หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1468 มังกรแท้จริง หงส์ฟ้าแท้จริง

บทที่ 1468 มังกรแท้จริง หงส์ฟ้าแท้จริง

“สำเร็จ?!”

เทียนฮวงและเหล่าผู้อาวุโสต่างมองวิหคสีดำด้วยความสุขบนใบหน้า ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน

พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันสูงส่ง ซึ่งทำให้กระทั่งสายเลือดในร่างยังสั่นไหว

สมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์มีริ้วสายเลือดวิหคอมตะ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปลุกสายเลือดได้และก็หายากยิ่งสำหรับคนที่จะพัฒนาเป็นวิหคอมตะ

ดังนั้นเมื่อจิ่วโยววิวัฒนาการเป็นวิหคอมตะได้ ทุกคนที่นี่จึงรู้สึกถึงแรงกดดันจากสายเลือดของตนเอง

“ผู้อาวุโสหลู่ จิ่วโยวบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วใช่ไหม?” เทียนฮวงถามด้วยเสียงติดตื่นเต้น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของบุตรสาว แต่ไม่สามารถวัดระยะที่แน่นอนได้

หลังจากสัมผัสอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าของผู้อาวุโสหลู่ก็ฉายความตกใจ “จิ่วโยวน่าจะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายแล้ว!”

มนุษย์และเทพอสูรไม่เหมือนกัน มนุษย์จะฝึกฝนไปทีละขั้น…ละขั้น ส่วนเทพอสูรจะไม่ก้าวหน้าขึ้นมาอีกเป็นเวลาหลายปี แต่ในช่วงเวลาที่มีพัฒนาการขึ้นพลังของพวกเขาจะทะยานไปสู่จุดสูงจนไม่อาจจินตนาการได้

นั่นหมายความว่าจิ่วโยวตอนนี้แข็งแกร่งกว่ามู่เฉินในแง่ขุมพลัง

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย!”

เทียนฮวงและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ดีใจมาก ที่แล้วมาเผ่าวิหคโลกันตร์ได้แต่พึ่งพาผู้อาวุโสหลู่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเพียงผู้เดียวในการแทรกเข้าสู่อันดับของเผ่าเทพอสูร ทว่าพวกเขาก็เผชิญกับความท้าทายตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสหลู่เข้าสู่วัยชรา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถก้าวหน้าในการเพาะปลูกของเขาได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตามวิวัฒนาการของจิ่วโยวทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความคับแค้นอันสิ้นหวัง นางได้วิวัฒนาการเป็นมหาเทพอสูรวิหคอมตะ ในแง่ของความแข็งแกร่งสามารถติดหนึ่งในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้

ด้วยการดำรงอยู่ของจิ่วโยว ไม่ต้องไปพูดถึงเผ่าเทพอสูรเหล่านั้น แม้แต่เผ่ามหาเทพอสูรก็ยังต้องให้ความยำเกรงเผ่าวิหคโลกันตร์ของพวกเขา

ตู้ม ต้ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมยินดี ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังก้องจากท้องฟ้า ใบหน้าแต่ละคนเปลี่ยนไปทันที “ทำไมถึงมีภัยพิบัติสายฟ้าขึ้นอีก!”

ทุกสายตามองเห็นการรวมตัวของเมฆหนาแน่นพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัว

“ไม่ใช่ของจิ่วโยว!” ม่านตาผู้อาวุโสหลู่หดเกร็ง

เทียนฮวงตกตะลึงไปกับคำพูดนั่น ถ้าไม่ใช่ของจิ่วโยวแล้วเป็นของใครล่ะ? แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้รีบเบนสายตาไปยังมู่เฉินทันที ไข่ใบมหึมาสองฟองเหนือร่างมู่เฉินเอิบอาบด้วยความผันผวนที่น่ากลัว

“ไอ้ไข่แดงๆ นั่นคืออะไร? ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้!” เทียนฮวงอุทานเสียงต่ำ รัศมีสายเลือดปิดกั้นการสัมผัสของพวกเขา ดังนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสหลู่ยังไม่รู้ว่าอะไรกำลังฟักอยู่ในไข่เหล่านั้น

ครืนๆๆๆ!

สายฟ้าร้องรุนแรงดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของมู่เฉินขณะที่ดวงตาเขาหดลงมองเมฆฝนสีดำพลางขมวดคิ้ว

เขาตระหนักได้ว่าพลังงานที่สร้างขึ้นในเมฆฝนฟ้าคะนองแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่โจมตีจิ่วโยวเสียอีก

แต่ไม่ช้าเขาก็คิดได้ว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ด้อยไปกว่าวิหคอมตะ ดังนั้นเมื่อทั้งสองก่อตัวขึ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมฆฝนฟ้าคะนองจะน่ากลัวกว่านี้

“หวังว่าจะทนไว้ได้” มู่เฉินจ้องไปที่ไข่ทั้งสองฟอง พวกมันไม่สามารถพึ่งพาปัจจัยภายนอกสำหรับภัยพิบัติสายฟ้า มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

ตู้ม!

ขณะที่มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง เมฆฝนฟ้าคะนองสีดำหนาแน่นก็กวนตัวจนถึงขีดสุด ทั่วบริเวณมืดมิดลง สายฟ้าสีดำสองสายที่คล้ายกับกรงเล็บมังกรยักษ์พุ่งเข้าใส่ไข่

ตึง!

ท้องฟ้าทั้งผืนเลื่อนลั่น ขณะที่ไข่สองฟองสั่นไหว ราวกับถูกกลืนกินไปส่วนหนึ่ง

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อสายแรกไม่ได้ผล ภัยพิบัติสายฟ้าก็เริ่มรุนแรงขึ้น สายฟ้าสีดำจำนวนมากฟาดลงมาจากท้องฟ้ารุนแรง ทำให้กระทั่งหนังหัวของผู้อาวุโสหลู่ยังด้านชาไปหมด

พร้อมกับการโจมตีที่รุนแรงของสายฟ้า ไข่สีแดงเข้มก็เริ่มลดขนาดลง…

มือของมู่เฉินประสานเข้าด้วยกัน แก่นโลหิตชั้นยอดขนาดเท่ากำปั้นทั้งสามก็ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีสายเลือดรุนแรงพุ่งเข้าไปในไข่ทั้งสองใบ

ด้วยการสนับสนุนของรัศมีสายเลือดที่ไร้ขอบเขตทำให้ไข่ฟื้นตัวช้าๆ…

ครืน!

แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงชั่วคราว ไข่สีแดงเข้มยังคงลดขนาดลงเรื่อยๆ จากสายฟ้าผ่าก่อนที่จะเหลือขนาดประมาณหนึ่งพันจั้งเท่านั้น

ฉากนี้ทำให้เทียนฮวงและคนที่เหลือกังวลเล็กน้อย แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่ แต่พวกเขารู้สึกว่าไข่สีแดงเข้มทั้งสองเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

แต่เมื่อเทียบกับความกังวลของคนอื่น ท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของสิ่งมีชีวิตจากไข่สองฟองก่อตัวขึ้นแล้ว

ขณะที่เมฆฝนฟ้าคะนองสีดำยังคงบีบกด ก็ได้ก่อตัวเป็นกรวยที่มีริ้วการสั่นไหวของสายฟ้าที่รวมตัวกันเป็นเสาสายฟ้าขนาดมหึมา

เมื่อเสาพุ่งลงมาก็ฉีกออกจากกันกะทันหัน กลายเป็นมังกรสายฟ้าสีดำและหงส์ฟ้าสายฟ้าสีดำพร้อมกับพลังที่สามารถลดภูเขาทั้งหมดในรัศมีแสนลี้ได้หากตกลงมา

แต่ในขณะนี้เองไข่สีแดงเข้มสองฟองก็แตกออก เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

ทันใดนั้นรัศมีแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เทียนฮวงและผู้อาวุโสพากันตกตะลึง เมื่อเห็นมังกรและหงส์ฟ้าขนาดใหญ่แผ่ร่างออกมา

มังกรมีสีทองประกอบกับแสงลึกลับวาบบนเกล็ดซึ่งมีพลังในการทำลายล้าง เกล็ดยังสลักด้วยสัญลักษณ์โบราณซึ่งดูลึกลับมาก

หงส์ฟ้าก็มีสีทองดูสูงส่งพร้อมกับลาวาสีทองหยดลงมาจากปีกทำให้มิติถึงกับบิดเบี้ยว

ความกดดันที่น่ากลัวสองสายแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

“นั่นคือ…มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเหรอ?!”

เสียงอุทานดังขึ้น เทียนฮวงและคนอื่นๆ แสดงความไม่เชื่อบนใบหน้า ในฐานะสมาชิกเผ่าเทพอสูร ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงการปราบปรามจากสิ่งมีชีวิตเหนือกว่าทั้งสองได้

นอกจากนี้มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงยังมีร่างเนื้อไม่ใช่ภาพลวงตา!

“เป็นไปได้ยังไง?!” ผู้อาวุโสหลู่อุทาน “มู่เฉินสร้างมังกรและหงส์ฟ้าของแท้ได้อย่างไร!”

ต้องรู้ว่าหงส์ฟ้าและมังกรเป็นจักรพรรดิในเผ่าพันธุ์ทั้งสอง มีสายเลือดสูงส่ง แม้แต่ในเผ่าพวกมันเองก็ยากที่จะเกิดมาสักคน แต่ตอนนี้มู่เฉินกลับให้กำเนิดทั้งสองขึ้นมางั้นเรอะ?!

ท่ามกลางสายตาไม่อยากจะเชื่อ มหาเทพอสูรทั้งสองก็ทะยานขึ้นสูง ใช้ร่างที่ทรงพลังปะทะมังกรสายฟ้าและหงส์ฟ้าสายฟ้า

ครืน!

ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือน สายฟ้าก็สาดส่องไปทั่วท้องฟ้า ทำให้เกิดคลื่นกระแทกกวาดออกไป มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงส่งเสียงคำราม สายฟ้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้

นอกจากนี้ความผันผวนของคลื่นหลิงจากร่างกายพวกมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เพียงสิบกว่าลมหายใจก็ก้าวข้ามระดับไปถึงขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!

“ซี้ด…”

ผู้อาวุโสหลู่สูดลมหายใจเย็นพลางอุทาน “มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะต้นได้แล้ว!”

เทียนฮวงและคนที่เหลือแลกเปลี่ยนสายตา พวกเขาตกตะลึงเกินคำบรรยาย ใครจะคิดว่ามู่เฉินไม่เพียง แต่ให้กำเนิดมังกรและหงส์ฟ้า แต่ยังสามารถยกพวกมันไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนอีกด้วย

“ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแล้วซะงั้น…”

มู่เฉินก็ตกใจเช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ในระดับระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย ทว่าเขาไม่คิดมาก่อนว่ามังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจะไปถึงระดับนี้และแข็งแกร่งกว่าเขา

อย่างไรก็ตาม…

เขาขมวดคิ้วขณะที่มองมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง เขารู้สึกได้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองไม่มีจิตสำนึกของตัวเอง ในระดับหนึ่งช่างคล้ายกับร่างรองที่เขาฝึกฝน

ทว่ามู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเกินไป เพราะมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงมีต้นกำเนิดมาจากเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง

เขาโบกมือ มังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ปลดปล่อยเสียงคำรามไปทั่วขอบฟ้า ขณะที่พลิ้วลงมา มังกรแท้จริงกลายเป็นงูตัวจิ๋วฝังอยู่ในแขนเสื้อของมู่เฉิน ขณะที่หงส์ฟ้าแท้จริงกลายเป็นนกตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของมู่เฉิน

เมื่อรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่มีต่อกัน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ ในที่สุดเขาก็สามารถเลี้ยงดูพวกมันหลังจากทำงานหนักมาตลอด

ขณะนี้เองวิหคสีดำก็โผทะยานลงมากลายเป็นเงาร่างเพรียวบาง

เมื่อทุกคนมองไปที่ร่างเงานั้น แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกตะลึงในสายตา

จิ่วโยวได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ ชุดสีดำแนบลำตัวพร้อมกับเรือนผมทิ้งตัวลงมา มีรัศมีลึกลับและสูงส่งบนใบหน้า ม่านตาของนางก็คล้ายกับมีเปลวไฟสีดำในก้นบึ้งที่ดูดผู้คนเข้าหา

ในอดีตจิ่วโยวเต็มไปด้วยความพยศ แต่ขณะนี้นางมีเสน่ห์ลึกลับและกลิ่นอายของสายเลือดสูงส่งที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็หันกลับมาและยิ้ม

เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของนาง มู่เฉินก็ยิ้มกว้าง ดูท่าไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างไร นางก็ยังคงเป็นจิ่วโยว พี่สาวที่คอยปกป้องเขาคนเดิม…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท