หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1473 หนึ่งต่อห้า

บทที่ 1473 หนึ่งต่อห้า

เหล่านักรบยืนจังก้าข้างหลังมู่เฉิน

พวกเขาดูราวกับรูปปั้นเนื่องจากไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทว่ามีความปั่นป่วนที่น่ากลัวเดือดพล่านเหนือพวกเขา

ทุกคนตกตะลึงกับการปรากฏตัวของกองทัพนี้อย่างกะทันหัน แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั่วไปเสียอีก

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่กองทัพธรรมดา

เผชิญหน้ากับกองทัพนี้ แม้แต่ประมุขทั้งห้ายังต้องหดดวงตาเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคาม

“มิน่าไอ้เด็กเหลือขอนี่ถึงได้มั่นใจมาก เพราะมีไพ่เด็ดแบบนี้นี่เอง”

ทว่าประมุขทั้งห้าก็ไม่กลัว ไม่ว่ามู่เฉินจะมีวิธีการมากแค่ไหน พวกเขาเป็นห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้แต่หวงเฉวียนจือก็ต้องหลีกเลี่ยงพวกเขา

พวกเขาไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางได้

“ประมุขมู่น่าเกรงขามจริงๆ แต่พวกข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีก่อน อย่าทำลายอนาคตของตัวเองเลย” กุ่ยตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงคุกคามอย่างชัดเจน

มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขามองไปที่ด้านหน้าสุดของนักรบมังกรดำ ซึ่งมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือแม่ทัพเจียงหลง

“ไม่คิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้จอมพลมู่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้” เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน เจียงหลงก็ประสานมือ

เทียบกับในอดีตน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพมากขึ้น พลังของมู่เฉินที่พบเจอกันในตอนนั้นอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ตอนนี้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว

ในแง่มุมหนึ่งมู่เฉินเทียบได้กับเจ้านายคนก่อนของพวกเขาแล้ว

มู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเจียงหลงเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ หลังจากหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ถึงเวลาที่โลกจะได้ยินชื่อของกองทัพมังกรดำอีกครั้ง”

ในอดีตเขาไม่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของกองทัพมังกรดำออกมาได้ แต่หลังจากมาถึงระดับเทียนจื้อจุนเขาก็รู้สึกมั่นใจว่าสามารถนำพลังเต็มรูปแบบของกองทัพมังกรดำออกมาได้แล้ว

พอได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ไม่ใช่แค่เจียงหลงที่มีริ้วอารมณ์วูบวาบในดวงตา แม้แต่เหล่านักรบมังกรดำก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ในตอนนั้นพวกเขาได้สังหารปีศาจภายใต้คำสั่งของเจ้านายคนก่อน เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมปีศาจจำนวนเท่าใดที่ตายด้วยมือของพวกเขา

แต่เมื่อพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นครั้งแรก มู่เฉินสามารถใช้พลังกองทัพมังกรดำได้กระจ้อยร่อยเนื่องจากขุมพลังที่ยังอ่อนแอ พวกเขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย แต่โชคดีที่ในที่สุดมู่เฉินก็มาถึงระดับที่สามารถสั่งการกองทัพทั้งหมดได้แล้ว

“ปล่อยรัศมีจั้นยี่!”

เจียงหลงคำราม เหล่านักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนก็คำรามตอบ รัศมีจั้นยี่อันดุเดือดแผ่กระจายออกไปทั่วขอบฟ้ากลายเป็นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเหนือกองทัพ

มหาสมุทรนี้ทำให้มิติสั่นสะเทือนจากลอนคลื่นเลยทีเดียว

ซ่า ซ่า

ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ จากนั้นก็กระจายคลื่นจิตออกไป เขาได้ยินเสียงสาดกระเซ็นมาจากมหาสมุทร

นี่เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ได้รับการขัดเกลาสูงมากจนน่ากลัว

เมื่อประมุขทั้งห้ามองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากท่าทางนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินยืนยันที่จะต่อสู้กับพวกเขา

“ไอ้เด็กหยิ่งผยอง งั้นก็ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเขาเถอะ!” จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา

อีกสี่คนก็พยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวห้าสายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อตัวเป็นเสาแสงเจิดจ้าห้าเสาฉีกผ่านมิติพุ่งไปยังมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่

พวกเขามีประสบการณ์และรู้ดีว่าตราบใดที่สามารถทำลายมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ได้ กองทัพนี้ก็จะล่มสลาย

การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าในเวลาเดียวกันน่าทึ่งมาก ทำให้หนังหัวคนดูเย็นวาบไปหมด หากการโจมตีนี้ซัดเข้าในเมือง อาจทำให้ทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองการโจมตีทั้งห้าอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกแล้วสะบัด

ตู้ม!

มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตม้วนตัวด้วยคลื่นรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นแสงมากมายพุ่งทะยานออกไปด้านนอก

ลำแสงแต่ละสายก่อจากของเหลวรัศมีจั้นยี่ ถ้ามองให้ละเอียดจะเห็นภาพมังกรตัวเล็กอยู่ภายในทุกเส้นสาย

ฮา

ลำแสงทะยานออกไปเข้าปะทะกับการโจมตีทั้งห้า พริบตาลำแสงจำนวนมากก็แตกออก ทว่าก็ยังยิงออกไปไม่มีที่สิ้นสุด

ภายใต้พายุแสง เสาทั้งห้าก็ค่อยๆ อ่อนแอลงก่อนที่จะพังทลาย

มองพายุตระการตาบนท้องฟ้า ทุกคนก็ตกใจ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือมู่เฉินสามารถทนต่อการโจมตีจากประมุขทั้งห้าได้จริงๆ

แม้ว่าจะเป็นการหยั่งเชิง แต่มู่เฉินก็ตอบโต้ได้อย่างสบาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคนเลย

“ประมุขมู่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง มิน่าเขาถึงมีชื่อเสียงในมหาพันภพได้…” ผู้คนนับไม่ถ้วนถอนหายใจ ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมาย หากเขาได้รับเวลามากกว่านี้ เขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลังจากที่เขาไปถึงขั้นเซียนแล้ว

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกกุ่ยตี้ถึงกลัวเขามากและต้องการกำจัดให้สิ้นซาก เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหากพลาดโอกาสนี้ก็จะไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหวอีกครั้ง

ทั้งห้าเผยสายตามืดมน อึดใจถัดมาก็ไม่ได้พูดให้เสียเวลา แสงหลิงรวมตัวขึ้นที่เบื้องหลัง ร่างมหึมาทั้งห้าก็ปรากฏขึ้น

พวกเขาเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว

จากกระบวนท่าเมื่อครู่พวกเขารู้แล้วว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด ซึ่งไม่สามารถชนะได้โดยอาศัยวิธีธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมาทันที

ร่างใหญ่โตทั้งห้ายืนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก พวกเขาปล่อยพายุที่น่ากลัวพร้อมกับแรงกดดัน

เมื่อมองไปที่ทั้งห้า มู่เฉินก็หรี่ตาพลางวาดตราประทับเร็วรี่ ไม่นานเสียงคำรามรุนแรงก็ดังขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่

ทุกคนมองเห็นมังกรขนาดมหึมากำลังบินฉวัดเฉวียนออกมาจากมหาสมุทร

นี่เป็นมังกรขนาดใหญ่ที่มีประกายแวววาวบนเกล็ด เกล็ดทุกชิ้นถูกสลักด้วยลวดลายจั้นเหวิน เมื่อปรากฏขึ้นก็กวาดความผันผวนรุนแรงออกไป

วิญญาณสงคราม!

ทว่าวิญญาณสงครามนี้ได้รับการขัดเกลามากกว่าในอดีตราวกับว่ามีชีวิต

เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนของมังกร มู่เฉินก็ดูพอใจ กองทัพมังกรดำในจุดสูงสุดสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดได้เลยทีเดียวและอยู่ยงคงกระพันภายใต้อาณาจักรขั้นเซิ่งเท่านั้น

กองทัพมังกรดำมีนักรบจำนวนถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เขาเรียกมาหมื่นคน วิญญาณสงครามที่กลั่นออกมาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุด

ตู้ม!

เมื่อมังกรขนาดใหญ่ก่อร่างขึ้น ประมุขทั้งห้าก็ซัดการโจมตีโดยไม่ลังเล ร่างเวทสวรรค์เหวี่ยงหมัดกระชากผ่านมิติพุ่งเข้าหามังกรยักษ์

แม้ว่าหมัดจะดูเรียบง่าย แต่คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็สามารถทำลายร่างเวทสวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้

เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ท่าทางของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง รัศมีจั้นยี่มังกรคำรามกวาดหางออกไปประจัญบานกับศัตรู

ตู้ม!

มังกรกางกรงเล็บ เข้าปะทะจุดแรกกับร่างเวทสวรรค์ของตันหยาง

ตึง!

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการปะทะ มิติพังทลาย แต่ที่ทำให้หลายคนตะลึงคือร่างเวทสวรรค์ของตันหยางกระเด็นออกไป

“บ้าเอ้ย!”

ตันหยางยืนอยู่บนไหล่ของร่างเวทสวรรค์ด้วยท่าทางไม่น่าดูขณะที่ตะโกน “ลงมือพร้อมกัน!”

ร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าล้อมวิญญาณสงครามและปลดปล่อยการโจมตีออกมา

ทว่ามังกรยักษ์ไม่มีหวาดเกรง มันกวัดแกว่งกรงเล็บตลอดเวลา นอกเหนือจากกุ่ยตี้ที่ยังพอต้านได้ ทุกคนถูกปราบเอาไว้

มังกรมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุดแล้ว นอกเหนือจากกุ่ยตี้ คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถต่อกรได้ เพราะยังไงพวกเขาก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นเท่านั้น

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้นบนท้องฟ้าสูง ห้าร่างเวทสวรรค์คล้ายกับดวงอาทิตย์ลุกโชนที่ระเบิดด้วยพายุที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

แต่ที่น่าตกใจคือวิญญาณสงครามไม่มีอาการพ่ายแพ้แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ห้าคน ในทางตรงกันข้ามมันกลับปล่อยการโจมตีที่ดุร้าย กระแทกร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง

ผู้ชมต่างเหงื่อเย็นท่วมตัว อดีตพวกเขารู้เพียงว่าประมุขมู่แข็งแกร่ง แต่หลังจากได้เห็นวิธีการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนและไม่พ่ายแพ้ ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าเขาทรงพลังเพียงใด…

ใบหน้าของกุ่ยตี้ดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่วิญญาณสงครามที่ดุร้าย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะทรงพลัง กระทั่งความเชี่ยวชาญในฐานะจั้นเจิ้นซือก็ยังน่าตื่นตะลึง

“หากยังเป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้”

ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบพร้อมกับไอหนาวเย็น จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือจานกระดูกสีเทาปรากฏขึ้นในมือ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องให้เจ้าลิ้มลองสิ่งนี้แล้ว…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท