หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1498 ของแท้และของปลอม

บทที่ 1498 ของแท้และของปลอม

โฮก!

ร่างสีทองเข้มคำราม ลวดลายสีแดงเข้มที่อยู่บนพื้นผิวดิ้นพล่าน ในดวงตาก็มีแสงสีแดงรวมตัวกัน นอกจากนี้ยังมีระลอกคลื่นสีทองเข้มที่น่าสะพรึงโดยรอบซึ่งทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน

นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครที่อยู่ภายใต้ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะประจันหน้าได้

เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่เล็ดลอดมาจากร่างสีทองเข้ม แววไร้ความปรานีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหมัวเฮอโยว ในมุมมองของเขาข้อเสียเปรียบก่อนหน้าเป็นเพราะร่างสีทองเข้มไม่ทันตั้งตัว แต่ตอนนี้เขาเข้าควบคุมอย่างแข็งแกร่งแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของมันจึงน่ากลัวยิ่งขึ้น

“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่วันนี้แกได้ง่อยแน่!”

หมัวเฮอโยวเค้นเสียง จิตเคลื่อนไหว ร่างสีทองเข้มก็ทะยานออกไปทิ้งภาพเงาซ้อนไว้บนท้องฟ้า ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งที่แท้จริงได้

เมื่อทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์เห็นภาพนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหว พวกเขารู้ว่าหมัวเฮอโยวปลุกจิตสังหารขึ้นมาแล้ว ร่างสีทองเข้มน่าสะพรึงกลัว อาจมีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเท่านั้นที่สามารถยับยั้งได้

“ครั้งนี้มู่เฉินสร้างความโกรธแค้นให้กับหมัวเฮอโยวแล้ว…”

ทว่าเมื่อเทียบกับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินกลับดูสงบนิ่งมาก มีเพียงสายตาที่มองร่างสีทองเข้มฉายความประหลาดใจเท่านั้น เขารู้สึกอึ้งกับความผันผวนที่มาจากร่างสีทองเข้ม

“ไม่รู้จริงๆ ว่าไอ้กาฝากนี่เขมือบแก่นอมตะของร่างมหาเทพนิรันดร์ไปเท่าไรถึงได้แข็งแกร่งเพียงนี้…”

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้กลัวเพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ให้ภาพเงาข้างตัวที่ถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีลึกลับ

ภาพเงาลึกลับสั่นไหว ก้าวย่างออกไปยืนเบื้องหน้ามู่เฉิน

โฮก!

ร่างสีทองเข้มคำราม ชกหมัดออกไปพร้อมกับสายธารสีทองเข้มเชี่ยวกรากติดตามมา มันบรรจุไปด้วยพลังของแก่นอมตะ แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดอย่างหมัวเฮอโยวก็ถูกฆ่าได้ในทันที

เผชิญหน้ากับหมัดนี้ ภาพเงาลึกลับก็ไม่ขยับเพียงแค่ยื่นมือออกมาเบาๆ ดูดพลังนั้นเข้ามา

ฮา

เมื่อคลื่นผันผวนทำลายล้างสัมผัสกับฝ่ามือก็กลายเป็นเชื่องลงทันที มันห่อหุ้มรอบๆ ภาพเงาลึกลับพลางลดขนาดลงก่อนที่มันจะถูกกลืนกิน

“อะไรน่ะ?!”

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเปลี่ยนไปรุนแรง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าภาพเงาลึกลับจะสามารถแก้ไขการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย

“เป็นไปได้ยังไง?”

หมัวเฮอโยวกัดฟันเข้าควบคุมร่างสีทองเข้มอีกครั้ง อึดใจร่างสีทองเข้มก็คำราม ปลดปล่อยพลังที่ราวกับมังกรยักษ์ขณะที่พุ่งเข้าใส่ภาพเงาลึกลับ

ทว่าภาพเงาลึกลับไม่ได้เร่งรีบเมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีนั่น เนื่องจากทุกกระแสธารสีทองเข้มที่เข้าใกล้จะกลายเป็นอ่อนโยนมากก่อนที่จะถูกกลืนกิน…

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดสถานการณ์ผิดปกติขึ้น ไม่ว่าร่างสีทองเข้มจะโจมตีอย่างไร พลังก็จะอ่อนลงและสลายไปเมื่อเข้าใกล้ภาพเงาลึกลับ

เมื่อมองไปที่ฉากนี้มู่เฉินก็ยิ้มโดยไม่แปลกใจ ถึงยังไงร่างสีทองเข้มก็เป็นเพียงกาฝากและแหล่งที่มาของพลังงานมันก็คือพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์

ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ของแท้อยู่ที่นี่ การใช้พลังส่วนนี้โจมตีก็เหมือนใช้ซาลาเปาปาใส่สุนัข ไม่มีทางได้กลับคืนมา…

โฮก โฮก!

หลังจากการโจมตีหลายครั้งบวกกับถูกกลืนกินโดยร่างมหาเทพนิรันดร์ รัศมีของร่างสีทองเข้มก็จางลง มันรู้สึกถึงการสูญเสียพลังงาน ส่งเสียงคำรามลั่นออกมา ดวงตาของมันจับจ้องไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วยความโลภ แม้ว่าอีกฝ่ายจะน่ากลัว แต่ถ้าสามารถกลืนกินร่างโบราณก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ มากจนหลุดพ้นจากความวุ่นวาย กลายเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกได้จริงๆ

ฟิ้ว!

เมื่อต้องทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่มันก็ไม่กล้าใช้แก่นอมตะอีกต่อไป ร่างกายของมันเริ่มบวมด้วยพลังทำลายล้างในการเคลื่อนไหว

ยักษ์สีทองเข้มกระทืบเท้าลงบนพื้น ปรากฏที่เบื้องหน้าร่างมหาเทพนิรันดร์ในพริบตา จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป

หมัดช่างเรียบง่ายแต่ภายใต้ความแข็งแกร่งแท้จริง แม้แต่มิติก็ยังสั่นสะท้าน

ตู้ม!

แต่เมื่อหมัดกำลังจะกระทบร่างมหาเทพนิรันดร์ มือก็ยื่นออกไปปิดกั้นหมัดเบาๆ

เคร้ง!

เมื่อเกิดการสัมผัสกัน เสียงโลหะปะทะกันก็ดังขึ้น มิติพังทลายลงรุนแรง แต่ที่น่าตกใจคือภาพเงาลึกลับราวกับศิลายืนนิ่งไม่ไหวติง ส่วนร่างสีทองเข้มถูกเหวี่ยงออกจากแรงกระแทก

วาบ!

ร่างสีทองเข้มทรงตัวได้ ยังไม่ทันได้ส่งเสียงคำราม ภาพเงาลึกลับก็ปรากฏตัวขึ้นกระแทกฝ่ามือลงบนหน้าอกของมัน

ปัง!

เสียงกัมปนาทดังขึ้น หน้าอกของร่างสีทองเข้มยุบลงและกระเด็นออกไปอีกครั้ง

ปัง ปัง ปัง!

ในเวลาสิบกว่าลมหายใจต่อมา ร่างสีทองเข้มก็ราวกับลูกบอลแพรบินไปบินมา ภายใต้ฝ่ามือแผ่วเบาทุกครั้งขนาดของร่างสีทองเข้มจะหดเล็กลง…

ซี้ด!

ด้านนอกเจดีย์ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยือกด้วยความกลัว ไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าร่างสีทองเข้มจะไร้พลังขนาดนี้ในมือภาพเงาลึกลับ…

นี่ไม่ใช่การต่อสู้ในระดับเดียวกันเลย!

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็เบิกตากว้างกับภาพนี้ ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะมีไพ่ตายที่ทรงพลังเช่นนี้

“ร่างลึกลับนั่นคืออะไร?”

หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะพวกเขามองผ่านกระจกเท่านั้น แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถรับรู้ได้ถึงทั้งหมด

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอใบหน้าเขียวคล้ำรวมไปถึงหมัวเฮอเทียนที่มือจับเสาหยกขาวตรงหน้า รอยแตกเริ่มกระจายออกไป

“บ้าเอ้ย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? หมัวเฮอโยวได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมอ่อนแอขนาดนี้?! เงาลึกลับนั่นคืออะไร?!”

สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชา ตอนนี้ต่อให้เป็นเขาก็อดร้องตะโกนในใจไม่ได้

ตู้ม!

การปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างสีทองเข้มก็ถลาไปร่างเต็มไปด้วยบาดแผล รอยฝ่ามือมากมายประทับอยู่บนร่างกาย ซึ่งฝ่ามือเหล่านั้นวูบไหวไปมาพร้อมกับแสงแวววาวราวกับอัญมณีที่กัดกร่อนร่างกายของมันอยู่ตลอดเวลา ทำให้แสงสีทองเข้มยิ่งสลัวรางลงมากขึ้น

โฮก!

เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์นี้ ร่างสีทองเข้มก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย จากนั้นก็หลุดพ้นจากการควบคุมของลวดลายสีแดงเข้มและฟื้นตัว…

อ็อก

เลือดคำหนึ่งกระอักออกมาจากปากของหมัวเฮอโยว ความตกใจหวาดผวาเผยในดวงตา เพราะชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกได้ว่าเครื่องรางเทวะภายในร่างสีทองเข้มแตกสลาย

โฮก โฮก!

เมื่อปราศจากการควบคุมของหมัวเฮอโยว ร่างสีทองเข้มก็กลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง สายตามองไปที่ร่างโบราณด้วยความกลัว

นี่เป็นความกลัวที่เกิดจากการเผชิญหน้ากับคนที่เหนือกว่า

ดังนั้นมันจึงเปล่งเสียงหวาดกลัวคำรามตั้งท่าจะหนี มันไม่กล้าสู้กับร่างมหาเทพนิรันดร์อีกต่อไป

แต่ขณะที่มันคิดจะหลบหนี รัศมีที่อยู่เบื้องหลังร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ค่อยๆ ลุกโชนจากนั้นก็เคลื่อนลงมาห่อหุ้มร่างสีทองเข้มไว้

พร้อมกับรัศมีที่ครอบคลุมลงมา ร่างสีทองเข้มก็ร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวังขณะที่ร่างถูกหลอมอย่างรวดเร็วจากวงรัศมี…

โฮก โฮก โฮก!

มันได้แต่ร้องเสียงโหยหวนแต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ เพียงไม่กี่สิบลมหายใจก็หดตัวเป็นเม็ดสีทองเข้มขนาดเท่าฝ่ามือ

เม็ดสีทองเข้มปกคลุมไปด้วยลวดลายลึกลับ ภายในอัดแน่นด้วยแก่นอมตะที่ไม่อาจจินตนาการได้

ด้วยแรงดูดนุ่มนวล ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็กลืนกินเม็ดสีทองเข้มลงไป

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเม็ดสีทองเข้มถูกกลืนหายไป ทันใดนั้นเสียงสายฟ้าก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับมังกรสายฟ้าโกรธเกรี้ยวคำรามที่เส้นขอบฟ้า

ยามนี้รัศมีร่างมหาเทพนิรันดร์กระจ่างใสเปล่งแสงส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน

วงแสงเบื้องหลังศีรษะร่างมหาเทพนิรันดร์ปล่อยพลังลึกลับออกมา

ทุกคนที่อยู่นอกเจดีย์สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันลึกลับที่อธิบายไม่ได้ที่ซึมผ่านจากเจดีย์วั้นกู่

นั่นเป็นความผันผวนที่ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อมองไปที่ภาพเงาลึกลับ ทุกคนก็เกิดความเข้าใจพร้อมกับแววตกตะลึงพล่านในดวงตา

ที่แท้…ร่างลึกลับนี้เองที่เป็นร่างมหาเทพปฐมกาลของแท้—ร่างมหาเทพนิรันดร์!

ร่างสีทองเข้มนั่นเป็นเพียงของปลอมเท่านั้น!

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเมื่อครู่ร่างสีทองเข้มถึงได้ไร้พลัง!

นั่นคือการปราบปรามของแท้ที่มีต่อของปลอมอย่างแท้จริง

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ตกใจ ฝูถูเฉวียนถึงกับหายใจเข้าลึก ภาพเงาลึกลับที่มู่เฉินได้มาครอบครองก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ของจริง?!

เสาตรงหน้าหมัวเฮอเทียนถูกบีบจนแตก เขาจ้องไปที่ภาพเงาลึกลับด้วยดวงตาราวกับใบมีด ครู่ต่อมาเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและจิตสังหารก็ถูกส่งไปยังผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอ ทำให้ทั้งหมดตัวสั่นสะท้าน

“ออกคำสั่ง เผ่าหมัวเฮอเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม…”

ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับสีหน้าน่ากลัว

“ไอ้เด็กเวร แกกล้าเอาของจากเผ่าหมัวเฮอของข้าไปรึ?! ต่อให้แกจะได้รับการคุ้มครองจากเผ่าฝูถู ข้าก็จะทำให้แกคายออกมาจนหมด!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท