เหล่านักรบยืนจังก้าข้างหลังมู่เฉิน
พวกเขาดูราวกับรูปปั้นเนื่องจากไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทว่ามีความปั่นป่วนที่น่ากลัวเดือดพล่านเหนือพวกเขา
ทุกคนตกตะลึงกับการปรากฏตัวของกองทัพนี้อย่างกะทันหัน แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั่วไปเสียอีก
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่กองทัพธรรมดา
เผชิญหน้ากับกองทัพนี้ แม้แต่ประมุขทั้งห้ายังต้องหดดวงตาเมื่อรู้สึกถึงภัยคุกคาม
“มิน่าไอ้เด็กเหลือขอนี่ถึงได้มั่นใจมาก เพราะมีไพ่เด็ดแบบนี้นี่เอง”
ทว่าประมุขทั้งห้าก็ไม่กลัว ไม่ว่ามู่เฉินจะมีวิธีการมากแค่ไหน พวกเขาเป็นห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน แม้แต่หวงเฉวียนจือก็ต้องหลีกเลี่ยงพวกเขา
พวกเขาไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทำอะไรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางได้
“ประมุขมู่น่าเกรงขามจริงๆ แต่พวกข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีก่อน อย่าทำลายอนาคตของตัวเองเลย” กุ่ยตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงคุกคามอย่างชัดเจน
มู่เฉินยิ้มแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขามองไปที่ด้านหน้าสุดของนักรบมังกรดำ ซึ่งมีร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ นั่นก็คือแม่ทัพเจียงหลง
“ไม่คิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้จอมพลมู่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้” เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน เจียงหลงก็ประสานมือ
เทียบกับในอดีตน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพมากขึ้น พลังของมู่เฉินที่พบเจอกันในตอนนั้นอยู่ในระดับตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แต่ตอนนี้เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนแล้ว
ในแง่มุมหนึ่งมู่เฉินเทียบได้กับเจ้านายคนก่อนของพวกเขาแล้ว
มู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพเจียงหลงเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ หลังจากหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ถึงเวลาที่โลกจะได้ยินชื่อของกองทัพมังกรดำอีกครั้ง”
ในอดีตเขาไม่สามารถดึงศักยภาพที่แท้จริงของกองทัพมังกรดำออกมาได้ แต่หลังจากมาถึงระดับเทียนจื้อจุนเขาก็รู้สึกมั่นใจว่าสามารถนำพลังเต็มรูปแบบของกองทัพมังกรดำออกมาได้แล้ว
พอได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ไม่ใช่แค่เจียงหลงที่มีริ้วอารมณ์วูบวาบในดวงตา แม้แต่เหล่านักรบมังกรดำก็ตัวสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ในตอนนั้นพวกเขาได้สังหารปีศาจภายใต้คำสั่งของเจ้านายคนก่อน เทพเซียนเท่านั้นที่รู้ว่ามีจอมปีศาจจำนวนเท่าใดที่ตายด้วยมือของพวกเขา
แต่เมื่อพวกเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นครั้งแรก มู่เฉินสามารถใช้พลังกองทัพมังกรดำได้กระจ้อยร่อยเนื่องจากขุมพลังที่ยังอ่อนแอ พวกเขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนไปเล็กน้อย แต่โชคดีที่ในที่สุดมู่เฉินก็มาถึงระดับที่สามารถสั่งการกองทัพทั้งหมดได้แล้ว
“ปล่อยรัศมีจั้นยี่!”
เจียงหลงคำราม เหล่านักรบมังกรดำหนึ่งหมื่นคนก็คำรามตอบ รัศมีจั้นยี่อันดุเดือดแผ่กระจายออกไปทั่วขอบฟ้ากลายเป็นมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตเหนือกองทัพ
มหาสมุทรนี้ทำให้มิติสั่นสะเทือนจากลอนคลื่นเลยทีเดียว
ซ่า ซ่า
ร่างของมู่เฉินปรากฏขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ จากนั้นก็กระจายคลื่นจิตออกไป เขาได้ยินเสียงสาดกระเซ็นมาจากมหาสมุทร
นี่เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่ได้รับการขัดเกลาสูงมากจนน่ากลัว
เมื่อประมุขทั้งห้ามองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ ใบหน้าของพวกเขาก็บิดเบี้ยวขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน จากท่าทางนี้ดูเหมือนว่ามู่เฉินยืนยันที่จะต่อสู้กับพวกเขา
“ไอ้เด็กหยิ่งผยอง งั้นก็ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเขาเถอะ!” จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา
อีกสี่คนก็พยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวห้าสายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อตัวเป็นเสาแสงเจิดจ้าห้าเสาฉีกผ่านมิติพุ่งไปยังมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่
พวกเขามีประสบการณ์และรู้ดีว่าตราบใดที่สามารถทำลายมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ได้ กองทัพนี้ก็จะล่มสลาย
การโจมตีของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าในเวลาเดียวกันน่าทึ่งมาก ทำให้หนังหัวคนดูเย็นวาบไปหมด หากการโจมตีนี้ซัดเข้าในเมือง อาจทำให้ทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองการโจมตีทั้งห้าอย่างไม่แยแส จากนั้นก็เหยียดนิ้วออกแล้วสะบัด
ตู้ม!
มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตม้วนตัวด้วยคลื่นรุนแรง ก่อนที่จะกลายเป็นแสงมากมายพุ่งทะยานออกไปด้านนอก
ลำแสงแต่ละสายก่อจากของเหลวรัศมีจั้นยี่ ถ้ามองให้ละเอียดจะเห็นภาพมังกรตัวเล็กอยู่ภายในทุกเส้นสาย
ฮา
ลำแสงทะยานออกไปเข้าปะทะกับการโจมตีทั้งห้า พริบตาลำแสงจำนวนมากก็แตกออก ทว่าก็ยังยิงออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
ภายใต้พายุแสง เสาทั้งห้าก็ค่อยๆ อ่อนแอลงก่อนที่จะพังทลาย
มองพายุตระการตาบนท้องฟ้า ทุกคนก็ตกใจ แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าคือมู่เฉินสามารถทนต่อการโจมตีจากประมุขทั้งห้าได้จริงๆ
แม้ว่าจะเป็นการหยั่งเชิง แต่มู่เฉินก็ตอบโต้ได้อย่างสบาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เกรงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าคนเลย
“ประมุขมู่น่าเกรงขามอย่างแท้จริง มิน่าเขาถึงมีชื่อเสียงในมหาพันภพได้…” ผู้คนนับไม่ถ้วนถอนหายใจ ความสามารถในการต่อสู้ของมู่เฉินเกินความคาดหมาย หากเขาได้รับเวลามากกว่านี้ เขาจะอยู่ยงคงกระพันภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหลังจากที่เขาไปถึงขั้นเซียนแล้ว
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกกุ่ยตี้ถึงกลัวเขามากและต้องการกำจัดให้สิ้นซาก เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหากพลาดโอกาสนี้ก็จะไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ทั้งห้าเผยสายตามืดมน อึดใจถัดมาก็ไม่ได้พูดให้เสียเวลา แสงหลิงรวมตัวขึ้นที่เบื้องหลัง ร่างมหึมาทั้งห้าก็ปรากฏขึ้น
พวกเขาเร้าร่างเวทสวรรค์ออกมาแล้ว
จากกระบวนท่าเมื่อครู่พวกเขารู้แล้วว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด ซึ่งไม่สามารถชนะได้โดยอาศัยวิธีธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกร่างเวทสวรรค์ออกมาทันที
ร่างใหญ่โตทั้งห้ายืนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก พวกเขาปล่อยพายุที่น่ากลัวพร้อมกับแรงกดดัน
เมื่อมองไปที่ทั้งห้า มู่เฉินก็หรี่ตาพลางวาดตราประทับเร็วรี่ ไม่นานเสียงคำรามรุนแรงก็ดังขึ้นจากมหาสมุทรรัศมีจั้นยี่
ทุกคนมองเห็นมังกรขนาดมหึมากำลังบินฉวัดเฉวียนออกมาจากมหาสมุทร
นี่เป็นมังกรขนาดใหญ่ที่มีประกายแวววาวบนเกล็ด เกล็ดทุกชิ้นถูกสลักด้วยลวดลายจั้นเหวิน เมื่อปรากฏขึ้นก็กวาดความผันผวนรุนแรงออกไป
วิญญาณสงคราม!
ทว่าวิญญาณสงครามนี้ได้รับการขัดเกลามากกว่าในอดีตราวกับว่ามีชีวิต
เมื่อรู้สึกถึงความผันผวนของมังกร มู่เฉินก็ดูพอใจ กองทัพมังกรดำในจุดสูงสุดสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดได้เลยทีเดียวและอยู่ยงคงกระพันภายใต้อาณาจักรขั้นเซิ่งเท่านั้น
กองทัพมังกรดำมีนักรบจำนวนถึงหนึ่งหมื่นห้าพันคน แต่เขาเรียกมาหมื่นคน วิญญาณสงครามที่กลั่นออกมาสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุด
ตู้ม!
เมื่อมังกรขนาดใหญ่ก่อร่างขึ้น ประมุขทั้งห้าก็ซัดการโจมตีโดยไม่ลังเล ร่างเวทสวรรค์เหวี่ยงหมัดกระชากผ่านมิติพุ่งเข้าหามังกรยักษ์
แม้ว่าหมัดจะดูเรียบง่าย แต่คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตก็สามารถทำลายร่างเวทสวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้
เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ ท่าทางของมู่เฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง รัศมีจั้นยี่มังกรคำรามกวาดหางออกไปประจัญบานกับศัตรู
ตู้ม!
มังกรกางกรงเล็บ เข้าปะทะจุดแรกกับร่างเวทสวรรค์ของตันหยาง
ตึง!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากการปะทะ มิติพังทลาย แต่ที่ทำให้หลายคนตะลึงคือร่างเวทสวรรค์ของตันหยางกระเด็นออกไป
“บ้าเอ้ย!”
ตันหยางยืนอยู่บนไหล่ของร่างเวทสวรรค์ด้วยท่าทางไม่น่าดูขณะที่ตะโกน “ลงมือพร้อมกัน!”
ร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าล้อมวิญญาณสงครามและปลดปล่อยการโจมตีออกมา
ทว่ามังกรยักษ์ไม่มีหวาดเกรง มันกวัดแกว่งกรงเล็บตลอดเวลา นอกเหนือจากกุ่ยตี้ที่ยังพอต้านได้ ทุกคนถูกปราบเอาไว้
มังกรมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางปลายสุดแล้ว นอกเหนือจากกุ่ยตี้ คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถต่อกรได้ เพราะยังไงพวกเขาก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นเท่านั้น
ตู้ม ตู้ม!
การต่อสู้ดุเดือดปะทุขึ้นบนท้องฟ้าสูง ห้าร่างเวทสวรรค์คล้ายกับดวงอาทิตย์ลุกโชนที่ระเบิดด้วยพายุที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง
แต่ที่น่าตกใจคือวิญญาณสงครามไม่มีอาการพ่ายแพ้แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ห้าคน ในทางตรงกันข้ามมันกลับปล่อยการโจมตีที่ดุร้าย กระแทกร่างเวทสวรรค์ทั้งห้าต่อเนื่องอย่างบ้าคลั่ง
ผู้ชมต่างเหงื่อเย็นท่วมตัว อดีตพวกเขารู้เพียงว่าประมุขมู่แข็งแกร่ง แต่หลังจากได้เห็นวิธีการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนและไม่พ่ายแพ้ ในที่สุดทุกคนก็รู้ว่าเขาทรงพลังเพียงใด…
ใบหน้าของกุ่ยตี้ดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่วิญญาณสงครามที่ดุร้าย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าไม่เพียงแต่มู่เฉินจะทรงพลัง กระทั่งความเชี่ยวชาญในฐานะจั้นเจิ้นซือก็ยังน่าตื่นตะลึง
“หากยังเป็นแบบนี้ก็ไม่สามารถกำจัดเขาได้”
ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบพร้อมกับไอหนาวเย็น จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือจานกระดูกสีเทาปรากฏขึ้นในมือ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าคงต้องให้เจ้าลิ้มลองสิ่งนี้แล้ว…”