หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1511 สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ

บทที่ 1511 สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ

“เทียบทองคำมหาพันภพ?”

มู่เฉินพึมพำขณะที่มองถ้อยคำโบราณเหล่านั้น เขารู้สึกฉงนในใจเพราะไม่รู้ว่านี่หมายถึงอะไร

“ไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้รับเทียบทองคำนี้ด้วย…” ขณะที่มู่เฉินกำลังงุนงง ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พลิ้วตัวเข้ามาพลางถอนหายใจ

“นี่คืออะไรหรือขอรับ?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง

ฉิงเทียนยิ้ม “ตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิต่อสู้กันในสมัยโบราณ สุดท้ายก็สามารถยับยั้งการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่จะเข้าสู่มหาพันภพได้ สงครามครั้งนั้นจบลงด้วยเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกไว้ในเนินเขารกร้างทางเหนือ”

“แต่พลังของเทพปีศาจจักรพรรดิไม่สามารถจินตนาการได้ แม้ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์จะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์”

“ดังนั้นสนธิสัญญพันธมิตรมหาพันภพจะถูกจัดขึ้นทุกๆ พันปีและส่งเทียบเชิญไปทั่ว เพื่อเชิญเหล่ายอดยุทธ์ในมหาพันภพมาชุมนุม ทั้งนี้ก็เพื่อการใช้พลังของทุกคน เราจะหมุนเวียนผนึกลบพลังที่เหลืออยู่เทพปีศาจจักรพรรดิทิ้งไป”

“มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะได้รับเทียบเชิญนี้ ซึ่งมีความแตกต่างสามระดับคือ ทองแดง เงิน ทองคำ แสดงถึงขั้นทั้งสามของระดับเทียนจื้อจุน โดยมีเพียงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเท่านั้นที่จะได้รับเทียบเชิญทองคำ”

ขณะที่พูดท่าทางของฉิงเทียนก็เคร่งขรึมลง “ตามการคาดการของเทพจักรพรรดินิรันดร์ในตอนนั้น เราจะสามารถฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้หลังจากหมุนเวียนพลังเป็นเวลาสี่หมื่นเก้าพันปี”

“ถึงตอนนี้เทียบเชิญถูกส่งออกไปแล้วสี่สิบแปดครั้งและนี่… เป็นครั้งที่สี่สิบเก้า”

พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ม่านตามู่เฉินก็หดแคบลงและตระหนักถึงความสำคัญของเทียบเชิญนี้

“เทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ? ผนึกที่ใช้ชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังต้องใช้เวลานานเช่นนี้เพื่อฆ่ามันให้สิ้นซาก?” มู่เฉินหายใจเข้าลึก ความตกใจในน้ำเสียงไม่สามารถปกปิดได้

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ฉิงเทียนก็ยิ้มอย่างขมขื่น “พลังของเทพปีศาจจักรพรรดิไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องคำนึงถึงราคา เราต้องฆ่ามันขณะที่มันยังถูกผนึกอยู่ มิฉะนั้นหายนะจะบังเกิดกับมหาพันภพแน่นอน”

“เพราะเราไม่มีเทพจักรพรรดินิรันดร์อยู่เพื่อช่วยอีกต่อไป”

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงดิ่งลง เนื่องจากพวกเขารู้ว่าชะตากรรมเลวร้ายที่รอคอยมหาพันภพอยู่คืออะไรหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น

“ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังขนาดนั้น… พวกเผ่าปีศาจต่างมิติจะหาวิธีพยายามทำลายผนึกหรือไม่?” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง

“พวกมันพยายามเข้ามาแทรกพิธีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีตราประทับที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะสรรพชีวิตในมหาพันภพเข้าใกล้ได้เท่านั้น”

ฉิงเทียนพยักหน้าหรี่ตาลง “แต่ช่วงนี้เผ่าปีศาจมีการเคลื่อนไหว นี่เป็นสาเหตุทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามต้องประจำการที่ชายแดน”

สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงเนื่องจากเขาเข้าใจความหมายเบื้องหลังสนธิสัญญานี้ นี่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพ…

เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถวางลงก่อน

“จะเริ่มเมื่อไรหรือ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งถาม

“สามเดือนนับจากนี้” ดวงตาของฉิงเทียนวูบไหวพร้อมกับรัศมีดุดันกวาดออกจากร่างกาย “คราวนี้เราต้องกำจัดภัยคุกคามนี้ให้จงได้!”

มู่เฉินพยักหน้า เทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังนัก หากพวกเขาไม่สามารถฆ่าได้ ทั้งมหาพันภพก็จะตกอยู่ในความตึงเครียด

นั่นคือภูเขาไฟล้างโลก ตราบใดที่ปะทุก็จะกลืนกินทั้งมหาพันภพ

ฉิงเทียนพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งหมดได้รับคำเชิญ แต่คงมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มุ่งหน้าไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือ เพราะยังต้องมีคนคอยจับตามองเผ่าปีศาจด้วย”

“ช่างเป็นงานใหญ่ของมหาพันภพจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เกือบครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไปชุมนุมกันจะอลังการขนาดไหน?

เมื่อเทียบกับเหตุการณ์นี้ สิ่งที่เจอมาในอดีตก็ไม่มีอะไรเลย

“นี่เป็นงานยิ่งใหญ่จริงๆ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของมหาพันภพ ดังนั้นต้องวางความบาดหมางทั้งหมดไว้ก่อน” ฉิงเทียนมองไปยังทิศทางที่หมัวเฮอเทียนจากไปพูดต่อ “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเดินทางมาขอให้หยุดสงครามนี้”

เผ่าหมัวเฮอ เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงถือเป็นขุมกำลังสำคัญในมหาพันภพ ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ได้

มู่เฉินเข้าใจประเด็นนี้เช่นกัน สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น “ท่านฉิงเทียนวางใจเถิด ข้าเป็นคนที่ได้รับผลจากเหตุการณ์นี้มากที่สุด ดังนั้นข้าจะยับยั้งชั่งใจ แม้ว่าท่านหมัวเฮอเทียนต้องการที่จะจัดการข้าในอนาคตก็ตาม”

ไม่ว่าอย่างไรร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เป็นของเขา เผ่าหมัวเฮอได้แต่อดทนอดกลั้น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรไกลเกินไป

ฉิงเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจตอบอย่างอบอุ่นว่า “เป็นเรื่องดีที่เจ้าสามารถมองภาพรวมใหญ่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล วังมหาพันภพจะไม่อยู่นิ่งเฉยหากหมัวเฮอเทียนลากเรื่องไปไกล เพราะยังไงเจ้าก็เป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ”

มู่เฉินยิ้ม หมัวเฮอเทียนอาจจะหยิ่งยโสแต่ไม่ใช่คนโง่ หลังจากเรื่องวันนี้เขาก็น่าจะรู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่เขาจะยุ่งด้วยได้

“ข้าเสร็จภารกิจแล้ว ดังนั้นคงต้องขอลาไปก่อน เวลาไม่คอยท่า ข้ายังต้องไปส่งเทียบเชิญให้กับจอมยุทธ์คนอื่นๆ อีก” หลังจากสนทนาสั้นๆ กับมู่เฉิน ฉิงเทียนก็ประสานมืออำลา

มู่เฉินรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญจึงไม่รั้งฉิงเทียนไว้และกล่าวคำอำลา

“หวังว่าสามเดือนนับจากนี้เราจะได้พบกันอีกครั้งที่เนินเขารกร้างทางเหนือนะ” ฉิงเทียนหัวเราะขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

มองไปที่การจากไปของฉิงเทียน สีหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงก็ซับซ้อน “พายุกำลังก่อตัว…”

เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นมหาจักรพรรดิของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นพวกมันต้องรู้ถึงความสำคัญของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพนี้ การผนึกพลังในครั้งนี้ไม่สงบแน่นอน

เผ่าปีศาจต่างมิติต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือมหาจักรพรรดิแน่

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าฉิงเทียนจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึก แต่จอมยุทธ์ระดับในพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ในใจของฉิงเทียน

มิฉะนั้นคงไม่ให้ราชันสังหารปีศาจมาเดินทางส่งเทียบเชิญให้เป็นการส่วนตัวหรอก

“เผ่าปีศาจกำลังจับตามองพวกเรา ไม่คิดว่าจะมีภัยคุกคามยิ่งใหญ่ในเนินเขารกร้างทางเหนืออีก…” มู่เฉินถอนหายใจ โชคดีที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติที่จะยุ่งกับเรื่องแบบนี้

“เนินเขารกร้างทางเหนือถือได้ว่าเป็นดินแดนต้องห้ามของมหาพันภพเป็นที่รู้จักกันในชื่อดินแดนวั้นมู่ โดยมีกลุ่มหนึ่งเฝ้าระวังอยู่ พวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ผู้นำของก็คือจักรพรรดิอมตะ ซึ่งอาจอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ตัวเขาอยู่ในเนินเขารกร้างทางเหนือไม่เคยออกไปไหน ดังนั้นจึงไม่เป็นที่รู้จักมากนัก” ฝูถูเฉวียนอธิบาย

“ดินแดนวั้นมู่… จักรพรรดิอมตะ…”

สีหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง มหาพันภพสมกับเป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนจริงๆ

“ถ้าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา เราจะสามารถต้านทานพวกมันได้หรือไม่?” มู่เฉินถามขึ้น

ฝูถูเฉวียนกับชิงเหยี่ยนจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันตอบว่า “ในแง่ของความแข็งแกร่งมหาพันภพในปัจจุบันเทียบได้กับสมัยโบราณหรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ เรามีทั้งเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจ กระบี่เทพเขียว จักรพรรดิอมตะและขุมกำลังสุดยอดอื่นๆ รวมทั้งห้าเผ่าโบราณยังมีรากฐานพลังของตนและไม่ต้องพูดถึงขั้วอำนาจอื่นๆ…”

“ดังนั้นหากเผ่าปีศาจคิดจะรุกรานอีกครั้ง เราก็ใช่ว่าจะไม่มีพลังโต้ตอบกลับ”

“แต่ปัญหาเดียวก็คือเราไม่มีเทพจักรพรรดินิรันดร์ ต้องรู้ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงแค่เรียกผนึกและสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิเพื่อทำลายความทะเยอทะยานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

มู่เฉินพยักหน้าพลางพึมพำ “ข้าว่าพวกปีศาจต่างมิติก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน…”

จักรวรรดิปีศาจไม่นั่งดูให้พวกเขาสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิหรอก ดังนั้นสนธิสัญญาพันธมิตรครั้งนี้อาจซัดสาดไปด้วยพายุโลหิต…

เผชิญกับสถานการณ์นี้ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดันอย่างมาก

ขณะที่อารมณ์ของมู่เฉินพลุ่งพล่านอยู่ในใจ มือเรียงบางก็จับมือเขาเอาไว้ เมื่อเขาหันไปก็เห็นดวงหน้าเรียวเล็กของลั่วหลี

เมื่อหญิงสาวกะพริบตาส่งมาให้ ความอบอุ่นก็พวยพุ่งขึ้นในหัวใจเขาชำระล้างอารมณ์หมดสิ้น แม้แต่คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออก

มู่เฉินกุมมือลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงอาทิตย์พร้อมกับไฟลุกโชนในดวงตา

การมีคนรักอยู่เคียงข้างเป็นเรื่องที่ดีนัก ไม่ว่าเผ่าปีศาจจะดุร้ายแค่ไหนคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว เพราะเขาจะสละทุกอย่างเพื่อปกป้องนางไว้

“ข้าฝึกฝนมาหลายสิบปีกว่าจะมาถึงจุดนี้… แล้วข้าจะยอมให้พวกแกมาทำลายความพยายามได้อย่างไร…?

“ถ้าพวกแกมา ก็แค่ถึงเวลาศึกชี้ชะตาเท่านั้น”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท