หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1484 สู้กับซื่อหลัว

บทที่ 1484 สู้กับซื่อหลัว

ทุกคนที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอต่างตกตะลึง

ไม่มีใครคาดคิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงอย่างรวดเร็ว…

ฉินตงไห่ไม่ใช่พวกจัดการง่ายๆ สิ่งนี้เห็นได้จากความแข็งแกร่งของเขาที่เอาชนะคู่แข่งขันก่อนหน้า พลังของเขาอยู่ในอันดับต้นๆ ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกมู่เฉินปราบปรามอย่างสมบูรณ์…

ดังนั้นบอกได้ว่าพลังของมู่เฉินดุดันเพียงใด

“สมกับเป็นคนที่เอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนห้าคนได้…ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเหนือมนุษย์จริงๆ…”

“ดูเหมือนว่าคงจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแท้จริงถึงจะปราบเขาได้”

“ก็ไม่แน่เสมอไป มู่เฉินมีไพ่ตายมากมายและเราไม่รู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้บ้าง…” มีบางคนมองไปที่มู่เฉินด้วยสีหน้าหนักใจ

“เป็นไง?” ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่ปรายตามองฝูถูเฉวียน

ฝูถูเฉวียนทำท่าทางเข้มงวดเค้นเสียงขึ้นจมูกใส่ “มีอะไรต้องเฉลิมฉลองกับแค่เอาชนะฉินตงไห่? คู่ต่อสู้ที่แท้จริงคือสี่คนนั่นต่างหาก”

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าตอบว่า “ทั้งสี่คนสั่งสมชื่อเสียงมานานแล้วและสามารถติดอันดับต้นๆ ในมหาพันภพ คราวนี้เฉินเอ๋อเจอศัตรูที่แข็งแกร่งแน่แล้ว”

ทว่าคำพูดของนางก็กลับมาชื่นชมลูกชายเหมือนเดิม “แต่ในเมื่อเฉินเอ๋อมั่นใจที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่ นั่นหมายความว่าเขาต้องมั่นใจมาก”

ฝูถูเฉวียนมองความมั่นใจที่ชิงเหยี่ยนจิ้งมีต่อมู่เฉินก็ได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่ได้มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับนาง อย่างไรก็ตามแม้ว่ามู่เฉินจะไม่อ่อนแอ แต่ทั้งสี่คนนั้นก็ใช่ว่าจัดการง่าย

การต่อสู้ในวันนี้ไม่จบลงง่ายๆ แน่

หลังจากเอาชนะฉินตงไห่แล้ว

มู่เฉินก็ไปต่อโดยไม่หยุดพักและค้นหาคู่ต่อสู้คนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ

เวลาต่อมาเขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายและได้รับแก่นอมตะสามชิ้นเพื่อเสริมสร้างร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง

ทันใดนั้นมิติก็บิดเบี้ยวอีกครั้ง ชัดว่าคู่แข่งอีกครึ่งหนึ่งถูกกำจัด ดังนั้นคนอยู่ต่อก็เข้าสู่ชั้นถัดไป

มู่เฉินไม่ได้ประหลาดใจ ยังคงหาคู่ต่อสู้ต่อไป

ในเวลาสองก้านธูปต่อมามิติรอบก็เปลี่ยนไปถึงสองครั้ง คู่ต่อสู้ที่พบก็ลดลงแต่คนที่พบกลับมีพลังมากขึ้น มากจนบางคนแข็งแกร่งกว่าฉินตงไห่เสียอีก

นั่นหมายความว่าการจัดอันดับในทำเนียบไม่ได้ถูกต้องเสมอไป

ตู้ม!

มิติสั่นสะเทือนคลื่นหลิงป่าเถื่อนล้นเหลือก็กวาดอาละวาด สร้างรูพรุนเอาไว้บนพื้น…

ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ค่อยๆ สลายไปพร้อมกับร่างร่างหนึ่งถูกส่งออกจากเจดีย์วั้นกู่ ในเวลาเดียวกันแก่นอมตะหนาแน่นก็พุ่งออกมาแล้วถูกยักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉินเขมือบเข้าไป

หลังจากกินแก่นอมตะชิ้นนี้ ร่างยักษ์ที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินก็ได้รับการปรับแต่งมากขึ้นพร้อมกับจุดและลวดลายโบราณปรากฏขึ้น

ช่างราวกับว่าสร้างขึ้นก่อนประวัติศาตร์มีทั้งอำนาจเหนือกว่าและลึกลับ

“ร่างเทพสิรุยะนิรันดร์ของข้าตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านอาจารย์ในตอนนั้นแล้ว” มู่เฉินรู้สึกตื่นเต้นเมื่อสัมผัสถึงพลังของร่างเทห์สวรรค์

ในอดีตจักรพรรดิฟ้าน่าจะไม่เคยมาที่เจดีย์วั้นกู่ เนื่องจากเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังมีชีวิตอยู่

ฮึ่ม ฮึ่ม

ขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจของมู่เฉิน มิติก็บิดเบี้ยว เขาหรี่ตาลงพร้อมกับร่างกายเกร็งขึ้น

เหลือจอมยุทธ์แปดคนสุดท้ายในเจดีย์วั้นกู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าเขามีโอกาสมากที่จะพบกับสี่อันดับแรก

“ในที่สุดก็มาถึงช่วงสุดท้าย…”

มิติบิดเบี้ยว เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรอบอย่างรวดเร็ว เมื่อกวาดสายตาออกก็พบว่าเขาไปปรากฏตัวในมหาสมุทรกว้างใหญ่แล้ว

ฮา

มู่เฉินจ้องมองมหาสมุทรก็หายใจออกอย่างหนัก ฝ่ายตรงข้ามที่เขาพบจะต้องทรงพลังมาก มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถผ่านขั้นตอนการกำจัดได้

“แค่ไม่รู้ว่าจะเจอใคร…” มู่เฉินพึมพำ ถ้าเขาเจอหมัวเฮอโยวที่นี่ ศึกสุดท้ายก็จะเกิดขึ้นล่วงหน้า

ฝ่าเท้าก้าวย่างไปบนมหาสมุทร เมื่อย่างเท้าออกไปร่างมู่เฉินก็ไปปรากฏภายนอกในระยะหมื่นจั้ง…

หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีเขาก็หยุดฝีเท้า ความเฉียบคมรวมอยู่ในดวงตาขณะมองไปในระยะไกล

เขาเห็นคลื่นพลุ่งพล่านที่เบื้องหน้าพร้อมกับร่างเงาหนึ่งนั่งอยู่

คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีทอง ศีรษะโล้นเตียนสะท้อนแสง โครงร่างผอมบางราวกับสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่ากลัว

“ราชันทองวัชระ—ซื่อหลัว”

เมื่อมองไปที่คนผู้นั้น ท่าทางของมู่เฉินก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“มู่เฉินปะทะซื่อหลัว”

ผู้ชมด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ร้องลั่น ตอนนี้เหลือกระจกเพียงสี่บานและในกระจกทั้งสี่ก็ฉายภาพจอมยุทธ์แปดคน เมื่อทุกคนเห็นมู่เฉินกับซื่อหลัวปรากฏบนบานเดียวกันก็ตะโกนอุทาน

ทุกคนฉายท่าทางเคร่งเครียด ซื่อหลัวอยู่อันดับสามและมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็น่ากลัว คู่ต่อสู้ทุกคนที่ผ่านมายังไม่สามารถบังคับให้เขาใช้ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ เขาใช้พลังกายของตัวเองเผชิญหน้ากับศัตรูมาตลอดทาง

แต่ในทำนองเดียวกันมู่เฉินก็ก้าวเข้ามาอย่างอหังการเช่นกัน ดังนั้นการเผชิญหน้าของพวกเขาจึงดึงดูดความสนใจของทุกคน

“ซื่อหลัวรึ…” ท่าทางของชิงเหยี่ยนจิ้งเคร่งเครียดลง เนื่องจากนางเคยได้ยินเรื่องของซื่อหลัว

แม้แต่ฝูถูเฉวียนก็ขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าเขาจะหมั่นไส้มู่เฉินอยู่บ้าง แต่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะชนะ แต่การเผชิญหน้าซื่อหลัวเป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย

บางทีเขาอาจจะจบลงที่นี่เลย

“เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดทีเดียว… หวังว่าไอ้หนูจะผ่านไปได้…”

ซ่า ซ่า ซ่า!

คลื่นหยุดห่างออกไปจากมู่เฉินหนึ่งพันจั้ง ซื่อหลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางยิ้ม “ไม่คิดว่าจะได้พบกับประมุขมู่”

มู่เฉินก็ผงกศีรษะตอบว่า “ชะตาช่างกลั่นแกล้งให้ต้องพบกับราชันทองวัชระ”

เมื่อเผชิญหน้ากับเขา แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงอันตรายที่ไม่สามารถประมาทได้

ซื่อหลัวยิ้ม “ประมุขมู่มีความสำเร็จที่น่าทึ่ง แต่ข้าก็ไม่ยอมแพ้เพราะร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เป็นรางวัลแน่”

“เช่นเดียวกัน” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อซื่อหลัวยืนขึ้น ร่างเพรียวบางของเขาก็ทำให้มิติสั่น มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องขอคำชี้แนะนำจากประมุขมู่แล้ว”

เจดีย์ผลึกแก้วสั่นไหวในดวงตาของมู่เฉิน ผลึกคลื่นหลิงไหลไปตามแขนขาแม้แต่ผิวก็กลายเป็นอัญมณี

“ชี้แนะด้วย”

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งเครียดลง เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายกาจเช่นนี้ ตัวเขาก็ให้ความเคารพ

ร่างของซื่อหลัวค่อยๆ เปล่งประกายด้วยแสงสีทองพร้อมกับลวดลายบนร่างกาย ยกคลื่นในมหาสมุทรขึ้น

แรงกดดันโอบล้อมออกไปด้านนอก

สายตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคม อึดใจก็เคลื่อนไหว เขาอ้าปากเพลิงสีม่วงก็พุ่งไปทางซื่อหลัว

ในวิถีทางของเพลิง มหาสมุทรถึงกับเดือดปุด

แต่เผชิญหน้ากับเพลิงนี้ ซื่อหลัวไม่ได้หลบ เขาปล่อยให้เพลิงห่อหุ้มร่างเขาแทน

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็หรี่ตาลง เพลิงม่วงกลืนวิญญาณทรงพลังมาก กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าซื่อหลัวกล้าดีแท้

ปัง!

ทันใดนั้นเพลิงก็ระเบิดออก ร่างเงาหนึ่งพุ่งออกมา ไม่มีความผันผวนคลื่นหลิงรอบตัวซื่อหลัว อีกฝ่ายอาศัยพลังกายล้วนๆ ในการต้านทานเพลิงสีม่วง

เพลิงม่วงกลืนวิญญาณกลืนกินคลื่นหลิงเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่ซื่อหลัวปิดผนึกรูขุมขนไม่ได้ปล่อยพลังงานใดๆ ออกมา ดังนั้นเพลิงจึงไม่สามารถคงอยู่ได้

วาบ!

ซื่อหลัวพุ่งออกมาพลางกำจายแสงสีทอง พริบตาก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉินแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป

ดวงตามู่เฉินวูบไหว ผลึกคลื่นหลิงก่อตัวเป็นถุงมือ จากนั้นเขาก็หมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเพื่อที่จะปล่อยหมัดออกไป

เขาต้องการจะทดสอบความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย

ตึง!

หมัดสองหมัดปะทะกัน มหาสมุทรที่อยู่เบื้องล่างก็ยุบลงพร้อมกับคลื่นกระแทกยกตัวสูงนับไม่ถ้วน

ตู้ม!

ร่างทั้งสองสั่นสะท้าน แต่ครั้งนี้มู่เฉินอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาถลาออกไปหนึ่งพันจั้งลากรอยยาวบนมหาสมุทรใต้เท้า

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายทรงพลังแท้จริง”

มู่เฉินกระทืบฝ่าเท้าเพื่อทรงตัวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รอยแตกปรากฏบนถุงมือผลึกใส ก่อนที่มันจะร่วงหล่นและสลายไป

หลังจากเปลี่ยนเป็นผลึกคลื่นหลิง ต่อให้มีขุมพลังเพียงขั้นหลิงระยะกลาง แต่ความหนาแน่นของคลื่นหลิงนั้นก็สามารถเทียบเคียงขั้นเซียน ทว่าตอนนี้ก็ยังถูกซัดถอยโดยซื่อหลัว

ถ้าไม่ใช่เพราะซื่อหลัวกลัวว่าผลึกคลื่นหลิงของเขาและไม่กล้าที่จะใช้พลังเต็มที่ หมัดนี้สามารถทำให้มู่เฉินได้รับบาดเจ็บแน่

“ดูเหมือนข้ายั้งมือไม่ได้แล้ว…”

มู่เฉินหายใจเข้าลึกพลางวาดตราประทับ เงาร่างสองร่างก็พุ่งออกมาจากร่างเขา กลายเป็นร่างรองสองร่างของเขา

เมื่อมองไปที่ภาพเงาทั้งสอง สีหน้าของซื่อหลัวก็กลายเป็นเคร่งเครียด เขารู้ว่าในฐานะวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานสามสิบหกกระบวนท่า วิชาสามพิสุทธิ์ทรงพลังเพียงใด

เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ ซื่อหลัวไม่กล้าออมมือ แม้ว่ามู่เฉินจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเท่านั้น มือของเขาประสานเข้าด้วยกัน แสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ในขณะนี้โครงร่างเพรียวบางก็เริ่มขยายตัว

ในไม่กี่ลมหายใจเขาก็กลายเป็นยักษ์ยืนตระหง่านอยู่บนมหาสมุทร

พลังไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงระเบิดออกมาราวกับพายุจากร่างซื่อหลัว

ที่ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ทุกคนมองไปที่ภาพนี้ด้วยความตกตะลึงในใจ ทั้งสองคนกำลังจะนำความสามารถที่แท้จริงออกแล้ว…

แค่ไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายในการต่อสู้ครั้งนี้

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท