หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1478 นิยม

บทที่ 1478 นิยม

เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้น

ลำแสงพร่างพราวสองสายก็พุ่งออกมาจากดวงตา ทะลุผ่านภูเขาหนาทึบยิงออกไปไกล

คลื่นหลิงที่เชี่ยวกรากกวาดหายนะไปทั่วถ้ำ ทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับว่ากำลังจะถล่มลง

ความปั่นป่วนนี้กินเวลานานก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง ความแวววาวในดวงตาของมู่เฉินก็อ่อนกำลังจนกลับมาเป็นปกติ ทว่าดวงตาของเขากลับดูลึกเกินหยั่ง

เมื่อมองไปที่กำไลเฉียนคุนทั้งสองวงมู่เฉินก็ส่ายหัว เขายังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้

แม้จะมีการเตรียมการและใช้เจดีย์พุทธะ แต่ก็ยังค่อนข้างเคี่ยวกรำสำหรับเขาที่จะดูดซับของเหลวจื้อจุนหมื่นล้านหยดภายในสี่เดือน

แต่โชคดีที่มันถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายทั้งหมดแล้ว ตอนนี้คลื่นหลิงพลุ่งพล่านในเลือดเนื้อแล้วค่อยๆ หลอมรวมเข้าไป

เมื่อไรที่หลอมรวมเข้าอย่างสมบูรณ์ เขาก็จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลายได้

“คงอีกไม่นาน”

มู่เฉินรู้สึกได้ว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นาน ทว่าเขาไม่มีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่ในสมาธิเงียบสงบ เนื่องจากเขาจะพลาดงานชุมนุมนิรันดร์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้

“ค่อยไปฝึกฝนระหว่างเดินทางแล้วกัน”

มู่เฉินปลอบใจตัวเองแล้วไปปรากฏตัวบนยอดเขา ก่อนที่เขาจะเห็นเงาร่างสองร่างเข้ามาในทิศทางของเขา คนแรกคือจิ่วโยว ส่วนคนที่สองเป็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วง เรือนผมของนางปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้าที่งดงามคล้ายกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบมีประกายแวววาวจางๆ ทว่านางมีสีหน้าเย็นชาและม่านตาสีทองคำคู่หนึ่งที่สะท้อนความลึกลับ

“มั่นถัวหลัว?” มู่เฉินอุทานขณะมองไปที่หญิงสาว

ในอดีตร่างของมั่นถัวหลัวเป็นเด็กสาวตัวเล็กจ้อย แต่ตอนนี้นางกลายเป็นหญิงสาวและจากความผันผวนที่อาบไล้บนตัวนาง ชัดว่านางบรรลุระดับเทียนจื้อจุนได้สำเร็จแล้ว

มั่นถัวหลัวมองไปที่มู่เฉินกล่าวว่า “เผ่าแมนดาลาของข้า แต่ไหนแต่ไรก็มีช่วงเวลาการเติบโตที่ยาวนาน ดังนั้นข้าจึงผ่านช่วงวัยเด็กได้หลังจากบรรลุขั้นเทียนจื้อจุน”

มู่เฉินพยักหน้า พยายามกลั้นเสียงหัวเราะไว้ “ก็ดี ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นก็คิดว่าคนดูแลตำหนักมู่ของเราเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ”

“เจ้ากำลังเยาะเย้ยรูปร่างก่อนหน้าของข้าเรอะ?” มั่นถัวหลัวหรี่ตา

“ไม่กล้า ไม่กล้า” มู่เฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขากำลังจะไม่อยู่ ดังนั้นเลยไม่กล้าสร้างความเดือดร้อนกับมั่นถัวหลัว ถ้านางโมโหขึ้นมาตำหนักมู่คงจะอยู่ในความโกลาหลแน่

มั่นถัวหลัวเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับเบนหน้าเหม็นเบื่อหนีจากมู่เฉิน

“ช่วงนี้ความสนใจของมหาพันภพไปอยู่ที่เผ่าหมัวเฮอหมดแล้ว” จิ่วโยวกล่าว

มู่เฉินท่าทางเคร่งเครียดพลางพยักหน้า “เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ไง เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคน”

นั่นเป็นหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาลที่ยิ่งใหญ่ในมหาพันภพ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะให้ความสนใจ มากจนแม้แต่ความสนใจของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังจดจ่ออยู่ที่สิ่งนี้

“เอ้านี่” จิ่วโยวหยิบม้วนกระดาษออกมาส่งให้มู่เฉิน “นี่คือทำเนียบยอดนิยมของผู้ท้าชิงร่างมหาเทพปฐมกาล ข่าวพวกนี้เจ้าควรรู้ไว้ จะได้เตรียมตัวถูก”

“โอ้?”

มู่เฉินเปิดม้วนกระดาษด้วยความสนใจ ชื่อคุ้นเคยผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตาเขาตั้งแต่บรรทัดแรก

อันดับหนึ่ง เผ่าหมัวเฮอ—หมัวเฮอโยว ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดและเป็นน้องชายของประมุขหมัวเฮอเทียน นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงที่เขาจะบรรลุขั้นเซิ่งเป็นคนต่อไปของเผ่า…

“เจ้านั่น…” มู่เฉินหรี่ตา หมัวเฮอโยวสมกับเป็นจอมยุทธ์แท้จริง ตราบใดที่เขาไม่ได้พบกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ก็แทบไม่มีใครต่อกรกับเขาได้ ไม่แปลกที่เขาจะอยู่อันดับหนึ่ง

แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่คิดที่จะต่อสู้กับหมัวเฮอโยวก่อนที่จะไปถึงขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย

อันดับสอง หอกอสุรา—เยี่ยฉิง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย”

“เยี่ยฉิง…” เมื่อมองไปที่ชื่อนี้มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พัดมาปะทะใบหน้า

“เขาเป็นประมุขอันดับสองของหอทะเลตะว้นตก ใช้หอกอสุรากวาดล้างศัตรูที่ขวางหน้า มีข่าวลือว่าเขาผ่านการต่อสู้มาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งเพื่อฝึกฝนตัวเอง เขาดุดันประหนึ่งอสูรสงคราม ชื่อเสียงโด่งดังไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัวเฮอโยวเลย” จิ่วโยวถอนหายใจ

มู่เฉินพยักหน้ามองไปที่อันดับต่อไป

อันดับสาม 3 ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว ผู้พิทักษ์ใหญ่ของขุมกำลังยอดวิญญาณ ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย

ขุมกำลังยอดวิญญาณก็เป็นขั้วอำนาจสูงสุดในมหาพันภพเช่นกัน ว่ากันว่าจอมยุทธ์ทุกคนที่นั่นให้ความสำคัญกับการฝึกฝนร่างกาย ดังนั้นซื่อหลัวในฐานะการเป็นผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ธรรมดาแน่

อันดับสี่ ดาบเทวะ—ทั่วป๋าชาง ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย เขาท่องยุทธภพไปทั่วโดยอาศัยดาบประจำตัวและเคยล้างบางสำนักด้วยดาบของเขามาแล้ว

“ไม่มีใครธรรมดาเลย”

เมื่อดูรายชื่อทั้งสี่คน มู่เฉินก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอยู่กี่ตัวในโลก ในสี่อันดับแรกเขาเคยได้ยินแต่ชื่อหมัวเฮอโยว อีกสามคนไม่มีข้อมูลเลย แต่ใครจะคิดว่าความสำเร็จของพวกเขาจะยอดเยี่ยมขนาดนี้

เมื่อนึกถึงคู่แข่งเหล่านี้สำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดัน

ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่กลัว ดวงตาเขากลับลุกโชนด้วยเปลวไฟ แม้แต่เลือดในร่างกายของเขาก็เริ่มเดือดพล่าน ในเส้นทางของยอดยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยความมานะพยายามและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากการต่อสู้กับคนที่ทรงพลัง…

มู่เฉินนึกคิดไปครู่ก่อนจะมองไปที่รายชื่อต่อพลางอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ยิ้มเบา

อันดับที่ห้าประมุขตำหนักมู่—มู่เฉิน ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง ครั้งหนึ่งเคยไปสร้างวีรกรรมในเฝ่าฝูถู เอาชนะหวงเฉวียนจือที่สระยกเทพ ล่าสุดก็จัดการจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนด้วยตัวคนเดียวเพื่อครอบครองทวีปเทียนหลัว

“รู้สึกหดหู่ใจไหมที่ได้อันดับห้า? ดูเหมือนหลายคนจะคิดว่าเจ้าอ่อนแอกว่าสี่อันดับแรกนะ” มั่นถัวหลัวกอดอกเอ่ยหยอกล้อ

มู่เฉินยิ้มอย่างสบายๆ “พวกเขาทั้งสี่สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองมานานแล้วและทั้งหมดยังอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายอีกด้วย ดังนั้นชื่อเสียงของข้าจึงลดลงตามธรรมชาติเมื่อเทียบกันในห้าคน”

หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็พูดต่อ “แต่ใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็ต้องลองมาสู้กันก่อน”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยไฟแห่งการต่อสู้ เขาทำงานหนักเพื่อตามหาร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นไม่ว่าการแข่งขันจะดุเดือดแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้หรอก

มู่เฉินเก็บม้วนกระดาษไม่ได้สนใจมองเพิ่มเติม ในมุมมองของเขาภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดก็คือสี่อันดับแรก

“ข้าจะไปแล้วนะ”

มู่เฉินมองไปที่จิ่วโยวและมั่นถัวหลัว การชุมนุมนิรันดร์จะเริ่มในอีกสิบวัน ดังนั้นเขาต้องออกเดินทางทันที ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องตลกร้ายหากเขาไปไม่ทันทั้งที่รอวันนี้มานานแสนนาน

“ต้องรบกวนพวกเจ้าสองคนเรื่องตำหนักมู่ด้วย”

แม้ว่าขั้วอำนาจทั้งหมดในทวีปเทียนหลัวจะยอมสวามิภักดิ์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยตำหนักมู่ ซึ่งนี่ทำให้เกิดการปะทะกันแน่ ดังนั้นจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวจึงต้องอยู่เพื่อจัดการ

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะมอบตำหนักมู่พร้อมกับควบคุมทวีปเทียนหลัวให้กับเจ้าแบบเป็นระบบสมบูรณ์เมื่อเจ้ากลับมา” มั่นถัวหลัวพูดด้วยความมั่นใจ

ในเมื่อหินขวางทางที่ใหญ่ที่สุดถูกมู่เฉินเตะออกไปแล้ว มั่นถัวหลัวก็มั่นใจว่าตนเองจะแก้ไขปัญหาที่เหลือแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้

มู่เฉินคลี่รอยยิ้มไม่ได้อยู่อีกต่อไป ร่างกลายเป็นริ้วแสงหายไป

เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จิ่วโยวก็มีร่องรอยของความกังวลบนใบหน้า “ไม่รู้ว่าครั้งนี้มู่เฉินจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่…”

นางรับรู้เสมอว่ามู่เฉินใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์

หลังจากไตร่ตรองครู่มั่นถัวหลัวก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “นี่น่าจะเป็นศึกที่ยากที่สุดในชีวิตของมู่เฉิน ถ้าเขาสามารถผ่านไปได้ ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา ส่วนจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร ก็ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว”

จิ่วโยวพยักหน้าได้แต่ภาวนาในใจ แม้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่สี่อันดับแรกก็ไม่ใช่ธรรมดา พวกเขาดุร้ายยิ่งกว่าหวงเฉวียนจือเสียอีก

เมื่อเวลาผ่านไป

บรรยากาศในมหาพันภพก็ร้อนระอุจากงานชุมนุมนิรันดร์ ขั้วอำนาจต่างๆ เริ่มมารวมกันที่เผ่าหมัวเฮอ เนื่องจากมีข่าวลือว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ได้แสดงปฏิกิริยาจะเลือกผู้ครอบครองแล้ว

เมื่อข่าวลือสะพัดออกไปก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที หรือว่าในที่สุดร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกเจ้านายหลังจากผ่านไปหมื่นปี?

หากร่างมหาเทพนิรันดร์เลือกเจ้านาย ก็จะมีเทพจอมยุทธ์ถือกำเนิดในมหาพันภพอีกครั้ง…

ดังนั้นภายใต้ข่าวลือที่กระจายไปทั่ว เผ่าหมัวเฮอจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน

ภายใต้บรรยากาศนี้มู่เฉินก็มาถึงเผ่าหมัวเฮอในทวีปหมัวเฮอในอีกเจ็ดวันต่อมา…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท