หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1470 พันธมิตรเทียนหลัว

บทที่ 1470 พันธมิตรเทียนหลัว

ภายในโถง

คลื่นหลิงครางกระหึ่มดังกึกก้องทั่วชั้นบรรยากาศ

ความผันผวนของคลื่นหลิงที่ระเบิดจากร่างกายของมู่เฉิน ทำให้แม้แต่ใบหน้าของเฉวียนเทียนยังเปลี่ยนไป มู่เฉินน่ากลัวกว่าอดีตมาก ถ้าเขาสู้กับมู่เฉินตอนนี้ละก็ เขาอาจรับได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวเย็นเยือกลงพลางเอ่ยเสียงเบา “ทำไมไอ้พวกพันธมิตรเทียนหลัวถึงเลือกท้าทายเจ้าในตอนนี้? ทั้งที่พวกเขากลัวเจ้าในอดีต”

มู่เฉินหรี่ตาลง เรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ ถึงยังไงมารดาของเขาก็เป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่อยากเอาชื่อมารดามาเบ่ง แต่ชัดว่าประมุขทั้งห้าก็ยังหวาดกลัว

ทว่าตอนนี้พวกเขาคิดจะจัดการกับเขา พวกเขาไม่กลัวมารดาเขาแล้วหรือ?

“ตรวจสอบเรื่องนี้ ข้าต้องรู้ถึงเป้าหมายของพันธมิตรเทียนหลัว” มู่เฉินเคาะโต๊ะเบาๆ แม้ว่าเขาจะไม่กลัวอีกฝ่าย แต่เขาไม่ได้เป็นคนบุ่มบ่าม เราต้องรู้จักศัตรูเท่ากับรู้จักตัวเองเพื่อความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ

มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบา ๆ

การสอบสวนได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว

วันถัดมาก็มีข้อมูลจำนวนมากมากองเบื้องหน้ามู่เฉิน เขาอ่านอย่างละเอียดไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่จะถอนสายตาไม่แยแสกลับ

“ก็ว่าทำไมจู่ๆ พวกเขาถึงกล้าหาญชาญชัย ที่แท้มีกองหนุนนี่เอง” มู่เฉินกล่าว

“ใคร?” จิ่วโยวถาม

“ตามรายงานมีคนจากเผ่าหมัวเฮอเข้าพบขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าเมื่อเดือนก่อน” แววเยือกเย็นวาบผ่านในดวงตามู่เฉิน

“เผ่าหมัวเฮอ?” เมื่อได้ยินชื่อมั่วถัวหลัว จิ่วโยวและเฉวียนเทียนก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเผ่าหมัวเฮอจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

“เราไม่มีเรื่องขุ่นเคืองอะไรกับเผ่าหมัวเฮอ ทำไมพวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่เจ้า?” มั่นถัวหลัวถามด้วยความสงสัย

มู่เฉินหรี่ตายิ้ม “ชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกครึ่งปี”

เมื่อได้ยินคำนั้นใบหน้าของทั้งสามก็ดูประหลาดใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำหนักมู่อย่างไร

“เผ่าหมัวเฮอถือครองร่างมหาเทพนิรัดร์และการชุมนุมนี้มีไว้เพื่อหาเจ้าของ” มู่เฉินตอบอย่างใจเย็นก่อนจะพูดต่อ “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ในเผ่าหมัวเฮอเพื่อดูแล แต่พวกเขามีความทะเยอทะยานอยากถือเป็นทรัพย์สินของตนเอง ดังนั้นจะยอมให้คนนอกเอาไปได้อย่างไร”

“ข้าได้ยินมาจากท่านแม่ว่าเผ่าหมัวเฮอจะตรวจสอบอัจฉริยะที่โดดเด่นนอกเผ่าที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์และใช้ทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุม”

“ข้าเชื่อว่าเพราะชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นของข้าในช่วงนี้ทำให้พวกเขาคิดจะขัดขวาง แต่เนื่องจากการดำรงอยู่ของท่านแม่ พวกมันเลยไม่กล้าโจมตีในที่แจ้ง ดังนั้นพวกมันจึงพยายามใช้พันธมิตรเทียนหลัวเพื่อขัดขวางข้า”

“ช่างน่ารังเกียจ!” จิ่วโยวพูดเสียงเย็นชา

วิธีของเผ่าหมัวเฮอน่ารังเกียจแท้จริง เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ให้พวกเขาเพื่อเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยและเปิดเผยการฝึกฝนสำหรับร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์เพื่อต้องการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม แต่ใครจะคิดว่าเผ่าหมัวเฮอจะถือว่าเป็นสมบัติของตนเอง ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ใส่ใจในหน้าที่ผู้ดูแลเท่านั้น พวกเขายังใช้วิธีลับเพื่อขัดขวางผู้เข้าร่วมงาน

การกระทำต่างๆ เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง!

ใบหน้าของมั่นถัวหลัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเอ่ยเยาะเย้ย “ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหนึ่งในห้าร่างมหาเทพปฐมกาลของมหาพันภพ ครั้งหนึ่งเคยสร้างเทพจักรพรรดินิรันดร์ให้เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ภายใต้การล่อลวงนี้ไม่น่าแปลกใจที่เผ่าหมัวเฮอจะหันมาใช้วิธีหมาลอบกัด”

“ตอนนี้เราควรทำอย่างไร? ข้าว่างานเลี้ยงดูท่าจะไม่ดีเลย” แม้แต่เฉวียนเทียนยังพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

แสงคมชัดวูบวาบในดวงตาของมู่เฉินขณะคลี่ยิ้ม “ในเมื่อพันธมิตรเทียนหลัวเชิญเราไป ถ้าเราปฏิเสธ ชื่อเสียงที่สร้างขึ้นป่นปี้แน่”

ใบหน้าเขาฉายความเย็นชา ตอนแรกเขาอยากได้ช่วงเวลาสงบสุขที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วค่อยเกลี้ยกล่อมให้คนเหล่านั้นยอมถอย แต่ในเมื่อพวกมันใจร้อน ก็โทษอะไรไม่ได้…

“ส่งข่าวไป ตำหนักมู่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอีกสองวันข้างหน้า”

มู่เฉินหลับตาลงช้าๆ พร้อมกับเสียงเยือกเย็น ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะท้าทายกัน เขาก็ต้องหยิบแผนที่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวขึ้นมาเร็วกว่าเดิม…

ข่าวพันธมิตรเทียนหลัวจัดงานเลี้ยง

มีการเชิญประมุขตำหนักมู่เข้าร่วมด้วย ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปเทียนหลัว

ทุกคนบอกได้ว่าเมื่อชื่อเสียงของมู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในมหาพันภพ สถานะของตำหนักมู่ก็ได้รับแรงผลักดันเช่นกัน

เผชิญหน้ากับตำหนักมู่ที่เติบโตขึ้นทุกวัน แม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดที่สนับสนุนตัวแทนของตัวเองในทวีปเทียนหลัวก็ยั้งใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงเกิดการก่อตั้งพันธมิตรเทียนหลัว ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะครอบครองสามในสี่ส่วนของดินแดนทวีปเพื่อกดดันตำหนักมู่

สิ่งนี้ทำให้ขั้วอำนาจน้อยใหญ่ที่ต้องการเข้าร่วมตำหนักมู่ในตอนแรกระงับความคิด เนื่องจากกลัวว่าตำหนักมู่จะเสื่อมถอยโดยพันธมิตรเทียนหลัว

ดังนั้นข่าวนี้จึงดึงดูดความสนใจของทุกคน เนื่องจากพวกเขารู้ว่างานเลี้ยงนี้อาจจะกำหนดตัวเจ้าเหนือแห่งทวีปเทียนหลัว

นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาในทวีปเทียนหลัว เนื่องจากแสดงให้เห็นว่าทวีปเทียนหลัวจะปรากฏผู้ปกครองเหนือหัวอย่างแท้จริงแล้ว

ทว่าใครจะเป็นเจ้าเหนือหัวระหว่างพันธมิตรเทียนหลัวและตำหนักมู่…ก็ต้องดูที่การปะทะแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็คือเรื่องใหญ่ในทวีปเทียนหลัวที่ทุกคนต้องให้ความสนใจ

เมืองเทียนหลัว กองบัญชาการใหญ่ของพันธมิตรเทียนหลัว

วังแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีโต๊ะกลมซึ่งมีร่างเงาทั้งห้านั่งล้อมรอบ แม้ว่าจะไม่มีคลื่นใดๆ ไหลเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา แต่ก็มีแรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามาทำให้มิติถึงกับผิดเพี้ยน

“มู่เฉินตำหนักมู่ตอบรับคำเชิญแล้ว…”

ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วขณะที่ลังเล “มู่เฉินเป็นขาโหด เมื่อไม่นานมานี้เขาเอาชนะหวงเฉวียนจือเผ่าหงส์ฟ้าได้ เราจะยั่วเขาจริงๆ หรือ?”

“ท่านตันหยาง เจ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน เหตุใดจึงกลัวจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อยด้วย?” ชายวัยกลางคนที่มีสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในดวงตาเอ่ยขึ้น

ตันหยางกวาดสายตามองก็เยาะเย้ย “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงตัวจ้อย? งั้นท่านจื่อเหลยไปลองสู้สิ หากเจ้ารอดจากมือเขาได้โดยไม่บาดเจ็บ ข้าจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชายวัยกลางคนก็ชะงักไปก่อนที่จะเค้นเสียงขึ้นจมูก มู่เฉินเอาชนะได้กระทั่งหวงเฉวียนจือ ดังนั้นสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทรงพลังเพียงใด จื่อเหลยรู้ศักยภาพตนเองและรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉิน

“เอาล่ะ หยุดทะเลาะกัน”

เสียงน่าขนลุกดังก้องทำให้อุณหภูมิโถงลดลงทันที เมื่อได้ยินเสียงนั้นตันหยางและจื่อเหลยก็หยุดการโต้เถียงมองไปที่จุดกำเนิดของเสียงนั้น

ภายใต้รัศมีน่าขนลุกชายชุดดำที่มีใบหน้าซีดเซียวและม่านตาสีเทาเปล่งประกายความตายออกมา

ชายชุดดำคนนี้ก็คือกุ่ยตี้แห่งประตูหลิงกุ่ยที่มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งห้าคน

กุ่ยตี้กวาดสายตามองไปที่ทั้งสี่พูดว่า “พวกเจ้าก็รู้ท่าทีของตำหนักมู่ มู่เฉินมีเป้าหมายอย่างชัดเจนกับตำแหน่งเจ้าทวีปเทียนหลัว ดังนั้นหากเราไม่ทำลายความทะเยอทะยานของเขาในตอนนี้ เราก็จะไม่มีปากมีเสียงในทวีปเทียนหลัวอีกต่อไป”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา คนอื่นๆ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“แต่มารดาของมู่เฉินเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู…” ตันหยางเอ่ย

“ไม่ต้องกังวล เผ่าหมัวเฮอบอกว่าจะไม่ปล่อยให้เผ่าฝูถูยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ด้วยการสนับสนุนของเผ่าหมัวเฮอก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร”

กุ่ยตี้กล่าวต่อ “นอกจากนี้เราไม่มีเจตนาที่จะฆ่ามู่เฉิน ตราบใดที่เขามา เราแค่ลงมือทำร้ายเขาให้ต้องพักฟื้นสักปีเราก็บรรลุเป้าหมายแล้ว หลังจากนั้นเผ่าหมัวเฮอจะช่วยเราในการปกครองทวีปเทียนหลัว”

เมื่อทั้งสี่คนได้ยินเช่นนั้นก็มีไฟลุกโชนในดวงตา พวกเขาหวังที่จะปกครองทวีปเทียนหลัวมานานแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากเผ่าโบราณ พวกเขาก็จะสามารถปิดปากของขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวได้

“งั้นก็ทำกันเลย!”

พวกเขาทั้งสี่สบตากันและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ถึงยังไงพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับตำหนักมู่และมู่เฉินมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วตำหนักมู่พึ่งพาเพียงมู่เฉิน แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลังมากแค่ไหน พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเขาสามารถงัดข้อกับขั้วอำนาจสูงสุดทั้งห้าได้!

“หึ ถ้าอยากโทษก็โทษตัวเองที่ทะเยอทะยานเกินไป ทวีปเทียนหลัวไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะยึดครองได้!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท