หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1493 ดาบเทวะร่วงหล่น

บทที่ 1493 ดาบเทวะร่วงหล่น

ตู้ม!

เมื่อความผันผวนของคลื่นหลิงรุนแรงระเบิด ร่างเงาทั้งห้าก็โรมรันพันตู ทุกการปะทะกันทำให้ทั้งมิติสั่นสะเทือนราวกับว่าขอบฟ้ากำลังจะแยกออกจากกัน

แต่คำว่าโรมรันพันตูดูเหมือนจะไม่ใช่คำที่เหมาะสมนัก เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้คือสี่จอมยุทธ์พยายามจะหลบหนีโดยมีร่างสีทองเข้มไล่ตามมา ทุกการโจมตีทั้งหมดของพวกเขาถูกฉีกขาดยับเยิน…

ทั้งสี่นั้นก็คือมู่เฉิน หมัวเฮอโยว เยี่ยฉิงและทัวป๋าชาง

ตอนนี้พวกเขาสู้กับร่างสีทองเข้มลึกลับไปแล้วหนึ่งก้านธูป ซึ่งทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสความเลวร้ายแสนสาหัส พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหลบหนี เมื่อครู่หมัวเฮอโยวที่รู้สึกกรุ่นโกรธขึ้นมาจากการถูกไล่ฆ่ายังปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกมา แต่ผลที่ได้คือแขนข้างหนึ่งถูกฟันทิ้งโดยร่างสีทองเข้ม…

หลังจากเหตุการณนี้เกิดขึ้นก็ไม่มีใครกล้าปะทะซึ่งหน้าและทำเพียงหนีได้เท่านั้น แต่โชคดีที่ร่างสีทองเข้มจะฉีกมิติออกเป็นชิ้นๆ เป็นระยะเพื่อดึงแก่นอมตะออกจากเจดีย์วั้นกู่ซึ่งทำให้พวกเขามีเวลาหายใจบ้าง

แต่พวกเขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาวที่ดี

นั่นเพราะเมื่อใดก็ตามที่ร่างสีทองเข้มดูดซับแก่นอมตะ ความผันผวนที่เปล่งออกมาก็จะน่ากลัวยิ่งขึ้น…

เห็นได้ชัดว่าร่างสีทองเข้มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

ยามนี้ทุกคนจึงมีสีหน้าปูเลี่ยน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเลือกออกจากเจดีย์วั้นกู่ได้ แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าตนเองจะต้องสูญเสียโอกาสในการได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ตลอดกาลหากจากไป ดังนั้นจึงไม่มีใครเลือกจะจากไปก่อน

โฮก!

ร่างสีทองเข้มดูดซับแก่นอมตะอีกชุดหนึ่งจากมิติ รัศมีก็เข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน แม้แต่ความกดดันที่เอิบอาบจากร่างกายก็ทำให้มิติโดยรอบแตกร้าวราวกับแก้ว

มันปล่อยเสียงคำรามออกมา รูม่านตาสั่นระริกด้วยความสับสน เสียงไร้อารมณ์ดังก้อง “จงอยู่ที่นี่เพื่อรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินนี้!”

เมื่อได้ยินเสียงที่อัดแน่นด้วยเจตนาฆ่า พวกหมัวเฮอโยวก็ไม่สนใจ รีบหนีไปอีกครั้ง

ทว่าหัวใจของมู่เฉินกลับสั่นสะท้าน เพราะร่างสีทองเข้มจะเปล่งเสียงคำรามเหมือนเดิมทุกครั้งหลังจากกลืนกินแก่นอมตะไป

แม้ว่าเสียงคำรามจะพุ่งตรงมาที่พวกเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการมู่เฉินรู้สึกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ร่างสีทองเข้มต้องการจะพูด มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยการต่อต้านในจิตใจของมัน

“รวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน… ฟ้าดินนี่หมายถึงเจดีย์วั้นกู่หรือ?” สายตาของมู่เฉินวูบไหวขณะที่พึมพำในใจ

ตู้ม!

ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังก้องขึ้นข้างหลัง มู่เฉินกวาดสายตาไปมองก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรังสีสีทองเข้มพาดผ่านขอบฟ้าเข้ามา

“ความเร็วมันเพิ่มขึ้นแล้ว!”

ปีกหงส์ฟ้าที่อยู่ด้านหลังมู่เฉินกระพือก่อนที่ร่างเขาจะหายไป เขาเร้าความเร็วถึงขีดสุด

ทันทีที่มู่เฉินหายตัวไป มือสีทองเข้มก็แทงทะลุตรงหน้าอกของภาพมายาพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่น่ากลัว

ร่างสีทองเข้มคำรามหลังจากเห็นว่าพลาดเป้าก็ทะยานออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้ไล่ตามมู่เฉิน แต่เป็นทัวป๋าชางที่มีความเร็วช้าที่สุดในกลุ่ม

“ดอกบัวอมตะ!”

เมื่อเห็นร่างสีทองเข้มตามมา ใบหน้าของทัวป๋าชางก็เปลี่ยนไป รหัสเทพอมตะนับไม่ถ้วนแผ่ออกก่อตัวเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ปกป้องเขาไว้ภายใน

ชี่!

แต่คราวนี้ดอกบัวอมตะไม่สามารถขัดขวางร่างสีทองเข้มได้อีกต่อไป มันฉีกดอกบัวออกด้วยพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้

ปัง!

เมื่อดอกบัวอมตะระเบิด ทัวป๋าชางก็พยายามที่จะถอยหนี แต่มือสีทองกลับยื่นออกมาจับหัวเขาแน่น

ความกลัวริบหรี่ในดวงตาของทัวป๋าชาง เขาแผดเสียงโดยไม่ลังเล “ข้าถอนตัว!”

ตามกฎของเจดีย์วั้นกู่ ผู้เข้าร่วมสามารถถอนตัวออกไปได้โดยที่เจดีย์จะส่งพวกเขาออกไปทันที ตอนแรกทัวป๋าชางยังรู้สึกไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจมีอารมณ์อื่นได้อีก เพราะชีวิตสำคัญที่สุด

หลังจากตะโกนออกไป ทัวป๋าชางก็ผ่อนคลายร่างกายรอให้มิติบิดเบี้ยว แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยยิ้มน่ากลัวบนริมฝีปากของร่างสีทองเข้ม ซ้ำการบิดเบือนของมิติก็ไม่เกิดขึ้น

ทันใดนั้นความเย็นยะเยือกก็พุ่งจากปลายเท้ามาที่ศีรษะ อึดใจเขาก็คิดจะปลดปล่อยคลื่นหลิงในร่างกาย

แกร๊ก!

แต่เมื่อเขากำลังหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกาย พลังงานรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อก็พุ่งเข้าสู่ร่างกายเขาซึ่งแทบจะระเบิดหัวของเขาในทันที…

ปัง ปัง!

เสียงดังก้อง ร่างทัวป๋าชางก็ระเบิดออกเป็นหมอกเลือด ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่อยู่ข้างหลังเขาก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความโศกเศร้า ก่อนที่จะระเบิดเป็นประกายแสงสีม่วงทอง…

พลังดูดเคลื่อนไหว ร่างสีทองเข้มกลืนกินประกายสีม่วงทองเข้าไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เมื่อมู่เฉิน หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงเห็นฉากนี้ ความหวาดผวาก็พล่านบนใบหน้า

พวกเขาสัมผัสได้ว่าทัวป๋าชางถูกฆ่าตายอย่างแท้จริง!

“ทำไมเขาออกจากเจดีย์วั้นกู่ไม่ได้?!” ใบหน้าของเยี่ยฉิงไม่น่าดู เนื่องจากได้ยินทัวป๋าชางตะโกนขอถอนตัวเต็มสองหู ทว่าเจดีย์วั้นกู่กลับไม่ส่งเขาออกไป

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวก็ดูเคร่งขรึม มองไปที่ร่างสีทองเข้มพร้อมกับความกลัวในดวงตา

“ข้ากลัว…ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นกับเจดีย์วั้นกู่” มู่เฉินกล่าว สถานการณ์เหนือการควบคุมตั้งแต่ร่างสีทองเข้มปรากฏขึ้น บางทีอาจเป็นเพราะมันทำให้เจดีย์วั้นกู่ไม่สามารถส่งใครออกไปได้แล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงก็หดดวงตา ถ้าพวกเขาไม่สามารถออกจากเจดีย์ ไม่ได้แปลว่าพวกเขาต้องติดอยู่ที่นี่หรือ?

เมื่อคิดแล้วใบหน้าของทั้งสองก็มืดครึ้มลง

เวลาเดียวกันความปั่นป่วนก็ปะทุขึ้นด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ ทุกคนตกตะลึงไปเมื่อเห็นทัวป๋าชางถูกฆ่า หัวใจผู้คนต่างเย็นเยือกลง

นั่นคือจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายนะ ถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาอย่างนี้เลยเรอะ?

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งเห็นฉากนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง นางบอกได้เลยว่าการถอนตัวของทัวป๋าชาง ล้มเหลว… อึดใจสายตาบาดลึกก็กวาดไปที่หมัวเฮอเทียน “เจดีย์วั้นกู่มีปัญหาเรอะ?”

หมัวเฮอเทียนพยักหน้าด้วยใบหน้าไม่น่าดู “อย่ามามองข้าแบบนั้น เผ่าหมัวเฮอของข้าไม่ได้ควบคุมเจดีย์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำอะไรได้”

ชิงเหยี่ยนจิ้งกำหมัดแน่นพร้อมกับแสงร้ายกาจวูบไหวในนัยน์ตา ร่างสีทองเข้มทรงพลังเกินไป มู่เฉินไม่สามารถต่อสู้ได้แน่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปลูกชายนางตายแน่

“งั้นก็ทำลายเจดีย์วั้นกู่ซะ!” ชิงเหยี่ยนจิ้งเค้นเสียงเย็นชา

“ไม่ได้!” หมัวเฮอเทียนค้านขณะสวนกลับ “ร่างมหาเทพนิรันดร์ต้องได้รับผลกระทบหากเจดีย์ถูกทำลาย ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้?”

“ถ้าร่างมหาเทพนิรันดร์ทำลายได้ง่ายขนาดนั้น ก็ไม่ใช่ร่างมหาเทพปฐมกาลแล้ว!” ชิงเหยี่ยนจิ้งหัวเราะเยาะ

“ไม่ได้! เผ่าหมัวเฮอของข้าปกป้องมันมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ดังนั้นเราจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับมัน!” หมัวเฮอเทียนไม่ยอมถอย

“ถ้างั้นข้าจะลงมือเอง!”

“หึ ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอของข้า ไม่ใช่เผ่าฝูถูของเจ้า!”

“งั้นก็มาลองกันสักตั้งสิ!”

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสองคนยืนประจันหน้ากัน ความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ฟ้าดินมืดมิด ทุกคนตัวสั่นกับภาพนี้ หากทั้งสองต่อสู้กันทุกสรรพสิ่งภายในรัศมีล้านลี้ก็คงเหลือเพียงเถ้าถ่าน…

หลังจากร่างสีทองเข้มกลืนกินร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของทัวป๋าชาง

รัศมีกระจ่างชัดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทบทวี ก่อนที่มันจะเหลียวมองไปที่มู่เฉิน หมัวเฮอโยวและเยี่ยฉิงด้วยความโลภในดวงตา

ตู้ม!

ร่างกายของมันสั่นสะท้านก่อนที่จะทะยานไปหาหมัวเฮอโยวที่แข็งแกร่งที่สุด มันรู้ว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของอีกฝ่าย

เมื่อหมัวเฮอโยวเห็นสถานการณ์นี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปรุนแรง รีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว

แต่เวลานี้ความเร็วของร่างสีทองเข้มเพิ่มขึ้นมาก ไม่ว่าหมัวเฮอโยวจะพยายามหลบหนีแค่ไหนระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ลดลงเรื่อยๆ…

ไม่กี่ลมหายใจหมัวเฮอโยวก็รู้สึกถึงพายุรุนแรงอยู่ข้างหลัง

เมื่อเห็นร่างสีทองเข้มเข้ามาใกล้ทางมุมหางตา หมัวเฮอโยวก็กวาดสายตาเย็นชาไปที่มู่เฉิน ก่อนเข็มทิศที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกซึ้งจะปรากฏขึ้นในมือ

“เข็มทิศแปดกายาสวรรค์ ทักษะปรวนแปร!”

เข็มทิศเปล่งรัศมีเอิบอาบไปทั่ว ขณะที่ล้อมรอบร่างสีทองเข้ม

ตอนที่หมัวเฮอโยวนำเข็มทิศออกมา มู่เฉินก็ตื่นระวังอย่างมาก เนื่องจากเขารู้สึกไม่สบายใจ เขารีบถอยออกไปทันที

วาบ!

แต่เมื่อเขากำลังจะถอยร่างสีทองเข้มที่กำลังไล่กวดหมัวเฮอโยวก็หายวับ จากนั้นมู่เฉินก็ต้องหดดวงตาเมื่อมองเห็นมิติแยกออกเบื้องหน้าเขา ร่างสีทองเข้มพุ่งออกมาจ้องเขาเขม็ง

เมื่อมองร่างสีทองเข้มที่อยู่ใกล้ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นสีมืดคล้ำ

‘ไอ้ระยำหมัวเฮอโยว มันบังอาจวางแผนลอบกัดข้า!’

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท