หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1450 ชนวนเหตุ

บทที่ 1450 ชนวนเหตุ

ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่

ที่กองบัญชาการใหญ่มีแท่นสูงด้านหลังอาคารซึ่งมีการจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ทว่าค่ายกลนี้ช่างมืดสลัวเนื่องจากเป็นสิ่งที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์

แต่วันนี้ค่ายกลกำจายรัศมีออกมาพร้อมกับความผันผวนของมิติที่รุนแรง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน

ร่างเงาหนึ่งย่างกรายออกมา

“ดูเหมือนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเชื่อมโยงสำเร็จแล้ว” ชายคนนั้นมองไปที่ค่ายกลเบื้องล่างที่เปล่งรัศมีแสงหลิง นั่นเป็นสัญญาณของการเปิดใช้งาน

เขาก็คือมู่เฉินที่เพิ่งกลับมาโดยใช้เวลาห้าวันเต็มในเส้นทางมิติกว่าที่จะมาถึง

ทว่ามู่เฉินก็พอใจกับความเร็วนี้ มิฉะนั้นถ้าเดินทางผ่านทีละทวีปเขาต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว

ฟิ้ว!

เมื่อเขาปรากฏขึ้น ก็มีเงาร่างกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา นี่คือเหล่าองครักษ์ในชุดเกราะ

“ใครบังอาจบุกกองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่?!”

เหล่าองครักษ์ตะโกนพร้อมกับระเบิดพลังจับจ้องไปที่มู่เฉิน

“ตื่นตัวใช้ได้” มู่เฉินยิ้ม เขาพอใจกับองครักษ์เหล่านี้ เมื่อเขาเดินออกมาก็แสดงให้เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน

“ท่านประมุข!”

“ผู้ใต้บังคับบัญชาคารวะท่านประมุข!”

พวกเขาตกใจเมื่อเห็นมู่เฉินก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพ

“ลุกขึ้นเถอะ” มู่เฉินยิ้มเรียบง่ายพลางโบกมือยกร่างพวกเขาขึ้น

วาบ!

ในเวลานั้นก็มีร่างแสงสองสายพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า นี่ก็คือมั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียน

“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” มั่นถัวหลัวรู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้เห็นหน้ามู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะประสานมือให้เฉวียนเทียน “ขอบคุณผู้อาวุโสเฉวียนเทียนที่คุ้มครองตำหนักมู่ในช่วงนี้”

เฉวียนเทียนยิ้มชมชอบทันที “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักมู่ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องสำนักโดยธรรมชาติ”

มู่เฉินยิ้มด้วยความประหลาดใจ เฉวียนเทียนถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจนัก ว่าแต่ทำไมตอนนี้ทัศนคติของเขาถึงเปลี่ยนไป?

เมื่อเห็นความสงสัยของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็ยิ้มเซื่อง “การกระทำที่น่าเกรงขามของท่านประมุขในเผ่าฝูถูเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพแล้ว”

ตอนที่เฉวียนเทียนได้ฟังข่าวนั้น เขาก็ตกใจกลัวมาก แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะสามารถพลิกเผ่าฝูถูได้จริงๆ และอาศัยพลังที่มีในการปราบปรามตระกูลเฉวียนและมั่วได้อยู่หมัด

แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เฉวียนเทียนกลัวมากสุดก็คือตอนนี้มารดาของมู่เฉินดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู…

ด้วยภูมิหลังดังกล่าว มีขั้วอำนาจไม่มากสักเท่าใดในมหาพันภพที่กล้าดูถูกมู่เฉินและตำหนักมู่ ดังนั้นเฉวียนเทียนจึงตระหนักได้ว่าในอนาคตตำหนักมู่ไม่ธรรมดาแน่

สายตาของมู่เฉินวูบไหว เขารู้ความคิดของเฉวียนเทียนได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ หากเขาทำให้เฉวียนเทียนเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ด้วยความเต็มใจ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตำหนักมู่มาก

ดังนั้นสายตาที่มองเฉวียนเทียนจึงอบอุ่นขึ้นมาก จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับมั่นถัวหลัว “ตำหนักมู่ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่จักรวรรดิเหนือทั้งหมด ซ้ำยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วทวีปเทียนหลัว พวกเขามีความขัดแย้งกับจอมยุทธ์หลายฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น

“ตอนแรกก็วุ่นวายอยู่ แต่หลังจากข่าวความสำเร็จของเจ้าในเผ่าฝูถูกระจายออกไป ทวีปเทียนหลัวก็เงียบเสียงลงไปเลย แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดที่อยู่เบื้องหลังก็ยังส่งสัญญาณถอย…” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ นางคาดไว้ว่าตำหนักมู่อาจจะเผชิญกับสงครามดุเดือด แต่ไม่คิดว่าความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถูจะปราบปรามทุกสิ่งได้

มู่เฉินถอนหายใจเช่นกัน เนื่องจากเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้กลัวเขา แต่กลัวมารดาของเขา

เขาประเมินการข่มขู่ของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่ำไปหน่อย

แต่นั่นเป็นข่าวดี หากขั้วอำนาจเหล่านั้นแสดงสัญญาณว่าจะถอยออกไป ตำหนักมู่จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัวโดยไม่มีปัญหาในอนาคต การใช้ประโยชน์จากมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะเข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำมหาพันภพ

แต่แน่นอนว่า…มู่เฉินจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็ไม่มีความหวังสำหรับมู่เฉินที่จะได้เห็นสิ่งนี้

“จิ่วโยวเจอปัญหาอะไร?”

มู่เฉินสงบใจลงก็ถามด้วยสายตาเย็นชา

“ให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อเล่าให้ฟังเถอะ ข้าแจ้งให้เขามาแล้ว” มั่นถัวหลัวตอบ

เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบ ร่างแสงก็ทะยานเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นี่คือผู้อาวุโสเทียนเช่อที่เคยมารับจิ่วโยวในตอนนั้น

“เทียนเช่อจากเผ่าวิหคโลกันตร์ คารวะประมุขมู่”

เทียนเช่อเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจขณะมองชายหนุ่มตรงหน้ามั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ยังเป็นอาณาจักรกงเวทสวรรค์ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น

ตอนนั้นเขามีทัศนคติค้ำคอมองอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างดูถูก เพราะถึงยังไงเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีรากฐานหยั่งลึกมากจนอาณาเขตกงเวทสวรรค์เทียบไม่ได้

ในเวลานั้นเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในไม่กี่ปีอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเปลี่ยนเป็นตำหนักมู่เข้าปกครองในภูมิภาคทางเหนือ มากจนแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวยังไม่กล้าที่จะแข่งขันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนก็ได้ก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้…

ครั้งก่อนที่เขาเจอมู่เฉินก็มองอีกฝ่ายเป็นคนรุ่นหลังเท่านั้น ทว่าตอนนี้ต้องทักทายด้วยความเคารพแล้ว…

“ผู้อาวุโสเทียนเช่อไม่ต้องมากมารยาท” มู่เฉินฉายความอบอุ่นบนใบหน้าโดยปราศจากความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนพลางประสานมือให้เช่นกัน

เมื่อเห็นมู่เฉินยังคงอบอุ่นเหมือนในอดีต เทียนเช่อก็รู้สึกโล่งใจ เขารู้ดีว่าพวกอัจฉริยะอย่างมู่เฉินมักจะหยิ่งผยองและเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากกับชายหนุ่มไว้ไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินไม่ได้เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจ

“สายตาของจิ่วโยวดีกว่าตาแก่อย่างพวกข้าจริงๆ” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น ถ้าพวกเขารู้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ จะไปคัดค้านพันธะโลหิตของทั้งคู่อีกซะที่ไหน

“ท่านเทียนเช่อพูดเรื่องจิ่วโยวกันเถอะ” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ท่าทางขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของเทียนเช่อ “ได้โปรดช่วยจิ่วโยวและเผ่าวิหคโลกันตร์ด้วย!”

ความอบอุ่นบนใบหน้าของมู่เฉินหดกลับ สายตาก็เย็นชาตาม “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนางเด็ดขาด”

“เรื่องเป็นแบบนี้ ตอนที่จิ่วโยวกลับไปที่เผ่าครั้งล่าสุด นางเอาแต่รบเร้าท่านประมุขเพื่อค้นหาโอกาสในการวิวัฒนาการ นางบอกว่าตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป จึงต้องการวิวัฒนาการเพื่อปลุกสายเลือดวิหคอมตะและเข้าสู่การเป็นมหาเทพอสูร” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น

มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขารู้ว่าสาเหตุที่จิ่วโยวทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วโดยที่นางถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้อีก ดังนั้นนางจึงกลับไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อค้นหาหนทางวิวัฒนาการ

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกซับซ้อน จิ่วโยวทำทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ

“ส่วนท่านประมุขก็ถูกรบเร้าจนไม่มีทางเลือก จึงพานางเธอไปที่เผ่าหงส์ฟ้า ที่นั่นมีสถานที่หนึ่งชื่อว่าสระยกเทพที่บรรพบุรุษของสัตว์อสูรกลางเวหาทุกตัวละสังขารไว้โดยรวมเอาแก่นโลหิตไว้ภายใน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ก่อนหน้านั้นหนึ่งในบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ได้ละสังขารไว้ ดังนั้นเผ่าของเราก็มีที่นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากการถกกันเราก็ตัดสินใจที่จะให้จิ่วโยว”

ยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของเทียนเช่อก็ขมขื่นมากขึ้น “นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าบุตรชายประมุขตระกูลหวงจะฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งนี่เป็นวิทยายุทธขั้นสุดยอดที่ผู้ฝึกต้องกลืนกินสายเลือดของมหาเทพอสูรในแต่ละช่วงนิพพาน ปัจจุบันเขาอยู่นิพพานที่แปด ดังนั้นจึงหมายตาสายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยว”

“วิชาเก้าเทพหมุนวน?” มู่เฉินหดดวงตา นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน ไม่คิดว่าบุตรชายของจักรพรรดิตระกูลหวงจะสามารถฝึกฝนได้

“ต้องรู้ว่าจิ่วโยวคือความหวังของเผ่าวิหคโลกันตร์ ถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะไป นางจะไม่สามารถมีพัฒนาการใดได้อีกในอนาคต นั่นหมายความว่าทุกอย่างในอนาคตของนางจะพังพินาศ!” เทียนเช่อกัดฟัน

“ประมุขหวงบอกว่าถ้าเราไม่เต็มใจ หวงเฉวียนจือก็จะเคลื่อนไหวเองในสระยกเทพ ถึงเวลานั้นชีวิตของจิ่วโยวก็อาจตกอยู่ในอันตรายด้วย!”

“แม้ว่าตามกฎเราจะสามารถหาองครักษ์เข้าไปในสระยกเทพได้หนึ่งคน แต่เผ่าวิหคโลกันตร์มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเพียงคนเดียว เราไม่สามารถปกป้องจิ่วโยวได้

“ช่วงนี้ทางเผ่าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเชิญจอมยุทธ์ทรงอำนาจที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอดีต แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธเพราะกลัวเผ่าหงส์ฟ้า!”

“เราไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ จึง…จึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากประมุขมู่ โปรดช่วยจิ่วโยวด้วยเถอะ”

พูดถึงตอนท้าย ใบหน้าของเทียนเช่อก็เต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่คิดจะคุกเข่า

ทว่าพลังยิ่งใหญ่ทำให้เขาหยุดการกระทำลง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก็รู้สึกกังวลในใจ เพราะไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเห็นด้วยหรือไม่ แม้ว่าเขาและจิ่วโยวจะมีพันธะโลหิตต่อกัน แต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาไม่กล้ารุกราน

ภายใต้การจ้องมองของเขา สีหน้าเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์

“จะเคลื่อนไหวเองเชียวเหรอ?”

มู่เฉินหันไปมองเทียนเช่อ น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านจากแรงอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ

“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ พาข้าไปเถอะ ข้าอยากเห็นว่าหวงเฉวียนจือมีความสามารถอะไรที่จะมารับสายเลือดจิ่วโยวไป…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท