หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1492 ร่างลึกลับสีทอง

บทที่ 1492 ร่างลึกลับสีทอง

วาบ!

ร่างเงาสีทองเข้มพาดผ่านขอบฟ้าพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ มิติใกล้เคียงถึงกับพังทลายลง…

ขณะมองไปที่ร่างสีทองเข้ม สีหน้าของทั้งสามก็เปลี่ยนไป พวกเขารีบถอยออกมาทันที ร่างสีทองเข้มนี้แผกประหลาดเกินไป พวกเขาสามารถบอกได้ถึงพลังของมันเนื่องจากแม้แต่หมัวเฮอโยวก็ยังเจ็บหนักเมื่อถูกโจมตี

แต่ไม่ว่าความเร็วของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ร่างสีทองเข้มก็เร็วยิ่งกว่า

เมื่อมิติสั่นไหว ร่างสีทองเข้มก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าทัวป๋าชางแล้วค่อยๆ ตบมือออกไป

เมื่อทัวป๋าชางเห็นว่าสถานการณ์นี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็แผดเสียงคำราม รัศมีสีทองไร้ขอบเขตแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย เขาเรียกร่างเทพสุริยะนิรันดร์ออกมา รหัสเทพอมตะนับไม่ถ้วนรวมตัวกันก่อร่างเป็นดอกบัวห่อหุ้มตัวเองไว้

“ดอกบัวอมตะ!”

นั่นคือกระบวนท่าการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างเทพสุริยะนิรันดร์ เผชิญหน้ากับร่างสีทองเข้ม แม้แต่ทัวป๋าชางก็ยังไม่กล้าที่จะประมาท

แปะ!

มือตบลงไปที่ดอกบัว เกิดการแข็งตัวช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีรอยแตกกระจายออกมาแล้วระเบิด

อ็อก

ดอกบัวระเบิดออก ทัวป๋าชางก็ถลาออกไปพร้อมกับความหวาดผวาบนใบหน้า การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาคือสิ่งที่แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่สามารถทำลายได้ด้วยกระบวนท่าเดียว แต่กลับเปราะบางต่อหน้าร่างสีทองเข้ม

หลังจากส่งทัวป๋าชางออกไปด้วยตบเดียว ร่างเงาสีทองเข้มก็พุ่งเข้าไปหาเยี่ยฉิง

“ขอบเขตอสุรา!”

เยี่ยฉิงมองไปที่ร่างสีทองเข้มแล้วขบฟัน ก่อนที่หอกสีแดงเข้มในมือเขาจะสั่นสะท้าน ทันใดนั้นรัศมีสังหารรุนแรงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาออกกระบวนท่าโจมตีแทนการป้องกัน หอกกลายเป็นลำแสงฉีกผ่านขอบฟ้าพร้อมกับภาพซ้อนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ร่างสีทองเข้ม

การโจมตีของเยี่ยฉิงเป็นกระบวนท่าสังหารเลยทีเดียว

ภาพซ้อนหลายล้านภาพกระจายออกไป นี่เป็นกระบวนท่าที่แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่กล้ารับ แต่ร่างสีทองเข้มไม่ได้ใส่ใจเลย เมื่อหอกปะทะบนร่างกายก็เกิดประกายไฟแล่นเปรียะ แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางร่างสีทองเข้มเอาไว้ได้…

ร่างสีทองเข้มกำหมัดเหวี่ยงออกไป มิติพังทลายลงจากวงรัศมี ขณะที่ซัดลงบนหอกสีแดงเข้ม

เคร้ง!

เสียงโลหะปะทะกันดังก้อง เยี่ยฉิงตัวสั่นสะท้านรุนแรงก่อนที่จะปลิวไป เส้นเลือดบนแขนของเขาระเบิดพร้อมกับเลือดไหลลงมา แม้แต่หอกสีแดงเข้มในมือเขาหรุบหรู่ ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน

เมื่อมู่เฉินเห็นร่างสีทองเข้มที่เอาชนะทัวป๋าชางและเยี่ยฉิงได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ใบหน้าของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป ร่างกายเกร็งเครียดขึ้น เขาสัมผัสได้ว่าหลังจากเอาชนะทั้งสองแล้ว สายตาไม่แยแสของร่างสีทองเข้มก็พุ่งตรงมาที่เขา

วาบ!

แค่จ้องตากันก็ทำให้มู่เฉินหดดวงตา เพราะเขาเห็นแสงสีทองที่เบื้องหน้าครรลองสายตา จังหวะนั้นร่างสีทองเข้มก็พุ่งเข้าหาคว้าลำคอของเขาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ

มวลลมคมกริบกวนตัว ร่างของมู่เฉินกระตุก ปีกหงส์ฟ้าพร่างพราวกางออกที่แผ่นหลังขณะกระพือปีกวูบไหวก็ทิ้งภาพเงาเอาไว้ ร่างหลักปรากฏตัวห่างออกไปหมื่นจั้ง

ซี้ด!

มือสีทองที่บดขยี้ลงหยุดชะงักชั่วครู่ ราวกับตกใจที่การโจมตีพลาดเป้า…

มู่เฉินรู้สึกถึงเหงื่อเย็นไหลชุ่มบนแผ่นหลัง ถ้าเขาช้ากว่านั้นอีกก้าวเดียวละก็ เขาคงได้รับบาดเจ็บหนักจากร่างสีทองเข้มไปแล้ว แต่โชคดีที่เขาใช้ประโยชน์จากปีกหงส์ฟ้าแท้จริง ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดและความเร็วเขาก็สูงกว่าทั้งสี่คน เขาจึงสามารถหนีออกมาได้ทันท่วงที

ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหัน เมื่อทุกคนเห็นมู่เฉินหลบการโจมตีของร่างสีทองเข้มได้ถึงฟื้นคืนสติ ทันใดนั้นพวกเขาก็ร้องอุทานตอบสนอง ฉากนี้เหนือคาดยิ่งนัก

‘ร่างมหาเทพนิรันดร์จะเลือกผู้ครอบครองไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงเริ่มสังหารหมู่ราวกับว่าต้องการฆ่าทั้งสี่คนให้ได้?

“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?!” ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเปลี่ยนไป นางจะบอกไม่ได้อย่างไรว่าร่างสีทองเข้มนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง จอมยุทธ์ทั้งสี่คนไม่ได้อยู่ในสายตามันเลย

“หมัวเฮอเทียน เผ่าเจ้าแอบทำอะไร?!” ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่หมัวเฮอเทียนพลางตะโกนถามเสียงเข้ม

ขณะนี้ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนก็บิดเบี้ยวจนไม่น่าดู เขาเหลือบมองชิงเหยี่ยนจิ้ง “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในอดีตร่างสีทองเข้มนั้นไม่เคยปรากฏตัวเลย!”

เขาก็โมโหเช่นกัน เขาไม่รู้ว่ามีร่างสีทองเข้มอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ ดูจากรูปลักษณ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนานหรือไม่

“หรือว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ใช้วิธีนี้เพื่อเลือกเจ้านาย?” ผู้อาวุโสที่ด้านหลังหมัวเฮอเทียนคาดเดา

“ร่างสีทองเข้มนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารไม่ได้มีการผ่อนปรน แม้แต่หมัวเฮอโยวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ นี่ไม่ใช่การเลือกเจ้านาย มันต้องการสังหารเท่านั้น” หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน

ผู้อาวุโสทุกคนแลกเปลี่ยนสายตาไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ เพราะในช่วงเวลาที่เจดีย์วั้นกู่ปิดลงแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่มองดูเท่านั้น

ขณะที่ด้านนอกของเจดีย์กำลังโกลาหล หมัวเฮอโยวก็เริ่มฟื้นตัวจากบาดแผล เขาลอยขึ้นบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ เมื่อมองไปที่ร่างสีทองเข้มก็มีร่องรอยของความกลัวอยู่ในดวงตา ถ้าเมื่อครู่เขาไม่ตอบสนองเร็วพอละก็ เขาคงถูกฆ่าด้วยร่างสีทองเข้มนั่นไปแล้ว

“ให้ตายสิ นี่มันอะไรกันแน่!”

หมัวเฮอโยวร้อนรนในหัวใจ เขาเข้าสู่ชั้นสุดท้ายด้วยความยากลำบาก ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ สิ่งนี้จะโผล่มาและเริ่มฆ่าโดยไม่มีคำพูดใดๆ ราวกับว่าต้องการสังหารพวกมันทั้งหมดที่นี่

ขณะนี้ร่างสีทองเข้มก็กวาดสายตาไปรอบๆ รัศมีสีทองเข้มเปล่งบนร่างกาย มันคิดจะเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว

เมื่อเห็นภาพนี้เปลือกตาของหมัวเฮอโยวก็กระตุกขณะที่ตะโกนลั่น “พวกเจ้า ไอ้ตัวนี้พิลึกกึกกือมากและพวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ข้าว่าเราทุกคนร่วมมือกันดีกว่า!”

เยี่ยฉิงและทัวป๋าชางลังเลก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะการแลกกระบวนท่าสั้นๆ เมื่อครู่ พลังของร่างสีทองเข้มนั้นน่ากลัวเกินไป

ไม่มีใครสักคนที่จะต่อกรได้ด้วยตัวคนเดียว

มู่เฉินเม้มริมฝีปาก เขารู้สึกว่าแม้พวกเขาจะผนึกกำลังกัน แต่ก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับมันได้ แต่ไม่มีทางเลือกใดที่ดีกว่าในตอนนี้ พวกเขาคงต้องลองดูก่อน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย

ฟิ้ว!

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ร่างเงานั่นก็พุ่งเข้ามาหา

“มหาภัยพิบัติไร้ขอบเขต!”

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเคร่งขรึม เขาเร้าวิชาโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาโดยไม่ลังเลใดๆ ทันใดนั้นพายุทอร์นาโดดำขาวก็ปรากฏขึ้น

“วิชาเจดีย์แปดองค์!”

มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะออมมือ

“อสุราสวรรค์!”

“เพลงดาบขอบเขต!”

ทัวป๋าชางและเยี่ยฉิงต่างก็ออกกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อพวกเขาทั้งสี่ใช้กระบวนท่าสูงสุดที่มี ทั้งมิติก็มืดลง การโจมตีที่น่ากลัวทั้งสี่กวาดเข้าหาร่างสีทองเข้ม

ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เผชิญหน้ากับการโจมตีสี่สาย ร่างสีทองเข้มก็ไม่มีวี่แววว่าจะหลบ กลับเหวี่ยงชุดหมัดสี่ครั้งที่แฝงด้วยมีรัศมีอมตะ

หมัดทั้งสี่พุ่งออกไป ราวกับเป็นดวงอาทิตย์สีทองเข้มสี่ดวง ปะทะกับการโจมตีที่น่ากลัวทั้งสี่

ปัง ปัง ปัง ปัง!

เสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าร่างสีทองเข้มทำลายการโจมตีของพวกมู่เฉินได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าพายุทอร์นาโดขาวดำหรือแสงเจดีย์มรณะ ทุกอย่างล้วนแตกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้การกระทบของดวงอาทิตย์สีทองเข้ม…

ทุกคนที่อยู่ด้านนอกเงียบลงด้วยความตกใจ พลังจากพวกเขาทั้งสี่นั้นเกินจินตนาการ แต่ก็ยังถูกทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยร่างสีทองเข้ม…

ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย!

อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแท้จริงเท่านั้นที่สามารถยับยั้งร่างสีทองเข้มนั้นได้

เมื่อทั้งสี่เห็นภาพนี้ พวกเขาก็มีสีหน้าไม่น่าดู แม้แต่การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาก็ไม่เกิดผลใดๆ ดังนั้นบอกได้เลยว่าร่างสีทองเข้มทรงพลังเพียงใด

“ระยำ!”

หมัวเฮอโยวสาปแช่ง แม้แต่การโจมตีขั้นสุดยอดสี่วิชาก็ไม่สามารถหยุดร่างสีทองเข้มได้ พวกเขาจะสู้ได้ยังไง?

มู่เฉินขมวดคิ้ว ร่างสีทองเข้มทรงพลังเกินไป หรือว่าต้องเอาชนะมันเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์?

แต่หากไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งปรากฏตัว ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้

โฮก!

ทันใดนั้นร่างสีทองเข้มก็เปล่งเสียงคำรามออกมา มือทั้งสองคว้าไปที่อากาศ มิติฉีกออกจากกัน

ภายในมิติเหมือนจะเห็นจุดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วน

ร่างสีทองเข้มอ้าปาก ระเบิดแรงดูดเพื่อดึงจุดแสงม่วงทองออกมา ทว่าจุดแสงก็ต่อต้านชั่วครู่ก่อนที่จะถูกลากไปเขมือบ

เมื่อมองไปที่จุดแสงสีม่วงมู่เฉินก็หดดวงตา เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคย นั่นคือคือแก่นอมตะ!

‘แก่นอมตะนั้นน่าจะถูกรวบรวมไว้โดยเจดีย์วั้นกู่ แต่ทำไมร่างสีทองเข้มถึงต้องใช้วิธีแย่งแบบนี้ในการกลืนกิน?’

มู่เฉินเกิดความสงสัยในใจ หากร่างสีทองเข้มเป็นร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนาน เจดีย์ก็ควรส่งแก่นอมตะไปหาและไม่ต่อต้าน

‘หรือว่าร่างสีทองเข้มนี้ไม่ใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์?’

‘แต่ถ้านี่ไม่ใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์แล้วคือตัวอะไร?’ จากร่างสีทองเข้มมู่เฉินรู้สึกได้ถึงรัศมีอมตะที่หนาแน่น เพียงแค่ไม่ค่อยบริสุทธ์เท่านั้น

ขณะที่มู่เฉินสงสัย หลังจากที่ร่างสีทองเข้มกลืนกินรัศมี แสงบนร่างสีทองเข้มก็ดูหนาแน่นขึ้น ความกดดันที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

ร่างสีทองเข้มเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทั้งสี่ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความโลภในดวงตาของมันพร้อมกับความคิดพร่ามัวกระจายออกมา

“ข้า…จะกินพวกเจ้าทั้งหมด…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท