ภายในโถง
คลื่นหลิงครางกระหึ่มดังกึกก้องทั่วชั้นบรรยากาศ
ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างกายของมู่เฉิน ทำให้แม้แต่ใบหน้าของเฉวียนเทียนยังเปลี่ยนไป มู่เฉินน่ากลัวกว่าอดีตมาก ถ้าเขาสู้กับมู่เฉินตอนนี้ละก็ เขาอาจรับได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลงพลางเอ่ยเสียงเบา “ทำไมไอ้พวกพันธมิตรเทียนหลัวถึงเลือกท้าทายเจ้าในตอนนี้? ทั้งที่พวกเขากลัวเจ้าในอดีต”
มู่เฉินหรี่ตาลง เรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ ถึงยังไงมารดาของเขาก็เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเอาชื่อมารดามาเบ่ง แต่ชัดว่าประมุขทั้งห้าก็ยังหวาดกลัว
ทว่าตอนนี้พวกเขาคิดจะจัดการกับเขา พวกเขาไม่กลัวมารดาเขาแล้วหรือ?
“ตรวจสอบเรื่องนี้ ข้าต้องรู้ถึงเป้าหมายของพันธมิตรเทียนหลัว” มู่เฉินเคาะโต๊ะเบาๆ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้เป็นคนบุ่มบ่าม เราต้องรู้จักศัตรูเท่ากับรู้จักตัวเองเพื่อความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบา ๆ
การสอบสวนได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
วันถัดมาก็มีข้อมูลจำนวนมากมากองเบื้องหน้ามู่เฉิน เขาอ่านอย่างละเอียดไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่จะถอนสายตาไม่แยแสกลับ
“ก็ว่าทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงกล้าหาญชาญชัย ที่แท้มีกองหนุนนี่เอง” มู่เฉินกล่าว
“ใคร?” จิ่วโยวถาม
“ตามรายงานมีคนจากเผ่าหมัวเฮอเข้าพบขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเมื่อเดือนก่อน” แววเยือกเย็นวาบผ่านในดวงตามู่เฉิน
“เผ่าหมัวเฮอ?” เมื่อได้ยินชื่อมั่วถัวหลัว จิ่วโยวและเฉวียนเทียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเผ่าหมัวเฮอจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
“เราไม่มีเรื่องขุ่นเคืองอะไรกับเผ่าหมัวเฮอ ทำไมพวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่เจ้า?” มั่นถัวหลัวถามด้วยความสงสัย
มู่เฉินหรี่ตายิ้ม “ชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกครึ่งปี”
เมื่อได้ยินคำนั้นใบหน้าของทั้งสามก็ดูประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำหนักมู่อย่างไร
“เผ่าหมัวเฮอถือครองร่างมหาเทพนิรัดร์และการชุมนุมนี้มีไว้เพื่อหาเจ้าของ” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็นก่อนจะพูดต่อ “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ในเผ่าหมัวเฮอเพื่อดูแล แต่พวกเขามีความทะเยอทะยานอยากถือเป็นทรัพย์สินของตนเอง ดังนั้นจะยอมให้คนนอกเอาไปได้อย่างไร”
“ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะตรวจสอบอัจฉริยะที่โดดเด่นนอกเผ่าที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์และใช้ทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม”
“ข้าเชื่อว่าเพราะชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของข้าในช่วงนี้ทำให้พวกเขาคิดจะขัดขวาง แต่เนื่องจากการดำรงอยู่ของท่านแม่ พวกมันเลยไม่กล้าโจมตีในที่แจ้ง ดังนั้นพวกมันจึงพยายามใช้พันธมิตรเทียนหลัวเพื่อขัดขวางข้า”
“ช่างน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดเสียงเย็นชา
วิธีของเผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจแท้จริง เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ให้พวกเขาเพื่อเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยและเปิดเผยการฝึกฝนสำหรับร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อต้องการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม แต่ใครจะคิดว่าเผ่าหมัวเฮอจะถือว่าเป็นสมบัติของตนเอง ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ใส่ใจในหน้าที่ผู้ดูแลเท่านั้น พวกเขายังใช้วิธีลับเพื่อขัดขวางผู้เข้าร่วมงาน
การกระทำต่างๆ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง!
ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเอ่ยเยาะเย้ย “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ครั้งหนึ่งเคยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ให้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ภายใต้การล่อลวงนี้ไม่น่าแปลกใจที่เผ่าหมัวเฮอจะหันมาใช้วิธีหมาลอบกัด”
“ตอนนี้เราควรทำอย่างไร? ข้าว่างานเลี้ยงดูท่าจะไม่ดีเลย” แม้แต่เฉวียนเทียนยังพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
แสงคมชัดวูบวาบในดวงตาของมู่เฉินขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อพันธมิตรเทียนหลัวเชิญเราไป ถ้าเราปฏิเสธ ชื่อเสียงที่สร้างขึ้นป่นปี้แน่”
ใบหน้าเขาฉายความเย็นชา ตอนแรกเขาอยากได้ช่วงเวลาสงบสุขที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วค่อยเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านั้นยอมถอย แต่ในเมื่อพวกมันใจร้อน ก็โทษอะไรไม่ได้…
“ส่งข่าวไป ตำหนักมู่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอีกสองวันข้างหน้า”
มู่เฉินหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเสียงเยือกเย็น ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะท้าทายกัน เขาก็ต้องหยิบแผนที่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวขึ้นมาเร็วกว่าเดิม…
ข่าวพันธมิตรเทียนหลัวจัดงานเลี้ยง
มีการเชิญประมุขตำหนักมู่เข้าร่วมด้วย ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว
ทุกคนบอกได้ว่าเมื่อชื่อเสียงของมู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในมหาพันภพ สถานะของตำหนักมู่ก็ได้รับแรงผลักดันเช่นกัน
เผชิญหน้ากับตำหนักมู่ที่เติบโตขึ้นทุกวัน แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดที่สนับสนุนตัวแทนของตัวเองในทวีปเทียนหลัวก็ยั้งใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงเกิดการก่อตั้งพันธมิตรเทียนหลัว ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะครอบครองสามในสี่ส่วนของดินแดนทวีปเพื่อกดดันตำหนักมู่
สิ่งนี้ทำให้ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่ต้องการเข้าร่วมตำหนักมู่ในตอนแรกระงับความคิด เนื่องจากกลัวว่าตำหนักมู่จะเสื่อมถอยโดยพันธมิตรเทียนหลัว
ดังนั้นข่าวนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะกำหนดตัวเจ้าเหนือแห่งทวีปเทียนหลัว
นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาในทวีปเทียนหลัว เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าทวีปเทียนหลัวจะปรากฏผู้ปกครองเหนือหัวอย่างแท้จริงแล้ว
ทว่าใครจะเป็นเจ้าเหนือหัวระหว่างพันธมิตรเทียนหลัวและตำหนักมู่…ก็ต้องดูที่การปะทะแล้ว
แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือเรื่องใหญ่ในทวีปเทียนหลัวที่ทุกคนต้องให้ความสนใจ
เมืองเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ของพันธมิตรเทียนหลัว
วังแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีโต๊ะกลมซึ่งมีร่างเงาทั้งห้านั่งล้อมรอบ แม้ว่าจะไม่มีคลื่นใดๆ ไหลเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา แต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามาทำให้มิติถึงกับผิดเพี้ยน
“มู่เฉินตำหนักมู่ตอบรับคำเชิญแล้ว…”
ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วขณะที่ลังเล “มู่เฉินเป็นขาโหด เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาชนะหวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าได้ เราจะยั่วเขาจริงๆ หรือ?”
“ท่านตันหยาง เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน เหตุใดจึงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อยด้วย?” ชายวัยกลางคนที่มีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในดวงตาเอ่ยขึ้น
ตันหยางกวาดสายตามองก็เยาะเย้ย “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อย? งั้นท่านจื่อเหลยไปลองสู้สิ หากเจ้ารอดจากมือเขาได้โดยไม่บาดเจ็บ ข้าจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชายวัยกลางคนก็ชะงักไปก่อนที่จะเค้นเสียงขึ้นจมูก มู่เฉินเอาชนะได้กระทั่งหวงเฉวียนจือ ดังนั้นสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด จื่อเหลยรู้ศักยภาพตนเองและรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉิน
“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกัน”
เสียงน่าขนลุกดังก้องทำให้อุณหภูมิโถงลดลงทันที เมื่อได้ยินเสียงนั้นตันหยางและจื่อเหลยก็หยุดการโต้เถียงมองไปที่จุดกำเนิดของเสียงนั้น
ภายใต้รัศมีน่าขนลุกชายชุดดำที่มีใบหน้าซีดเซียวและม่านตาสีเทาเปล่งประกายความตายออกมา
ชายชุดดำคนนี้ก็คือกุ่ยตี้แห่งประตูหลิงกุ่ยที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งห้าคน
กุ่ยตี้กวาดสายตามองไปที่ทั้งสี่พูดว่า “พวกเจ้าก็รู้ท่าทีของตำหนักมู่ มู่เฉินมีเป้าหมายอย่างชัดเจนกับตำแหน่งเจ้าทวีปเทียนหลัว ดังนั้นหากเราไม่ทำลายความทะเยอทะยานของเขาในตอนนี้ เราก็จะไม่มีปากมีเสียงในทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนอื่นๆ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แต่มารดาของมู่เฉินเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู…” ตันหยางเอ่ย
“ไม่ต้องกังวล เผ่าหมัวเฮอบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เผ่าฝูถูยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ด้วยการสนับสนุนของเผ่าหมัวเฮอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร”
กุ่ยตี้กล่าวต่อ “นอกจากนี้เราไม่มีเจตนาที่จะฆ่ามู่เฉิน ตราบใดที่เขามา เราแค่ลงมือทำร้ายเขาให้ต้องพักฟื้นสักปีเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว หลังจากนั้นเผ่าหมัวเฮอจะช่วยเราในการปกครองทวีปเทียนหลัว”
เมื่อทั้งสี่คนได้ยินเช่นนั้นก็มีไฟลุกโชนในดวงตา พวกเขาหวังที่จะปกครองทวีปเทียนหลัวมานานแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณ พวกเขาก็จะสามารถปิดปากของขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวได้
“งั้นก็ทำกันเลย!”
พวกเขาทั้งสี่สบตากันและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ถึงยังไงพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับตำหนักมู่และมู่เฉินมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วตำหนักมู่พึ่งพาเพียงมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากแค่ไหน พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขาสามารถงัดข้อกับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าได้!
“หึ ถ้าอยากโทษก็โทษตัวเองที่ทะเยอทะยานเกินไป ทวีปเทียนหลัวไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะยึดครองได้!”