หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1485 ฝ่ามือเทพอรหันต์

บทที่ 1485 ฝ่ามือเทพอรหันต์

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันบนมหาสมุทร พวกเขาก็ปลดปล่อยคลื่นพลังที่น่ากลัวซึ่งระเบิดออกจากร่างกายทำให้เกิดการยกคลื่นกระแทกขึ้นบนผิวน้ำ กระทั่งมหาสมุทรที่อยู่ใต้เท้าก็สั่นสะท้าน

โครงร่างเพรียวบางของซื่อหลัวขยายใหญ่ขึ้นราวกับยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยตุ่มสีทองซึ่งเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

มู่เฉินทั้งสามยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ผลึกรัศมีไหลเวียนออกมาจากร่าง

“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของวิชาสามพิสุทธิ์มานานแล้ว วันนี้ขอลองหน่อยเถอะ!” เสียงของซื่อหลัวหนักแน่นก้องดังราวกับฟ้าร้อง

รัศมีตกผลึกบนร่างมู่เฉินทั้งสามก็หนาแน่นขึ้น ชัดว่าพวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเต็มที่

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ มู่เฉินไม่คิดออมมือ

ตู้ม!

เมื่อทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนสายตากัน ทันใดนั้นซื่อหลัวก็เคลื่อนไหวกระทืบฝ่าเท้าลงไป มหาสมุทรที่อยู่ใต้เท้าเขาพังทลายลง ขณะที่ร่างแสงของเขาทะยานออกไปปรากฏต่อหน้ามู่เฉิน

พร้อมกับความผันผวนทำลายล้าง กำปั้นทองคำก็ซัดลงมา มิติถึงกับพังทลายลงราวกับกระจกแตกเป็นเสี่ยงๆ

เผชิญหน้าการโจมตีที่ดุร้ายของซื่อหลัว มู่เฉินทั้งสามก็ออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกัน กำปั้นของพวกเขาที่ปกคลุมไปด้วยผลึกคลื่นหลิงปะทะกับกำปั้นทองคำ

ตึง!

เกิดการระเบิดดังขึ้นพร้อมกับปากปล่องขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นบนมหาสมุทร ก่อนที่น้ำทะเลจะไหลเทไปอย่างรุนแรง ทว่าก็ไม่สามารถเติมปากปล่องได้เป็นเวลานาน

ชี่!

มู่เฉินและร่างรองทั้งสองตัวสั่นขณะที่ถอยกลับ แต่ครั้งนี้ซื่อหลัวต้านไม่ได้เหมือนก่อนหน้า ท้ายที่สุดตัวเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูสามคน ดังนั้นเขาจึงถูกบีบให้ถอยร่นหนึ่งร้อยก้าวจากคลื่นหลิงป่าเถื่อน

“เยี่ยม! สมกับเป็นวิชาสามพิสุทธิ์! พลังที่รวมกันไม่ใช่สิ่งที่คนสามคนจะเปรียบได้!”

ดวงตาของซื่อหลัวเต็มไปด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงสามคน แม้แต่ขั้นเซียนระยะกลางสามคนก็ไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ แต่เขาเสียเปรียบในการแลกกระบวนท่าครั้งก่อน เห็นได้ชัดถึงความลึกซึ้งของวิชาสามพิสุทธิ์ การรวมร่างหลักและร่างรองสองร่างไม่ง่ายอย่างที่คนสามคนรวมจุดแข็งเข้าด้วยกัน

ตู้ม!

ซื่อหลัวพุ่งออกไปอีกครั้ง มู่เฉินทั้งสามก็ทะยานออกไปพร้อมกับภาพซ้อนปะทะกับซื่อหลัว

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินทั้งสาม ซื่อหลัวก็ไม่กลัว ร่างกายเปล่งรัศมีแสงสีทอง ระเบิดพลังออกมา หมัด-เข่า-ศอกวาดกระบวนท่าออกมานับไม่ถ้วนขณะที่ปะทะกัน

ทั้งสี่โรมรันพันตูต่อสู้บนมหาสมุทร เหล่าผู้ชมไม่สามารถมองเห็นกระบวนท่าได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าการเผชิญหน้านั้นน่ากลัวเพียงใดจากคลื่นกระแทกที่เล็ดลอดออกมา

ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการต่อสู้จะรุนแรงขนาดนี้…

หมัวเฮอเทียนมองไปที่การต่อสู้นี้ด้วยความเฉยเมยขณะกล่าวว่า “วิชาสามพิสุทธิ์สมกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง”

“ใช่ นี่เป็นทักษะเทพที่จักรพรรดิฟ้าใช้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ด้วยวิชานี้ทำให้จักรพรรดิฟ้ากลายเป็นจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามในสมัยโบราณ” ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอถอนหายใจด้วยความอิจฉาเข้มข้น

“แม้ว่าวิชาสามพิสุทธิ์จะทรงพลัง แต่ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างมู่เฉินและซื่อหลัว การต่อสู้ครั้งนี้คงอยู่อีกไม่นาน” สายตาของหมัวเฮอเทียนเฉียบคมนัก บางทีคนอื่นอาจไม่สามารถบอกได้ แต่เขาสามารถบอกได้ว่าทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกระบวนท่ามากกว่าพันท่าในเวลาเพียงไม่กี่นาที ทว่าซื่อหลัวยังคงได้เปรียบกับมู่เฉินหลายส่วน

‘ถ้านั่นคือความสามารถที่มู่เฉินมี เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้ถึงด่านสุดท้าย’

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของหมัวเฮอเทียน ขณะที่เขามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ในอดีตเขาตั้งใจจะแต่งให้นาง แต่ใครจะคิดได้ว่านางจะออกจากเผ่าฝูถูไปตกหลุมผู้ชายขี้กะโล้โท้ แม้ว่าเรื่องจะผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังสร้างความอับอายให้เขา

เพื่อไม่ให้เสียหน้าจึงไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องในอดีต แต่ถ้าเขาได้เห็นลูกชายของชิงเหยี่ยนจิ้งหน้าแตกที่นี่เขาจะมีความสุขมาก

ตึง!

เกิดการปะทะกันอีกครั้ง ร่างจอมยุทธ์ทั้งสี่ก็แยกออกจากกัน แต่คราวนี้มู่เฉินไม่พุ่งกลับมาโต้ตอบ เขารู้ว่าไม่สามารถเอาชนะในการต่อสู้ลักษณะนี้ได้จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่

“พลังกายเจ้าทรงประสิทธิภาพมาก เจ้าถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” คลื่นหลิงสั่นไหวไปรอบๆ ร่างมู่เฉินขณะมองไปที่ซื่อหลัวพลางถอนหายใจ

“นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับข้า การที่ประมุขมู่สามารถบีบให้ข้ามาไกลถึงขนาดนี้ได้ด้วยขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลาง” ซื่อหลัวหัวเราะ เสียงนั้นคำรามก้อง

เขาไม่ได้ถ่อมตน มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างขั้นหลิงระยะกลางและขั้นเซียน แต่มู่เฉินกลับสามารถเติมเต็มช่องว่างนี้ได้ นี่ทำให้น่าตกใจอย่างแท้จริง

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะมู่เฉินขยายเจดีย์พุทธะและสายสัมพันธ์กับร่างรองทั้งสอง

“แต่ข้ากลัวว่ายังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะข้าด้วยวิชาสามพิสุทธิ์เพียงอย่างเดียว” ซื่อหลัวเปล่งรัศมีกระจ่างใสราวกับเทพเซียน

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินก็ยิ้มไม่ตอบ มือประสานกันก่อร่างเป็นตราประทับที่ลึกซึ้ง

“วิชาสามพิสุทธิ์ สามรวม!”

เมื่อเสียงดังก้องจากหัวใจของมู่เฉิน ร่างรองทั้งสองก็ก้าวเข้ามาสถิตในร่างกายของเขา

เมื่อทั้งสามรวมตัวกัน พายุทอร์นาโดที่ก่อตัวขึ้นจากคลื่นหลิงบริสุทธิ์ก็ระเบิดออกจากร่างมู่เฉิน

เมื่อรัศมีวูบไหว คลื่นหลิงรอบตัวมู่เฉินก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอัญมณีพร้อมกับร่างกายของมู่เฉิน

สัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน ซื่อหลัวก็หดตาลงด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

เขาสามารถสัมผัสได้ว่าคลื่นหลิงของมู่เฉินเติบโตขึ้นจนน่ากลัวในขณะนี้!

“ไม่คิดว่าวิชาสามพิสุทธิ์จะมีกระบวนท่าเช่นนี้ด้วย…” ซื่อหลัวกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจ เขาไม่กล้าออมมืออีกแล้ว

เมื่อมู่เฉินลืมตาขึ้นมา ม่านตาสีดำก็กลายเป็นอัญมณี เขารู้สึกถึงคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตในร่างกายตนเอง ขณะนี้ราวกับว่าเขาสามารถทำลายท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว

ขั้นสามรวมของเขาแข็งแกร่งกว่าตอนที่เผชิญหน้ากับหวงเฉวียนจื่อ นี่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่เขาได้รับหลังจากสี่เดือนของการเข้าสมาธิฝึกฝน

“มาลองกันอีกครั้ง”

มู่เฉินยิ้มให้ซื่อหลัวก่อนที่จะวาบหายไป

ซื่อหลัวหดดวงตาเหวี่ยงหมัดออกไปโดยไม่ลังเล พลังน่ากลัวก็พุ่งออกมาทำให้มิติตรงหน้าเขาพังทลาย

เมื่อมิติยุบลง ภาพเงาหนึ่งก็วูบไหวเหวี่ยงหมัดออกมาปะทะกับหมัดทองคำของซื่อหลัว

เคร้ง

พลังงานสองสายปะทะกัน ก็คล้ายกับการชนกันระหว่างโลหะเกิดเสียงดังเสียดหู คลื่นกระแทกพัดออกมา แต่คราวนี้มู่เฉินไม่ได้ถูกกดดัน ร่างกายของเขาสั่นเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะสลายผลกระทบได้

ในทางกลับกันซื่อหลัวถูกซัดโดยไม่คาดคิด ทุกย่างก้าวที่เขาถอยออกไปจะสร้างหลุมขนาดใหญ่บนมหาสมุทรเบื้องล่าง…

การแลกกระบวนท่ากันครั้งนี้ซื่อหลัวตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ

ด้านนอกรอบเจดีย์วั้นกู่ระเบิดด้วยความโกลาหล ทุกคนตกใจที่มู่เฉินสามารถบังคับซื่อหลัวต้องถอยจากการเผชิญหน้าครั้งนี้

“นี่น่าจะเป็นระยะที่สูงขึ้นของวิชาสามพิสุทธิ์ มู่เฉินมาถึงระดับนั้นแล้ว…” หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้ว หลังจากรวมกับร่างรองทั้งสอง ตอนนี้มู่เฉินมีพลังเทียบเคียบจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายแล้ว

‘มิน่าล่ะไอ้หนูนี่ถึงกล้ามาที่งานชุมนุมนิรันดร์’

“ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับทักษะของซื่อหลัว…”

ซื่อหลัวฉายสีหน้าเคร่งเครียดขณะมองมู่เฉิน หลังจากที่ขยายทักษะหลายวิชา มู่เฉินในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแล้ว

ดังนั้นหากเขาต้องการที่จะชนะ เขาต้องงัดไม้เด็ดออกมาแล้ว

ซื่อหลัวหายใจเข้าลึกๆ มือประสานเข้าด้วยกัน มหาสมุทรใต้เท้าก็คำรามรุนแรงพร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมาจากเท้าครอบคลุมรัศมีหลายพันลี้

ซ่า!

ทันใดนั้นมหาสมุทรก็แยกออกจากกัน ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมือขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณพร้อมกับรัศมีศักดิ์สิทธิ์ยื่นออกมาจากมหาสมุทร

เมื่อมือนี้ปรากฏขึ้นแม้แต่มิติข้างใต้ก็ถูกแช่แข็ง

ถึงระดับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายยังไม่กล้ารับ

ซื่อหลัวเงยหน้ามองมู่เฉินพูดขึ้นช้าๆ ว่า

“ประมุขมู่ นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงหนึ่งในสุดยอดของสำนัก—ฝ่ามือเทพอรหันต์…โปรดชี้แนะด้วย”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท