หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1500 กายานิรันดร์

บทที่ 1500 กายานิรันดร์

“ของขวัญ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบด้วยความตื่นเต้น

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่คลี่ยิ้มพลางโบกมือมิติโดยรอบก็เปลี่ยนไป ที่นี่ราวกับท้องฟ้าสีทองที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวโบราณ ดวงดาวพริบพราวแสงนับไม่ถ้วน

หมอกสีทองเข้มลอยอวลไปทั้ว ทั้งลึกลับและอัศจรรย์ใจ ให้ความรู้สึกอมตะ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากแก่นอมตะ

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นเจ้าของคนใหม่ของร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ยังไม่สามารถดึงพลังออกมาอย่างเต็มที่” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่บอกกล่าว

มู่เฉินพยักหน้ากับคำพูดเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถสั่งการร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เมื่อก่อนหน้า แต่เขาก็เหมือนคนนอกที่ยังไม่ได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์

แต่ก่อนเขาสามารถรวมเป็นหนึ่งกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ ซึ่งจะปลดปล่อยพลังที่เหนือล้ำยิ่งขึ้น

ตามการคาดเดา ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตอนนี้สามารถเทียบได้กับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นปลายสุด แต่ชัดว่าพลังระดับนี้ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดของมัน

เขาต้องการควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เช่นเดียวกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกว่ามีกำแพงกั้นอยู่

“นั่นเป็นเพราะตอนนี้กายของเจ้ายังเป็นแค่กายเนื้อธรรมดา ดังนั้นจึงไม่สามารถเชื่อมโยงกับร่างมหาเทพนิรันดร์ และทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกมา”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้มขณะพูดต่อ “เจ้ายังขาดขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไป”

“ขั้นไหน?” มู่เฉินถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“การชำระร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์ เพื่อให้เกิดการหลอมรวมที่สมบูรณ์แบบกับร่างมหาเทพนิรันดร์” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ตอบกลับ

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน เขาเคยฝึกฝนวิชาพลังกาย ดังนั้นจึงรู้ว่าการได้รับกายานิรันดร์ยากเพียงใด ซึ่งเป็นระดับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดายังไม่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ

ด้วยกายานิรันดร์ ในอนาคตแม้ว่าจะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง มู่เฉินก็สามารถรับกระบวนท่าไว้ได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว

“ผู้อาวุโส ข้าจะชำระร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์ได้อย่างไร?” มู่เฉินถามด้วยดวงตาที่ลุกโชน

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้ม “ง่ายมาก โดยธรรมชาติก็ต้องใช้แก่นอมตะที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ด้วยแก่นอมตะจำนวนมากที่นี่ ส่วนหนึ่งก็มีไว้สำหรับเจ้าของใหม่เพื่อชำระพลังกายของเขานั่นเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่จะพูดแบบสบายๆ แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ยากแค่ไหน แก่นอมตะเป็นสิ่งที่สามารถหาได้จากร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้น การพยายามรวบรวมจำนวนมากจำเป็นต้องมีการสกัดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์นับไม่ถ้วน หากไม่ใช่เจดีย์วั้นกู่เก็บรวบรวมไว้ ความพยายามชำระร่างกายของเขาให้เป็นกายานิรันดร์ก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น

“แต่การชำระกายานิรันดร์เป็นการสร้างขึ้นใหม่ในทางปฏิบัติ ความเจ็บปวดไม่อาจพรรณนาได้ หากเจ้าไม่สามารถทนรับได้ ก็ต้องใช้เวลานานในอนาคตเพื่อบรรลุเป้าหมาย” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ย้ำเตือน

มู่เฉินถามด้วยสายตาแหลมคมขึ้น “ต้องใช้เวลาในการชำระนานแค่ไหน?”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้มพลางยื่นมือออกไป “โดยประมาณน่าจะต้องใช้เวลาห้าปี”

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นเข้าปอด นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ห้าปีเต็มหรือ? ถ้าอยู่ที่อื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอ ถ้าเขาอยู่ที่นี่นานเกินไป เขากลัวว่าเผ่าหมัวเฮอจะทำอะไรบางอย่าง

ดังนั้นคิ้วมู่เฉินจึงขมวดเข้าหากันแน่น

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เจ้าไม่สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างภายในกับภายนอกหรือ?” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อถูกเตือนความจำ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปพลางมองไปที่ท้องฟ้าทางช้างเผือกด้วยความตกใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เวลาที่นี่ต่างออกไปหรือ?”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่พยักหน้าตอบว่า “ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ชะลอเวลาในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นการอยู่ที่นี่ห้าปีเท่ากับครึ่งปีภายนอกเท่านั้น”

เมื่อได้ยินมู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเนื่องจากเวลานั้นเขายอมรับได้ ทว่าเขาก็ยังตกใจเกี่ยวกับวิธีนี้ สมกับเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาพันภพในสมัยโบราณจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดช่วยข้าสร้างกายานิรันดร์ด้วย” มู่เฉินประสานมือด้วยมารยาท

นี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับเขา เนื่องจากกายานิรันดร์เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ด้วยพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ เขาจะสามารถก้าวขึ้นไปในอันดับต้นๆ ในแง่ของความทนทึก

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่รับการคารวะจากมู่เฉินจากนั้นก็โบกมือให้ รัศมีสีม่วงทองไร้ขอบเขตกวาดไป ก่อตัวเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่

ฟู่

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่อ้าปากพ่นเปลวไฟครอบคลุมหม้อเอาไว้ อุณหภูมิทำให้มิติบิดเบี้ยวไปเลย

“ลงหม้อ” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่กล่าวสั้นๆ

เมื่อมองไปที่หม้อกลั่นแดงจัด คิ้วของมู่เฉินก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่เขายังรู้สึกเจ็บแปลบบนผิวกายจากอุณหภูมิที่น่ากลัว เขานึกได้เลยว่าจะต้องทนกับความเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อเข้าไป

ทว่ามู่เฉินไม่ใช่คนอ่อนแอ ดังนั้นหลังจากตั้งสติสักครู่เขาก็ไม่ลังเลกระโจนเข้าไปในหม้อทันที

ชี่ ชี่!

ทันทีที่เข้าไปเสื้อผ้าและเส้นผมก็ไหม้เป็นเถ้าถ่าน ร่างเขาเปลือยเปล่าและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง มีร่องรอยการละลายกระจายออกไป

ความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้ถาโถมเข้ามา

ร่างกายของมู่เฉินสั่นสะท้านจากความเจ็บปวด แต่เขาก็ปกป้องสติเอาไว้มั่น เขารู้ดีว่าถ้าจิตใต้สำนึกถูกเผาผลาญไปด้วยการชำระพลังกายก็จะล้มเหลว

ตัวเขาเดินบนเส้นทางความเป็นความตายนับตั้งแต่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยหลิงจนประสบความสำเร็จในวันนี้… และตอนนี้ความฝันของเขาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ดังนั้นเขาจะต้องยืนหยัดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ความมุ่งมั่นวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปิดตา ปล่อยให้อุณหภูมิสูงห่อหุ้มร่างกายเอาไว้

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นภาพนี้ก็พยักหน้า ในเมื่อจอมยุทธ์คนนี้ถูกเลือกโดยร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ต้องเป็นคนที่มีปณิธานแข็งแกร่ง

“นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หวังว่าเจ้าจะผ่านพ้นไปได้”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่พึมพำ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเส้นใยอมตะพุ่งลงไปในหม้อกลั่นหลอมรวมเข้ากับร่างของมู่เฉินเมื่อละลาย

บรรยากาศภายนอกเจดีย์วั้นกู่อึมครึม

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอมองไปที่เจดีย์พลางกระซิบว่า “ทำไมไอ้เด็กนั่นยังไม่ออกมา? เขาตั้งใจจะซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์ตลอดรึไง?”

ท่าทางของหมัวเฮอเทียนไม่แยแสราวกับว่ากำลังพักผ่อน มีเพียงริมฝีปากที่ขยับพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น “เราจะรอ ไม่ว่ามันจะซ่อนตัวนานแค่ไหน”

เหล่าผู้อาวุโสต่างพยักหน้าเข้าใจ เผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นเวลาหลายหมื่นปี ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้มู่เฉินเอาออกไป

“ข้าจะดูซิว่ามันจะซ่อนตัวได้นานแค่ไหน… เมื่อไรที่มันปรากฏตัวก็ต้องส่งมอบร่างมหาเทพนิรันดร์มาให้แต่โดยดี!”

ที่ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เฝ้ารอให้เวลาผ่านไป ภายใต้การเผชิญหน้าของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เหล่าผู้ชมก็ไม่ได้ไปไหน ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่กลับกำลังกระจายไปทั่วมหาพันภพด้วยความเร็วเหนือแสง

การประจันหน้าของสองเผ่าโบราณอาจนำมาสู่สงคราม ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่ทวีปหมัวเฮอแห่งนี้

เวลาไหลผ่านไปสามเดือนในพริบตา

ในช่วงเวลาสามเดือน จำนวนผู้คนที่รวมตัวกันในเมืองวั้นกู่กลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง พร้อมกับข่าวแพร่กระจายออกไป

การเผชิญหน้าของสองเผ่าโบราณช่างน่าตกใจนัก ครั้งล่าสุดที่เกิดศึกใหญ่คือเผ่าหมัวเฮอกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว…

แต่ตอนนั้นหมัวเฮอเทียนแพ้เซียวเหยียนจนต้องล้มเลิกความทะเยอทะยาน แต่คราวนี้ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดจะสามารถยับยั้งจอมยุทธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยท้าทายอำนาจของเทพจักรพรรดิอัคคีได้

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้โลกสั่นคลอนแน่

ขณะที่บรรยากาศนอกเจดีย์ตึงเครียด

ในเจดีย์ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วงทองกลับบิดเบี้ยวภายใต้อุณหภูมิสูง

นับเวลาของที่นี่ก็ผ่านไปประมาณสามปีแล้ว

ในสามปีนี้ไฟในหม้อกลั่นไม่เคยหยุดโหมกระหน่ำสักครั้ง

เปลวไฟสีม่วงทองห่อหุ้มร่างเงาในหม้อกลั่นไว้ แต่เมื่อมองดีๆ จะพบว่านั่นเป็นร่างที่ไม่มีเนื้อหนัง เหลือเพียงโครงกระดูกนั่งเงียบๆ อยู่ในนั้น

ภายใต้ชำระเข้มข้นโครงกระดูกนี้ได้กลายเป็นสีม่วงทองที่เอิบอาบไปด้วยรัศมีนิรันดร์

ด้านนอกหม้อกลั่นจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ลืมตาขึ้น ถ้าเขาไม่รู้สึกถึงเส้นสายชีวิตที่ซ่อนอยู่ภายในโครงกระดูกนั้น เขาคงคิดว่ามู่เฉินจบชีวิตลงในเปลวไฟแล้ว

“ไม่เลว…”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ชมเชย ความมุ่งมั่นของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาในช่วงสามปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาคงจะหมดสติไปจากความเจ็บปวดแล้ว

“ต่อไปจะเป็นกระบวนการสร้างเนื้อหนังใหม่เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นนิรันดร์”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท