หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1501 ห้าปีแห่งสมาธิ…กายานิรันดร์

บทที่ 1501 ห้าปีแห่งสมาธิ...กายานิรันดร์

บนท้องฟ้าทางช้างเผือก

หม้อกลั่นปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ปล่อยอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวออกมา

โครงกระดูกสีทองตั้งอยู่ภายใน ดูราวกับว่าหลอมมาจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถทำลายได้ ปลดปล่อยรัศมีอมตะหนาแน่น

มีอักขระโบราณอยู่บนโครงกระดูก ให้ความรู้สึกว่าโครงกระดูกนี้ถูกสร้างขึ้นในยุคแรกของโลก

แต่ถึงแม้จะเป็นโครงกระดูก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เลือนลางภายใน

ด้านนอกหม้อกลั่นจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็พยักหน้าเบาๆ ท่าทางเคร่งขรึมลง อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อหมอกสีม่วงทองรวมตัวกันจากสภาพแวดล้อม หมอกนี้ก็คือแก่นอมตะที่บริสุทธิ์มาก

เมื่อหมอกพุ่งลงไปในหม้อกลั่นก็ห่อหุ้มโครงกระดูก อวัยวะภายในเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย…

กระบวนการสร้างขึ้นใหม่เชื่องช้ามาก ผ่านไปหลายวันก็มีเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่เกิดขึ้น

ทว่าเลือดเนื้อที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เนื้อเยื่อบรรจุไปด้วยไอสีม่วงทองซึ่งทำให้ดูเหมือนลึกลับซับซ้อนนัก

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นฉากนี้ก็พยักหน้าเบาๆ ขั้นตอนต่อไปคือการหลอมรวมเนื้อหนังและเมื่อเสร็จสิ้น มู่เฉินจะได้รับกายานิรันดร์ที่แท้จริง

แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นนิรันดร์แท้จริง แต่แสดงถึงการปรับแต่งร่างกายในระดับที่สูงขึ้น แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในมหาพันภพก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่จะก้าวไปถึงขั้นตอนนี้ได้

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อรอร่างกายมู่เฉินที่จะฟื้นขึ้นมาใหม่

การรอคอยนี้กินเวลาไปอีกหนึ่งปีเต็ม

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งกล้ามเนื้อครึ่งหนึ่งบนโครงกระดูกก็สร้างขึ้นใหม่เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับผิวหนังเริ่มก่อตัว

นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันเลือนรางกำจายออกมาจากร่างกายที่สร้างขึ้นใหม่ด้วย

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่สามารถบอกได้ว่ากายานิรันดร์ของมู่เฉินมาถึงเก้าส่วนแล้ว จากนี้ก็ต้องรอสร้างผิวหนังให้เสร็จสิ้นสำหรับร่างกายอันทรงพลัง…

เวลาผ่านไปกว่าสี่เดือน

ขณะที่มู่เฉินอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมาสิ่งที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วมหาพันภพ

นั่นเป็นเพราะไม่มีใครคิดว่าแรงกดดันภายนอกเจดีย์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนยังรู้สึกหายใจไม่ออก

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนแท่นโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ พร้อมกับจอมยุทธ์สามสิบคนยืนอยู่ข้างหลัง ทำให้เกิดความผันผวนยิ่งใหญ่ สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เนื่องจากทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน!

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามสิบคน!

นี่คือรากฐานของเผ่าหมัวเฮอที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับขั้วอำนาจอื่นได้ ขั้วอำนาจธรรมดาสามัญจัดตั้งขึ้นได้ด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียว แต่เผ่าหมัวเฮอมีถึงสามสิบคน!

แน่นอนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามสิบคนไม่ได้น่าตกใจที่สุด แต่เป็นชายชราสองคนที่ถือไม้เท้าสีขาวและสีดำสองคนที่ยืนห่างจากหมัวเฮอเทียนครึ่งก้าว

ใบหน้าของพวกเขาเหี่ยวย่นตามวัย ดวงตาลึก ความกดดันที่เล็ดลอดออกมาทำให้แม้แต่แผ่นโลกยังส่งเสียงคราง

ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!

เมื่อรวมหมัวเฮอเทียนเข้าไปก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสามคน ทั้งหมดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามสิบคน นี่เป็นพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมัวเฮอ ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนครั้งนี้…

อีกด้านหนึ่งก็มีจอมยุทธ์ยี่สิบกว่าคน โดยที่สองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็คือชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน ที่เยื้องไปด้านหลังเป็นเฉวียนกวาง มั่วถงและชิงเทียน รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นๆ

เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและหมัวเฮอเทียนยืนประจันหน้ากันในบรรยากาศตึงเครียด อีกทั้งเผ่าหมัวเฮอก็ส่งคนข่มขู่อยู่ตลอด ทว่าคนอย่างชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่ได้ขาดอะไร นางใช้อำนาจในฐานะผู้อาวุโสใหญ่เรียกระดมพลจอมยุทธ์เผ่าฝูถูมา

ทั้งสองเผ่ายืนเผชิญหน้ากันสร้างแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้ผืนฟ้าและผืนดินโยกคลอน

ณ เวลานี้เมืองวั้นกู่ไร้ผู้คนเนื่องจากทุกคนอดทนไม่ไหว เพียงแค่ความกดดันจากทั้งสองเผ่าอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาหายใจไม่ได้แล้ว

ดังนั้นขั้วอำนาจเหล่านี้จึงวิ่งออกไปตั้งหลักไกลๆ เพราะเกรงว่าอาจถูกลากเข้าไปในสงครามครั้งนี้ด้วย…

“เกือบครึ่งปีแล้ว…”

หมัวเฮอเทียนมองไปที่เจดีย์วั้นกู่พร้อมกับแสงน่ากลัวและเกรี้ยวกราด “มันซ่อนตัวทำอะไรอยู่ข้างในกันแน่?!”

ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นไม่เกินหนึ่งเดือน แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้ว่าจะเป็นเวลาครึ่งปีแล้วก็ตาม

“ใจเย็นๆ” ชายชราถือไม้เท้าสีดำกล่าวปลอบโยนก่อนที่จะพูดต่อ “เราได้ปิดทางหนีทั้งหมดแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอนี่ไม่สามารถวิ่งหนีออกไปได้ หากมันคิดจะอยู่ข้างในตลอดชีวิต เผ่าหมัวเฮอก็จะรอคอยอยู่เป็นเพื่อนมัน”

“ใช่ เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาหลายหมื่นปี เราจะปล่อยให้ร่างมหาเทพปฐมกาลนี้ตกอยู่ในมือของคนนอกไม่ได้เด็ดขาด!” ชายชราถือไม้เท้าสีขาวกล่าวเสียงเย็นชา

หมัวเฮอเทียนพยักหน้าปรายตามองไปที่เผ่าฝูถูกล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “ดูเหมือนว่าเผ่าฝูถูยืนกรานที่จะเปิดสงครามกับเรา”

ดวงตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสองเย็นเยือกลงก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องห่วง หากพวกมันไม่รู้จักกาลเทศะ ก็ให้พวกมันได้ลิ้มรสว่าทำไมเผ่าหมัวเฮอถึงแข็งแกร่งที่สุดในห้าเผ่าโบราณ!”

ฝั่งเผ่าฝูถู

“ผู้อาวุโสใหญ่แน่ใจหรือว่าเราจะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอที่นี่? พลังของพวกเราอ่อนแอกว่าพวกเขาหลายส่วนนะ” เฉวียนกวางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ขณะมองไปที่การรวมตัวที่น่ากลัวของเผ่าหมัวเฮอ

“ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นอาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอด้วย…” มั่วถงกล่าวเสริม

พวกเขาสองคนเคยมีความแค้นกับมู่เฉินในอดีต ดังนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอเพื่อช่วยชายหนุ่ม

ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่ทั้งสองอย่างเย็นชาพลางตอบว่า “พวกเจ้ากลับไปได้เลยถ้าไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่”

เฉวียนกวางและมั่วถงชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะเงียบเสียงลง เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู ต่อให้พวกเขาต้องการไปแต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่เต็มใจแน่นอน เพราะแม้จะแบ่งตระกูล แต่พวกเขาก็อยู่เผ่าเดียวกัน ดังนั้นจะรอดหรือตายก็ต้องไปด้วยกัน

“อย่าพูดไร้สาระ ตอนนี้มู่เฉินคือประมุขคนใหม่เผ่าฝูถู ดังนั้นเราต้องปกป้องเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียงอย่างเย็นชา

เฉวียนกวางและมั่งถงเบ้ปาก พวกเขาหมายมั่นปั้นมือกับตำแหน่งประมุขมานานหลายปี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกต่อต้านเล็กน้อยที่จู่ๆ ตำแหน่งนี้จะหล่นใส่มือมู่เฉิน

ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมู่เฉินเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ พวกเขาทราบถึงความสำคัญของร่างมหาเทพปฐมกาลดี หากมู่เฉินได้ครอบครองต่อจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

ในแง่ของพลังมู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งประมุขจริงๆ

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดีก็อาจทำให้ทั่วมหาพันภพสั่นสะเทือนได้…

“เรื่องนี้จัดการได้ยากเสียจริง…”

ฟู่ ฟู่!

เปลวไฟสีม่วงทองส่งเสียงดังฉ่าๆ หมอกไร้ขอบเขตเทลงในหม้อหม้อกลั่นอย่างไม่รู้จบ

รังไหมสีม่วงทองที่ก่อตัวขึ้นภายในหม้อกลั่นก็สั่นสะท้าน เปลือกตาของร่างเงาภายในกระตุกเบาๆ ก่อนจะเปิดขึ้น หลังจากปิดลงเป็นเวลาห้าปี

ชี่!

เมื่อเขาลืมตาขึ้นลำแสงสองสายก็พุ่งผ่านหม้อกลั่นออกไปไกลกว่าหลายแสนจั้งก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป

เขาเปิดปากกลืนกินหมอกสีม่วงทองที่เหลือทั้งหมดเข้าสู่ร่างกาย

เมื่อหมอกค่อยๆ หายไป ร่างมนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากภายในหม้อกลั่น ผิวขาวของเขาเรียบรื่น เส้นขนบนร่างกายเอิบอาบไปด้วยแสงสีม่วงทองเบาบางพร้อมกับรัศมีนิรันดร์ไหลเวียนอยู่รอบตัว ทำให้เขาดูลึกลับอย่างยิ่ง

มู่เฉินก้มศีรษะลงมองก็อึ้งไปเมื่อเห็นร่างเนื้อใหม่ เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อนภายในร่างกาย เขาก็เงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม

ตู้ม ตู้ม!

ผืนฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงคำราม

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพอใจก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก

ห้าปีแห่งสมาธิ ในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุ…กายานิรันดร์

ที่ด้านนอกเจดีย์

ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ พวกเขาได้ยินเสียงคำรามแว่วมาจากในเจดีย์

“ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว!”

ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป บรรยากาศตึงเครียดระอุขึ้น

ที่นอกเมืองผู้คนที่เฝ้ามองก็สูดอากาศเย็นอัดปอด การเผชิญหน้าที่หยุดชะงักมาครึ่งปีในที่สุดก็จะปะทุขึ้นในวันนี้แล้ว…

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท