หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1463 วิชาเก้าเทพหมุนวน

บทที่ 1463 วิชาเก้าเทพหมุนวน

ขณะที่ยืนอยู่บนหงส์ฟ้าทองคำ

วงแสงก็เริ่มปรากฏที่ด้านหลังหวงเฉวียนจือ มีวงแสงทั้งหมดแปดวงแต่ละวงมีความผันผวนลึกลับและเก่าแก่

ยามนี้หวงเฉวียนจือ ดูราวกับเทพภายใต้วงแสงสีทองที่ศักดิ์สิทธิ์และสง่างาม

แรงกดดันไม่อาจอธิบายได้แผ่ออกมา กระทั่งบริเวณใกล้เคียงก็เริ่มสั่นสะเทือนเล็กน้อย

เมื่อพวกข่งหลิงเอ๋อเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว

“นี่คือวิทยายุทธขั้นเทพในตำนานของเผ่าหงส์ฟ้า—วิชาเก้าเทพหมุนวน!” ข่งหลิงเอ๋อดูดอากาศเข้าในปากขณะที่เค้นคำพูดเหล่านั้นออกมาพร้อมกับความกลัวบนใบหน้า

วิชาเก้าเทพหมุนวนมีชื่อเสียงกระทั่งในมหาพันภพ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสิบหกกระบวนท่าของวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนาน

มันอยู่ในอันดับเดียวกับวิชาสามพิสุทธิ์และเจดีย์แปดองค์ของมู่เฉิน

ว่ากันว่าเมื่อวิชาเก้าเทพหมุนวนไปถึงนิพพานที่เก้า ผู้ฝึกฝนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ดังนั้นสามารถบอกได้ว่าวิชานี้น่ากลัวเพียงใด แต่วิทยายุทธระดับเสินทงนี้มีเงื่อนไขในการฝึกฝนที่เข้มงวดมาก ดังนั้นในเผ่าหงส์ฟ้าจึงมีจอมยุทธ์ไม่ถึงสามคนที่สามารถฝึกฝนได้ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นทุกคนบอกได้เลยวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานทรงพลังเพียงใด

ภายใต้สายตาหวาดกลัวของทุกคน หวงเฉวียนจือก็มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชาพร้อมกับไอสังหารวูบไหวในดวงตา เนื่องจากเขาไม่คิดว่าการดวลกับมู่เฉินจะไม่เป็นตามคาดขนาดนี้

เขาคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย ที่ไหนได้กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด มากจนกระทั่งเขาถูกบังคับให้นำไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา…

นี่ทำให้เขารู้สึกอับอายมาก

แค่เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง เขาถึงกับต้องงัดไพ่ตายทั้งหมดออกมา แบบนี้ไม่ได้หมายความว่าถ้ามู่เฉินอยู่ในระดับเดียวกับเขาจะทรงพลังมากกว่าเหรอ?

ด้วยความภาคภูมิใจที่มี นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้

“ในเมื่อแกโดดเด่นนัก…งั้นข้าก็จะทำลายให้สิ้นซาก”

ใบหน้าของหวงเฉวียนจือถมึงทึง เขาค่อยๆ กางมืออกพร้อมกับเสียงเยือกเย็นสะท้อนออกมา “วิชาเก้าเทพหมุนวน นิพพานที่หนึ่ง ตราประทับทองคำวิญญาณ!”

วงแสงที่อยู่ด้านหลังเปล่งประกายออกมาก่อนที่ลำแสงสีทองจะยิงออกไป ก่อตัวเป็นตราประทับทองคำขนาดพันจั้ง

ตราประทับดูโบราณมากราวกับว่าประสบกับสงครามผันผวนครั้งใหญ่ที่ทำให้มิติสั่นสะเทือน

พลังที่อยู่เบื้องหลังตราประทับนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าปีกหงส์สุริยันจันทราที่ใช้มาก่อนหน้าเลย

“ไป!”

เสียงเยือกเย็นของหวงเฉวียนจือดังก้อง ตราประทับก็ปรากฏขึ้นเหนือร่างมู่เฉิน กำจายไปด้วยพลังทำลายล้างราวกับว่าสามารถทำลายสรรพสิ่งทั้งหมดได้

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตากะพริบวาบ ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ส่งเสียงคำรามลึก รหัสเทพอมตะหลายร้อยรวมตัวกันเป็นหมัดขนาดใหญ่ปะทะกับตราประทับ

ครืน!

ทั่วมหรรณพสั่นสะท้านเลื่อนลั่นจากการปะทะกัน ก่อนที่ตราประทับสีทองจะถูกส่งออกไปและกำปั้นสีม่วงทองก็สลายไปเช่นกัน

ใบหน้าหวงเฉวียนจือไม่มีระลอกคลื่น เขาสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว เสียงเยือกเย็นดังก้องอีกครั้ง “นิพพานที่สอง กระบี่หงส์ฟ้าผลาญ!”

“นิพพานที่สาม ปีกเทวะหงส์ฟ้า!”

“…”

“นิพพานที่เจ็ด ศิลาโลหิตวิญญาณหงส์ฟ้า!”

ทุกครั้งที่สิ้นเสียงของเขา วงแสงที่อยู่ข้างหลังก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมี ขณะที่แสงสีทองควบแน่นเป็นทักษะเทพที่น่าสะพรึง

นอกเหนือจากพลังอำนาจของทักษะเทพแล้ว พวกมันก็ดูราวกับอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมแท้จริง

“เขานำกระบวนท่าทั้งเจ็ดออกมาใช้ในคราวเดียว!” ทุกคนที่อยู่นอกสระยกเทพมีสีหน้าเปลี่ยนไป กระบวนท่าทั้งเจ็ดนี้ล้วนทรงพลังมาก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องใช้พลังมหาศาล จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนธรรมดาสามารถปลดปล่อยได้เพียงสามกระบวนท่าในครั้งเดียวเท่านั้น แต่หวงเฉวียนจือทำได้ถึงเจ็ดกระบวนท่า!

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความลึกซึ้งของวิชาเก้าเทพหมุนวน

กระบวนท่าทั้งเจ็ดลอยอยู่เบื้องหน้าหวงเฉวียนจือ พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาทำให้มิติพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีที่ดุร้ายนี้…

“ลองชิมอีกครั้งสิ!”

หวงเฉวียนจือโบกมือพร้อมกับเค้นเสียง กระบวนท่าที่น่ากลัวทั้งเจ็ดก็ทะยานออกไป

นอกสระยกเทพทุกคนรู้สึกประหม่ากับฉากนี้ แม้ว่ามู่เฉินจะมีร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แต่การรับการโจมตีรวมกันทั้งเจ็ดกระบวนท่าย่อมส่งผลให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

แม้แต่เทียนฮวงก็ยังกำหมัดแน่น ขณะที่สายตาจ้องไปที่กระจกโดยไม่กะพริบ

ภายใต้สายตาทุกคู่ มู่เฉินก็เงยหน้ามองการโจมตีเจ็ดกระบวนท่าที่พุ่งมาที่เขา อำนาจการโจมตีเหล่านั้นทำให้เขาต้องหดตาลง

ทว่าท่าทางของเขายังคงสงบ

“ปริมาณมาก ก็ใช่ว่าจะชนะ” มู่เฉินยิ้มบางสร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว แสงพลุ่งพล่านยุ่งเหยิงก็พวยพุ่งขึ้นด้านหลัง

“ทักษะหลิงไม่เสินทง แสงพุทธมหานวดารา!”

การระเบิดดาวฤกษ์มวลมากยิงไปที่กระบวนท่าทั้งเจ็ด

วาบ!

ในเส้นทางของลำแสงกระบวนท่าหนึ่งก็หายไป ทว่ามู่เฉินก็ไม่มีสีหน้าใด ขณะที่วาดกระบวนท่าต่อ เพียงสิบลมหายใจสั้นๆ กระบวนท่าทั้งเจ็ดก็ถูกลบล้างออกไปภายใต้ดวงตานับไม่ถ้วนที่เบิกกว้าง…

“เป็นไปได้ยังไง?!”

“นั่น… เขาใช้ทักษะเทพอะไร?!”

ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการโจมตีของหวงเฉวียนจือ แต่มู่เฉินกลับจัดการได้อย่างง่ายดายเลยรึ?

รังสีมหานวดารานั่นคือทักษะเทพอะไรกัน?

ทว่าขณะที่ทุกคนตกตะลึง หวงเฉวียนจือก็หดดวงตามองไปที่แสงพลุ่งพล่านยุ่งเหยิงที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินพูดเบาๆ ว่า “นี่คงเป็นทักษะหลิงไม่เสินทงเก้าชีพจรที่เจ้าแสดงในเผ่าฝูถูสินะ?”

เห็นได้ชัดว่าหวงเฉวียนจือมีข้อมูลเกี่ยวกับมู่เฉินไม่น้อย

“ทักษะหลิงไม่เสินทงเก้าชีพจรของเจ้าเกินจินตนาการข้าอย่างแท้จริง กระทั่งข้ายังรู้สึกลำบาก แต่น่าเสียดายที่คลื่นหลิงของเจ้าคงจะอ่อนกำลังลงไปมากหลังจากที่ใช้ทักษะนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวงเฉวียนจือ แววอัศจรรย์ใจก็วาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉิน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะตรวจตราข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนจริงๆ”

แม้ว่าหวงเฉวียนจือจะมั่นใจในตัวเองมาก แต่ก็เป็นคนระมัดระวังตัวสูง มิฉะนั้นเขาจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมู่เฉินมากนัก แม้แต่ความสามารถในการต่อสู้ด้วยก็ตาม

แท้จริงแล้วแสงพุทธมหานวดาราแปลกประหลาดอย่างที่หวงเฉวียนจือกล่าวไว้ แสงนี้สามารถปัดเป่าการโจมตีใดๆ ได้ แต่การใช้งานทุกครั้งจะต้องใช้คลื่นหลิงจำนวนมาก ยิ่งเป็นเป้าหมายที่แข็งแกร่งก็ยิ่งเสียแรงมากเท่านั้น

หลังจากยิงออกไปเจ็ดครั้ง แม้แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกว่าคลื่นหลิงหมดลงไปไม่น้อย

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะตั้งใจให้ข้าใช้ทักษะนี้” มู่เฉินกล่าว

หวงเฉวียนจือยิ้มพลางประสานมือเข้าด้วยกัน วงแสงที่แปดด้านหลังศีรษะเปล่งประกาย แสงสีทองพุ่งออกมาก่อนที่จะรวบรวมไว้ในฝ่ามือเขา

เมื่อแสงสีทองสลายไปก็ก่อตัวเป็นพัดขนนกสีทองคำที่มีเปลวไฟสีทองวูบไหว บางครั้งก็พวยพุ่งเป็นเกลียวไฟรูปหงส์ฟ้าแท้จริง

“นิพพานที่แปด พัดเพลิงหงส์ฟ้าแท้จริง”

หวงเฉวียนจือค่อยๆ โบกพัดทองคำด้วยน้ำเสียงไม่แยแสก่อนที่อุณหภูมิในผืนน้ำจะเดือดและระเหยไป

“ครั้งหนึ่งข้าเคยสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางและเขาก็ถูกไฟคลอกตายภายใต้พัดเพลิงของข้า” หวงเฉวียนจือมองไปที่มู่เฉินอย่างเฉยเมยพูดต่อว่า “และตอนนี้มันก็จะให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันกับเจ้า”

“งั้นข้าจะรอดูแล้วกัน” มู่เฉินกล่าวขณะที่จ้องมองไปที่พัดทองคำ

ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันด้วยสีหน้าสงบ แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นในบรรยากาศ

“หนีเร็ว!”

ข่งหลิงเอ๋อดึงหลินชางและเซียวเทียนถอยออกไปอย่างเร็วรี่ ทุกคนบอกได้ว่าการต่อสู้กำลังมาถึงจุดสุดยอด ทักษะที่ทั้งสองใช้ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น

สายตาของหวงเฉวียนจือจ้องเขม็งไปที่มู่เฉิน ไม่ได้สนใจผู้อื่น เขาค่อยๆ ยกพัดในมือขึ้นโดยไร้อารมณ์ใดๆ

จากนั้นก็พัดลงฉับพลัน

ฟู่ ฟู่!

เมื่อพัดสะบัดลง เพลิงสีทองก็พุ่งออกมาทำให้มิติบิดเบี้ยวและพังทลาย ราวกับว่าอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวสามารถเผาผลาญอะไรก็ได้ แม้แต่อุณหภูมิของสระยกเทพก็พุ่งสูงขึ้น

พัดครั้งเดียวก็เดือดกลางมหาสมุทร

เพลิงสีทองพวยพุ่งออกมาอย่างหนาแน่น ห่อหุ้มมู่เฉินและร่างเทพสุริยะนิรันดร์จากทุกทิศทาง

เพลิงนี้สามารถเปลี่ยนร่างจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้เลยทีเดียว

เมื่อทุกคนเห็นไฟโหมใส่ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกโล่งอกในใจ

“มู่เฉินแพ้แน่แล้ว”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท