หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1472 พันธมิตรเทียนหลัวปะทะตำหนักมู่

บทที่ 1472 พันธมิตรเทียนหลัวปะทะตำหนักมู่

เมื่อคำพูดของมู่เฉินดังก้องไปทั่วจัตุรัส

ทั้งเมืองก็เงียบกริบลง ทุกคนมองไปที่ชายหนุ่มพลางกลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนของพันธมิตรเทียนหลัว มู่เฉินก็ไม่แสดงอาการถอย ซ้ำยังตอกกลับอีกฝ่ายซะหน้าหงาย

ทันใดนั้นใบหน้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทั้งห้าก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวพร้อมกับแสงเย็นวาบในดวงตา

“อวดดี!”

ขณะที่ใบหน้าของทั้งห้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา รอบจัตุรัสก็มีเสียงตะโกนลั่น ทันใดนั้นร่างเงาสามร่างก็ปรากฏขึ้น พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามนี้เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในพันธมิตรเทียนหลัว เมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่เฉินสามหาวเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้ ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ประมุขทั้งห้าสั่งไว้ เนื่องจากพวกเขาต้องการให้ทั้งสามคนทดสอบพวกตำหนักมู่ก่อน

“ตำหนักมู่ที่ปวกเปียกกล้าสู้กับพันธมิตรเทียนหลัวรึ? ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามหัวเราะเยาะและเหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงไร้ขอบเขตสามสายทะลุผ่านมิติห่อหุ้มไปในทิศทางของพวกตำหนักมู่

เผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสาม มู่เฉินไม่แม้แต่จะหันมอง สายตาเขายังคงมองไปที่ประมุขทั้งห้าด้วยความไม่แยแส

ทว่าสายตาของจิ่วโยวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นางพรูเพลิงสีดำเผาผลาญการโจมตีที่ทรงพลังทั้งสามสายในทันที

เมื่อทั้งสามเห็นฉากนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่คิดว่าจิ่วโยวจะแก้ไขกระบวนท่าของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าจิ่วโยวไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายและคิดจะถอยหนี

แต่จิ่วโยวจะยอมให้พวกเขาล่าถอยได้อย่างไร? นางจะใช้โอกาสนี้เพื่อแสดงพลังของตำหนักมู่ให้เป็นที่ประจักษ์

ร่างกายของนางกระตุกปีกหงส์ฟ้าที่อาบด้วยเพลิงสีดำสยายออกมาจากด้านหลัง ร่างวาบหายไป

เมื่อจิ่วโยวหายตัวไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงทั้งสามก็รู้สึกไม่ดีทันที ดังนั้นพวกเขาจึงรีบหมุนเวียนคลื่นหลิง ร่างกายเปล่งประกายขึ้น พวกเขาเร้ากายาหลิงเทียนจุนออกมาทันที

วาบ!

จิ่วโยวปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับที่ด้านหลังทั้งสาม ปีกเฉือนออกมาฉีกมิติออกด้วยความคมกริบ

เสียงลมคมกริบจากเบื้องหลังทำให้จอมยุทธ์ทั้งสามเปลี่ยนสีหน้าทันที ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็พวยพุ่งกลายเป็นเกราะป้องกันหลายชั้นบนร่างกาย

แคว๊ก!

ทว่าการป้องกันทุกอย่างก็ถูกเพลิงสีดำเผาไหม้ ทุกคนเห็นเพียงริ้วสีดำเคลื่อนผ่านจากนั้นเสียงร้องโศกเศร้าสามเสียงก็ดังก้อง

ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นร่างทั้งสามดิ่งพสุธาลงมาจากท้องฟ้า พวกเขาเห็นบาดแผลที่น่ากลัวบนหน้าอกของจอมยุทธ์ทั้งสาม เลือดสดไหลอาบ เพลิงสีดำกำลังเผาไหม้อาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถฟื้นตัวได้

“ซี้ด”

ทุกคนสูดลมหายใจเย็น ขณะที่มองไปที่จิ่วโยวด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงของพันธมิตรเทียนหลัวสามคนจะพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว

หลังจากเอาชนะทั้งสาม จิ่วโยวก็ไม่หยุด ดวงตาของนางวูบไหว ร่างกลายเป็นเพลิงสีดำโดยตั้งใจที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้แบบเด็ดขาด ขณะที่พวกเขาจนหนทาง

เมื่อทั้งสามเห็นจิ่วโยวพุ่งมา พวกเขาก็หวาดผวา จากการเผชิญหน้าเมื่อครู่พวกเขารู้ว่าต่อให้รวมพลังก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ่วโยว

“แกช่างกล้า!”

แต่เมื่อจิ่วโยวปรากฏตัวเบื้องหน้าทั้งสาม เสียงตะเบ็งก็ดังก้อง

เสียงกราดเกรี้ยวสะท้อนไปมา จื่อเหลยก็หายตัวมาปรากฏเบื้องหน้าจิ่วโยวพร้อมกับหมัดที่ปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีม่วงซัดออกไป

พลังของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนไม่ใช่สิ่งที่ขั้นหลิงจะเทียบเคียงได้

สายฟ้าสีม่วงพล่านในดวงตาของจิ่วโยว ขณะที่นางจะตั้งท่าป้องกัน มู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้านาง เจดีย์เผยในดวงตาเปลี่ยนคลื่นหลิงทั้งหมดของเขาทันที

เขากำหมัดแน่น เหวี่ยงหมัดที่ห่อหุ้มด้วยถุงมืออัญมณีออกไป

ตึง!

พลังสองสายปะทะกันสายฟ้าสีม่วงพังทลายลง พริบตาหมัดของมู่เฉินก็ทะลวงมิติกระแทกเข้ากับหน้าอกของจื่อเหลย

ตู้ม!

พร้อมกับระเบิด ร่างของจื่อเหลยก็กระตุกแล้วถลาออกไปทิ้งรอยลึกสองแห่งไว้บนจัตุรัสหยก

ใบหน้าของจื่อเหลยเขียวคล้ำขณะที่ทรงตัวพลางมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน แต่ความกลัวกลับผุดขึ้นในใจ เขาสัมผัสได้ว่ามู่เฉินน่ากลัวเพียงใดจากการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าก่อนหน้านี้

การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อทุกคนได้สติก็เห็นว่าจื่อเหลยถูกหมัดของมู่เฉินซัดกลับอย่างไร ความโกลาหลก็ระเบิดออกมาในทันที

แม้ว่ามู่เฉินจะมีชื่อเสียงเลื่องลือในมหาพันภพ แต่น้อยคนที่เห็นเขาปะทะกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ดังนั้นหลังจากได้เห็นมู่เฉินเอาชนะจื่อเหลยได้ พวกเขาถึงได้รู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง

“ท่านจื่อเหลย หากเจ้าต้องการต่อสู้ก็ให้มาหาข้า รังแกผู้หญิงทำไม?” มู่เฉินถอนกำปั้นและยิ้มบางให้แก่จื่อเหลย

ทว่าจื่อเหลยไม่ได้พูดอะไรเพียงมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาดุร้าย

ตอนนี้เองความโกลาหลก็อ่อนตัวลง เนื่องจากทุกคนเห็นประมุขอีกสี่คนบนบัลลังก์ยืนขึ้น

เมื่อพวกเขายืนขึ้น ทั้งภูมิภาคก็มืดลง

กุ่ยตี้จ้องมองไปที่มู่เฉินขณะที่เสียงดังก้อง “ประมุขมู่ เรารู้ว่าเจ้าทรงพลังและไม่มีพวกเราคนใดที่จะเอาชนะได้ในการต่อสู้ตัวต่อตัว”

เสียงของกุ่ยตี้ทำให้หลายคนตกตะลึง เนื่องจากกุ่ยตี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางแล้ว เมื่อเทียบกับมู่เฉินก็ห่างอยู่หลายขุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมรับว่าไม่สามารถเอาชนะมู่เฉินได้ แล้วชายหนุ่มคนนี้มีพลังแค่ไหนกัน?

ทว่ามู่เฉินก็ยังคงมีสีหน้าสงบโดยไม่แสดงความพึงพอใจจากคำสรรเสริญของกุ่ยตี้

“วัตถุประสงค์ของเราชัดเจนที่เชิญเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ พันธมิตรเทียนหลัวต้องการที่จะปกครองทวีป เทียนหลัวทั้งหมด หากเจ้าสามารถตกลงพวกข้าจะชดเชยให้”

“แต่ถ้าเจ้ายืนกรานที่จะสู้เพื่อชิงทวีปเทียนหลัว…”

ขณะที่พูดคำนี้แสงดุร้ายก็กะพริบในดวงตาของกุ่ยตี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าทำให้อุณหภูมิโดยรอบลดลง “พวกข้าทั้งห้าคนก็ขอท้าประลองกับเจ้า”

ยามนี้พันธมิตรเทียนหลัวเปิดเผยความทะเยอทะยานออกมาแล้ว

ผู้คนรอบลานต่างแสดงออกอย่างเคร่งเครียด ประมุขทั้งห้าตั้งใจรวมกลุ่มจัดการมู่เฉิน เห็นได้ว่าพวกเขากลัวมู่เฉินแค่ไหน

“ดูเหมือนว่าพันธมิตรเทียนหลัวจะไม่เอาหน้าเอาตากันแล้ว” จิ่วโยวที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนรุมโจมตีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ถ้าข่าวนี้กระจายออกไปไม่ใช่เรื่องดีเลย

แต่กุ่ยตี้กลับยิ้ม “ผู้ชนะคือกฎ ข้าไม่สนวิธีการหรอก”

ม่านตาสีเทาของเขามองไปที่มู่เฉินก็ยิ้มกว้างขึ้น “นอกจากนี้เพราะให้ความสำคัญต่อประมุขมู่ พวกข้าถึงทำเช่นนี้ หากเรื่องนี้กระจายออกไปชื่อเสียงของประมุขมู่คงจะพุ่งทะยานอีกครั้ง”

เมื่อจิ่วโยวได้ยินแววตาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “หน้าด้าน!”

มู่เฉินโบกมือขัดจังหวะจิ่วโยวพลางยิ้มให้กุ่ยตี้ “งั้นข้าต้องขอขอบคุณทั้งห้าคนที่เมตตา”

จื่อเหลยกล่าวอย่างเย็นชา “แกต้องผ่านวันนี้ให้ได้ก่อนถึงจะพูดแบบนั้นได้”

มู่เฉินกล่าว “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าห้าคนมั่นใจที่จะจัดการกับข้ามากนะ?”

ดวงตาของกุ่ยตี้กะพริบขณะที่พูด “เจ้ารู้สึกอย่างอื่นได้ไหมล่ะ?”

พูดจบคลื่นหลิงสีเทาก็พุ่งออกมาจากร่างกายเปลี่ยนเป็นกายาหลิงเทียนจุน ดวงตาของเขาสั่นไหวพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิงที่น่ากลัวปกคลุมไปทั้งเมือง

ในเวลาเดียวกันอีกสี่คนก็ทำเช่นเดียวกัน เวลานี้แรงกดดันทรงพัลงโอบล้อมไปที่มู่เฉิน

ห้าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน นี่เป็นฉากที่ทำให้ทั้งฟ้าดินตื่นตะลึงเลยทีเดียว

ทุกคนโดยรอบจัตุรัสมีสีหน้าเปลี่ยนไป เผชิญหน้ากับห้าจอมยุทธ์ระดับนี้แม้แต่มู่เฉินที่น่ากลัวก็ยังรู้สึกกดดันใช่ไหม?

ภายใต้สายตาของทุกคน รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่เฉินค่อยๆ หุบลง ความหนาวเย็นเสียดกระดูกเข้ามาแทนที่

“ในเมื่อพวกเจ้าชอบเอาจำนวนคนมาเบ่ง งั้นข้าจะแสดงให้รู้ซึ้งถึงความหมายแท้จริงของการเบ่งด้วยจำนวน…” เสียงเยือกเย็นของมู่เฉินดังก้องไปทั่วจัตุรัส

เมื่อประมุขทั้งห้าได้ยิน พวกเขาก็ขมวดคิ้วทันที ขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจตีกวนขึ้นมา

แต่ขณะที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ มู่เฉินก็ยื่นมือออกมาปัดนิ้วไปบนแหวน อึดใจรัศมีสีดำไร้ขอบเขตก็กวาดออก

ทันใดนั้นทั้งภูมิภาคถูกปิดล้อมด้วยความเงียบ ทุกคนมองไปที่จัตุรัสด้วยความตกใจหวาดผวา กองทัพสวมชุดเกราะสีดำปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่เฉิน

เมื่อกองทัพนี้ปรากฏขึ้นก็ปลดปล่อยรัศมีจั้นยี่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้สวรรค์และโลกแปรปรวน ภูมิภาคสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท