิ้มออกมา “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา จับมนุษย์คนนั้นมา เรามีวิธีการมากมายในการละลายพันธะโลหิต โดยไม่ต้องทำร้ายแม่นางจิ่วโยว”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็ดิ่งลงเนื่องจากการสลายพันธะโลหิตจะเป็นอันตรายต่อทั้งสอง ถ้านางไม่ได้รับอันตรายนั่นหมายความว่ามู่เฉินจะได้รับอันตราย

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเทียนฮวงก็หนังหัวชาหนึบตอบว่า “ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายที่จะจับนะสิ”

“ทำไม?” หวงจิงหรี่ตาลงขณะที่ยิ้มอย่างไม่แยแส “มีเพียงไม่กี่คนในมหาพันภพที่ยากสำหรับเผ่าหงส์ฟ้าของข้าที่จะจับกุม”

หลังจากลังเลชั่วครู่เทียนฮวงก็กัดฟันพูดต่อ “เพราะเขาคือประมุขตำหนักมู่ เจ้าทวีปเทียนหลัว…มู่เฉิน”

“มู่เฉิน?”

เมื่อทุกคนได้ยินชื่อนี้ ก็ไม่ได้แสดงท่าทางสงสัย บางคนถึงกับร้องอุทาน “หรือว่าจะเป็นมู่เฉินที่ไปป่วนเผ่าฝูถูรึ?”

เทียนฮวงพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะความจริงที่เขารู้ว่ามู่เฉินมีสถานะที่แตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง เขาคงไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้อย่างแน่นอน

หวงจิงก็ประหลาดใจเช่นกัน เนื่องจากชื่อนี้ดังเป็นพลุแตกในมหาพันภพช่วงนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับตำหนักมู่ของมู่เฉิน แต่เขากังวลเกี่ยวกับมารดาของมู่เฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโสใหญ่คนปัจจุบันของเผ่าฝูถู…

ภูมิหลังเช่นนี้ แม้แต่เผ่าหงส์ฟ้าก็ไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้

หวงจิงขมวดคิ้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถจับมู่เฉินและสลายพันธะโลหิตได้ มิฉะนั้นชิงเหยี่ยนจิ้งไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่นอน

เมื่อเห็นหวงจิงตกอยู่ในความเงียบ เทียนฮวงก็ฉายความสุขบนใบหน้า

ทว่าก่อนที่เขาจะได้รับความสุขเต็มที่ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาลึกซึ้งของหวงเฉวียนจือก่อนที่อีกฝ่ายจะยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ยอมถอยสักก้าว ข้าไม่สนใจพันธะโลหิต เพราะมันจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าอยู่ดี…”

เผ่าหงส์ฟ้ารักความบริสุทธิ์ แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งสายเลือดวิหคอมตะ เขาก็ยอมอดทนสักหน่อย นอกจากนี้เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าเทียนฮวงพยายามปฏิเสธ…

พอได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของเทียนฮวงก็จมลง

เมื่อกวาดสายตาไปหวงเฉวียนจือก็สามารถมองเห็นความคิดของเทียนฮวงได้ เขาจึงพูดต่อว่า “มู่เฉินเกาะใบบุญมารดาในการสนับสนุน เผ่าหงส์ฟ้าจึงไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้ แต่ในทำนองเดียวกันอย่าคิดว่าเผ่าหงส์ฟ้าจะกลัวเขา ดังนั้นข้าขอบอกเลยว่ามู่เฉินไม่มีคุณสมบัติที่เราจะกลัวเขา”

“ถ้าเจ้ากำลังจะบอกว่ามู่เฉินจะมาแก้แค้นแทนแม่นางจิ่วโยว ข้าหวงเฉวียนจือก็อยากเห็นว่าเขามีความสามารถแค่ไหนที่สามารถพลิกเผ่าฝูถูได้”

พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปที่ใบหน้าเขียวคล้ำของเทียนฮวงและท่าทางเย็นชาของจิ่วโยวก่อนที่จะพูดต่อ “นอกจากนี้ข้าก็ไม่เชื่อว่ามู่เฉินจะกล้ามาที่เผ่าหงส์ฟ้า ถ้าเขามา ข้าจะจับเขาและบอกให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่าคิดว่าตัวเองจะเที่ยวเดินไปทั่วมหาพันภพได้อย่างไม่เกรงกลัว หลังจากก่อความวุ่นวายกับเผ่าฝูถู”

แม้ว่าน้ำเสียงของหวงเฉวียนจือจะสงบ แต่ก็มีความเย่อหยิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของกษัตริย์ นี่เป็นสิ่งไม่ธรรมดาจริงๆ

หวงจิงยิ้มพลางพยักหน้า เขาพอใจในตัวบุตรชายนัก แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็ยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับบุตรชายเขา

นั่นเป็นเพราะบุตรชายเขาเป็นอัจฉริยะแท้จริง

ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เทียนฮวงและจิ่วโยวด้วยสีหน้าทรงเกียรติ ก่อนที่เสียงไม่แยแสจะดังก้อง

“ข้าตัดสินใจแล้วหนึ่งเดือนนับจากนี้จะเปิดสระยกเทพขึ้นและบุตรชายข้าจะเข้านิพพานที่เก้า”

“ในเวลานั้นเมื่อเข้าไปในสระยกเทพถ้าเจ้ายังไม่เต็มใจ ลูกข้าก็คงต้องลงมือเองแล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท