หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1488 ชั้นสุดท้าย

บทที่ 1488 ชั้นสุดท้าย

ในดินแดนโบราณแห่งนี้

พื้นดินแตกระแหงราวกับที่นี่ได้ผ่านการต่อสู้โชกโชน กระทั่งสุดขอบฟ้าก็ขาดรุ่งริ่ง

บนพื้นดินแตกสลายมีภูเขาสีแดงเข้มตั้งตระหง่านอย่างเงียบๆ ซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณและอมตะออกมา ช่างให้ความรู้สึกลึกลับ

บนภูเขาสีแดงเข้มมีร่างเงาสามร่างนั่งบนแท่นขนาดใหญ่ ทั้งสามตั้งระวังซึ่งกันและกันอยู่

พวกเขาก็คือหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านรอบคัดออกมาถึงชั้นสุดท้ายแล้ว

“ฮ่าๆ ดูเหมือนว่าผลจะเป็นไปตามที่ข้าคาดไว้ที่พวกเจ้าสองคนมาถึงที่นี่” หมัวเฮอโยวมองไปที่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางขณะที่ยิ้ม “ในบรรดาร้อยกว่าคน มีเพียงเจ้าสามคนเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”

เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางรู้ว่าบุคคลที่สามที่หมัวเฮอโยวพูดถึงก็คือซื่อหลัว

“ถ้างั้นก็ต้องขอขอบคุณที่ให้ความคาดหวังสูงกับเรานะ” เยี่ยฉิงกระชับหอกสีแดงเข้ม เสียงหัวเราะช่างไม่แยแส แต่ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาไม่กลัวหมัวเฮอโยวสักนิด

สำหรับทัวป๋าชางกลับนิ่งเงียบโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ บนใบหน้า

“แต่ซื่อหลัวยังมาไม่ถึงที่นี่ ดังนั้นเขาต้องเจอกับศัตรูทรงพลังอยู่แน่” เยี่ยฉิงสังเกตว่าจอมยุทธ์คนที่สี่ยังไม่ปรากฏตัว เขาจึงอดจะดูประหลาดใจไม่ได้

“ต้องเป็นมู่เฉินคนนั้นแหละ” ทัวป๋าชางแสดงความคิดเห็น

พวกเขาทราบข้อมูลของมู่เฉินดีและรู้ว่าคนที่มีอันดับจี้ตามหลังพวกเขามีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

“แม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ก็ยังขาดหลายส่วนที่จะเอาชนะซื่อหลัวได้” หมัวเฮอโยวหัวเราะ เขาเคยเห็นฝีมือการต่อสู้ของมู่เฉิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่เขาไม่รู้สึกว่ามู่เฉินจะเอาชนะซื่อหลัวได้

แม้ว่าเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางจะระวังตัว แต่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาตระหนักดีถึงความสามารถของซื่อหลัว แม้กระทั่งตัวพวกเขาก็ยังไม่มั่นใจในการเอาชนะซื่อหลัว

ดังนั้นแม้ว่ามู่เฉินจะมีความสามารถ แต่ด้วยขุมพลังขั้นหลิงระยะกลางก็น่าจะไม่สามารถเอาชนะซื่อหลัวที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาได้

ฮึ่ม!

เมื่อสิ้นเสียงพูดคุย มิติก็แปรปรวน ทันใดทั้งสามก็มองไปทันที

ภายใต้การจ้องมอง มิติบิดเบี้ยวก็เผยภาพเงาอ่อนเยาว์ขึ้น…

สายตาของทั้งสามจับจ้องมองไปที่ใบหน้าคนมาใหม่ชั่วครู่ ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของหมัวเฮอโยวจะแข็งค้าง แม้แต่เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางก็หดดวงตาขณะมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกใจ

คนที่มาใหม่ก็คือมู่เฉิน เขามองไปที่หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง สายตาก็วูบไหวเล็กน้อยก่อนที่จะถอยออกไปในระยะที่ปลอดภัย…

“เจ้าเอาชนะซื่อหลัวได้เรอะ?” หมัวเฮอโยวขมวดคิ้วขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน

“แปลกตรงไหน?” มู่เฉินกวาดสายตามองไปอย่างไม่แยแส

“เฮ้ น่าสนใจดี… ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าต่ำอยู่ตลอด” รอยยิ้มขี้เล่นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอโยวขณะมีแสงเย็นวาบในดวงตา เขาไม่ชอบความรู้สึกของสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม

มู่เฉินไม่ได้ใส่ใจอีกฝ่าย แต่มองไปที่ภูเขาสีแดงเข้ม เขาสัมผัสได้ถึงแรงดูดที่ไม่อาจบรรยายได้…

รัศมีอมตะที่เปล่งออกมาจากภูเขานั้นเหมือนกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ทุกประการ

นี่ทำให้หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวแรง ‘ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานซ่อนอยู่ในภูเขาลูกนั้นงั้นหรือ?’

“เจ้าเดาถูก ร่างมหาเทพนิรันดร์น่าจะอยู่ในภูเขานั้น” มู่เฉินมองไปก็พบว่าเยี่ยฉิงเป็นคนพูดนั่นเอง

ตู้ม!

เมื่อเยี่ยฉิงพูดจบ ภูเขาสีแดงเข้มก็สั่นสะท้าน รอยแยกขนาดใหญ่บนภูเขาแตกออกก่อนที่จะค่อยๆ กระจายออกไปราวกับว่าภูเขากำลังจะแยกออกจากกัน

รอยแยกเหล่านั้นเปล่งรัศมีอมตะที่ไม่อาจบรรยายได้ นั่นเป็นความอมตะที่แท้จริง แม้ว่าสวรรค์และโลกจะแตกสลาย มันก็ยังจะคงอยู่ต่อไป

รัศมีสีม่วงทองเปล่งออกมาจากเบื้องหลังมู่เฉิน หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของพวกเขาถูกเร้าออกมาโดยไม่อาจควบคุมได้ ราวกับว่าพวกมันรู้สึกถึงแรงดูดทรงพลัง

สายตาของมู่เฉินเดือดพล่านขณะมองไปที่ภูเขา เขาสัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าเมื่อภูเขาแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถือกำเนิดขึ้น…

แต่เมื่อหัวใจของมู่เฉินเต็มไปด้วยความปรารถนา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่จ้องมองมา เขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายทันทีและมองไปที่หมัวเฮอโยว

ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงความศัตรูของเยี่ยฉิงและทัวป๋าชางเช่นกัน เนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์กำลังจะปรากฏขึ้น แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้รับไป…

“ทุกคนน่าจะรู้ว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป…” สายตาหมัวเฮอโยววูบไหวความเย็นเยือกราวกับอสรพิษร้ายพร้อมกับน้ำเสียงอัดแน่นด้วยไอสังหาร “ดังนั้นเราไม่ควรที่จะลดจำนวนคู่แข่งลงก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏรึ?”

สายตาของมู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางกะพริบวาบขณะที่ถามขึ้นในเวลาเดียวกัน “เจ้าต้องการอะไร?”

หมัวเฮอโยวเหยียดสองนิ้วออกมา รอยยิ้มโหดร้ายปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปาก “แบ่งออกเป็นสองกลุ่มและกำจัดคู่ต่อสู้ของเรา”

ขณะที่พูดสายตาเย็นชาก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน ชัดว่าตัวเขากำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว

เยี่ยฉิงขมวดคิ้วพูดว่า “เจดีย์ไม่ได้ต้องการตัดใครออกแล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนที่นี่มีคุณสมบัติพอที่จะได้เห็น…”

หมัวเฮอโยวยิ้มตาหยี “แต่ข้าไม่ได้คิดในมุมมองเดียวกัน”

บรรยากาศบนแท่นเย็นเยือกลง เจตนาฆ่าพลุ่งพล่านไปหมด

เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางมองไปที่มู่เฉิน พวกเขารับรู้แล้วว่าหมัวเฮอโยวกำลังจ้องหาเรื่องอีกฝ่าย…

ภายใต้สายตาทั้งสอง มู่เฉินก็ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ บนใบหน้า เขามองไปที่หมัวเฮอโยวพลางยิ้มอ่อน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะมั่นใจมากในการไล่ข้าออกไปก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเผยออกมา?”

หมัวเฮอโยวตอบกลับด้วยเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติพอที่จะยืนต่อหน้าข้าเพราะเอาชนะซื่อหลัวได้ เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้า “ถ้าเจ้าอยากเล่นฆ่าเวลา ข้าก็จะเล่นด้วย”

รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมหมัวเฮอโยวขณะตอบว่า “ข้ากลัวว่าเจ้าจะเล่นจนตัวเองตายนะสิ”

มู่เฉินคลี่รอยยิ้ม ขยับตัวกลายเป็นริ้วแสงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

มองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา หมัวเฮอโยวก็เคลื่อนไหวไล่ตามไปทันที

เยี่ยฉิงลังเลชั่วครู่ก่อนที่หอกสีแดงเข้มในมือจะชี้ไปที่ทัวป๋าชาง “สิ่งที่เขาพูดถูกต้อง มีเพียงคนเดียวที่จะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีที่ดีในการกำจัดคู่แข่ง”

ทัวป๋าชางพยักหน้าคว้าดาบปลายหัก เส้นผมปลิวไสวไปในสายลมพร้อมกับรัศมีแหลมคมกวาดออกไป ทิ้งรอยไว้ในพื้นที่โดยรอบ

“ข้าอยากลองทักษะหอกอสุราของพี่เยี่ยมานานแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ…”

“พวกเขาสู้กันอีกแล้ว!”

เมื่อเหล่าผู้ชมเห็นภาพในกระจกสองบานก็มีไฟลุกโชนในดวงตา เนื่องจากทั้งสี่เป็นตัวแทนจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในงานชุมนุมนิรันดร์ครั้งนี้แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นหมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงหรือทัวป๋าชาง พวกเขาล้วนมีชื่อเสียงแกร่งกร้าว แม้แต่มู่เฉินที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงก็สามารถเอาชนะซื่อหลัวได้

ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ใกล้จะเผยออกมา ก็ถึงเวลาที่ทั้งสี่คนจะเปิดฉากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่…

“หมัวเฮอโยวน่ารังเกียจนัก!”

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเย็นชาลง นางบอกได้เลยว่าหมัวเฮอโยวเล็งเป้ามาที่มู่เฉิน โดยเฉพาะมู่เฉินเพิ่งเสร็จศึกกับซื่อหลัว กองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่สามารถออกรบได้ในตอนนี้ มิฉะนั้นแม้แต่หมัวเฮอโยวก็คงไม่กล้าเสี่ยง

“ไม่ต้องกังวล” ฝูถูเฉวียนปลอบใจ เขามองไปที่ภาพเงาอ่อนเยาว์ในกระจก “ลูกชายเจ้ามีกลยุทธ์หลากหลายพร้อมกับเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้าไม่เชื่อว่ากองทัพมังกรดำเป็นไพ่ตายใบเดียวของเขา…”

“เจ้านั่นแหละเจ้าเล่ห์”

ชิงเหยี่ยนจิ้งตอบอย่างไม่พอใจ แต่จากนั้นก็สงบใจลงได้ แม้ว่ามู่เฉินจะใช้กองทัพมังกรดำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องมีความมั่นใจในการต่อสู้ถึงได้กล้ารับคำท้า

หมัวเฮอเทียนมองไปที่กระจกเช่นกัน ส่วนผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอที่เห็นหมัวเฮอโยวและมู่เฉินประจันหน้ากันก็ต่างส่ายหัว

“มู่เฉินช่างยโสโอหัง ไม่ต้องพูดถึงกองทัพมังกรดำได้รับบาดเจ็บหนัก แม้ว่าเขาจะมีมันในตอนนี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับหมัวเฮอโยว”

หมัวเฮอเทียนตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “หมัวเฮอโยวทำได้ดีมาก”

พวกเขาเห็นพ้องต้องกันเต็มที่ที่หมัวเฮอโยวจะกำจัดคู่แข่งก่อนที่ร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏ ซึ่งจะดีมากถ้าสามารถกำจัดคู่แข่งทั้งสามคนได้ กรณีนี้ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะมีทางเลือกเดียวก็คือหมัวเฮอโยว

“แต่เวลากระชั้นชิดนัก ข้าเกรงว่าร่างมหาเทพนิรันดร์จะปรากฏขึ้นในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป” ผู้อาวุโสคนหนึ่งมองไปที่ภูเขาสีแดงเข้มในกระจก

หมัวเฮอเทียนสวมรอยยิ้มเย็นชาขณะมองการเผชิญหน้าผ่านกระจก

“เวลาเท่านั้นก็เกินพอที่หมัวเฮอโยวจะถีบเจ้าเด็กนั่นออกจากเจดีย์วั้นกู่แล้ว…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท