หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1522 เผ่าเสียหลิง

บทที่ 1522 เผ่าเสียหลิง

เปลวไฟพิสุทธิ์ลุกโชนจากร่างของฉิงเทียน

ห่อหุ้มทั่วสรรพางค์กายของเขาเอาไว้ เปลวไฟปล่อยแรงกดดันสูงล้ำราวกับว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเปลวไฟ

“นี่คือเพลิงจักรพรรดิ เพลิงของเทพจักรพรรดิอัคคี ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่ร่างฉิงเทียนได้?” เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นภาพนี้ก็จ้องมองไปที่เปลวไฟสุกสว่างด้วยความงุนงง ฉากนี้น่าตื่นตายิ่งนัก

ฉิงเทียนก็รู้สึกได้ว่าสามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้งจากความช่วยเหลือของเปลวไฟ เมื่อมองไปที่เปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างกาย เขาก็พึมพำเบาๆ “พี่เซียวน่ากลัวจริงๆ”

ไม่มีใครรู้ว่าเพลิงจักรพรรดินี้มาจากไหน แต่เขาชัดเจนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายร้อยปีก่อนตอนที่เขากลับมาจากจักรวรรดิปีศาจ เขาได้พบกับเทพจักรพรรดิอัคคีที่วังมหาพันภพ

ตอนนั้นเซียวเหยียนก็ขมวดคิ้วจ้องมองมาที่เขาพักใหญ่ ก่อนที่จะมอบมุกเพลิงให้เขาพกติดตัวตลอดเวลา ตอนแรกเขายังรู้สึกแปลกใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเซียวเหยียนอาจจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในเวลานั้น ทว่าเมล็ดหัวใจปีศาจถูกฝังลึกเกินไป ในช่วงเวลาที่ไม่ถูกใช้งาน แม้แต่เซียวเหยียนก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงได้แค่มอบมุกเพลิงจักรพรรดิให้ด้วยความระมัดระวัง

แต่ไม่คิดว่าการกระทำอย่างระมัดระวังของเซียวเหยียนจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากการเป็นคนบาปของมหาพันภพ

เปลวไฟรอบตัวชิงซันและปู้สื่อก็ค่อยๆ หายไป พวกเขาหลุดพ้นจากการคุมขังของจอมปีศาจเซิ่งเทียน จากนั้นก็มองไปที่ฉิงเทียนอย่างเป็นกังวล

เมื่อพวกเขาเห็นเพลิงจักรพรรดิบนร่างฉิงเทียน พวกเขาก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็พากันถอนหายใจโล่งอก

ยามนี้ค่ายกลดับแสงพันปีศาจเหลือเพียงม่านแสงชั้นสุดท้าย หากเปิดออกเผ่าปีศาจก็จะสามารถบุกเข้ามาในดินแดนวั้นมู่ได้ ยิ่งหากพวกมันสามารถปลดปล่อยเทพปีศาจจักรพรรดิได้ละก็ งานนี้เรียกว่าหายนะครั้งใหญ่สุดๆ แน่

“บ้าเอ๊ย!”

สายตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนน่าสะพรึงกลัว เขาไม่เคยคิดว่าแผนนี้จะล้มเหลว นี่ยิ่งทำให้ไอสังหารหนาแน่นปกคลุมไปทั่ว

“ฉิงเทียน รีบเร้าค่ายกลฟื้นฟูการป้องกัน!” ปู้สื่อร้องเรียกสติ

ฉิงเทียนหายใจเข้าลึกๆ เริ่มวาดตราประทับ ค่ายกลผันผวนอีกครั้งพร้อมกับม่านแสงการป้องกันเพิ่มขึ้นทีละชั้น

“โจมตีเข้าไป! ฉีกค่ายกลนั่นให้แหลกไปเลย!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนโบกมือบัญชาการพร้อมกับดวงตาวูบแสงเย็นเยือก

ตู้ม!

ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็พลุ่งพล่านที่ด้านหลังจอมปีศาจเซิ่งเทียน เสียงคำรามดังก้อง ร่างปีศาจทะยานออกมานับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาปราการป้องกัน

“ทุกคนหมุนเวียนคลื่นหลิงลงไปในค่ายกล!” ใบหน้าของฉิงเทียนเคร่งเครียดขณะตะโกนกร้าว

เมื่อเห็นเผ่าปีศาจต่างมิติเริ่มการโจมตี ทุกคนต่างก็ส่งเสียงคำราม คลื่นหลิงพลุ่งพล่านในร่าง ร่างเทห์สวรรค์ของแต่ละคนก็ถูกเร้าออกมาทันที กระแสพลังหลิงนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่โลงศพ

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ขณะที่ควันปีศาจพุ่งหวือ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คลื่นหลิงจะระเบิดออกจากร่างพวกเขาเทลงในขบวนแถวแสงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขบวนแถวแสงระเบิดขึ้นด้วยความกระจ่างใส ปะทะกับร่างปีศาจที่กำลังพุ่งเข้าใส่

ชี่ ชี่!

ในช่วงเวลาปะทะกัน รัศมีก็แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่ากลัว ในเส้นทางของรัศมีร่างปีศาจไม่สามารถแม้แต่จะได้ส่งเสียงสักแอะก็ถูกทำให้บริสุทธิ์ไปในทันที

ค่ายกลดับแสงพันปีศาจถูกสร้างขึ้นด้วยพลังชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ สามารถต้านทานรัศมีปีศาจทุกประเภทได้ ซึ่งจะเริ่มต้นการโจมตีทันทีที่สัมผัสได้ เฉพาะจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนขุมพลังหลิงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย

“พุ่งเข้าไป!”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากถูกสังหารในพริบตา ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย เสียงเยือกเย็นดังก้อง

ดังนั้นเสียงคำรามจึงก้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างปีศาจก็คล้ายกับหิ่งห้อยเล่นไฟ พุ่งเข้าใส่ค่ายกลอย่างไม่เกรงกลัว

“ช่างเลือดเย็นนัก ค่ายกลดับแสงพันปีศาจจะโจมตีรัศมีปีศาจทุกประเภท แม้ว่าเขาจะเสียสละกำลังพลอีกหลายส่วน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าแนวป้องกันไป” ฉิงเทียนกล่าวเสียงเย็น

ชิงซันและปู้สื่อก็พยักหน้า แต่ฝ่ายหลังมีความระมัดระวังมากกว่าจึงพูดขึ้นว่า “เราก็ไม่สามารถลดการป้องกันได้ พวกปีศาจรอคอยเวลานี้มานานหลายหมื่นปี ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ง่ายแน่”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองไปที่ฉากเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ในเวลาแค่สิบกว่านาทีพวกเขาไม่รู้ว่ามีนักรบจบชีวิตไปแล้วเท่าไร มากจนมีนักรบราชันปีศาจเกือบร้อยคนที่สละชีวิตไปแล้วด้วย

แต่ถึงแม้จะเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนขบวนแถวแสงได้

“ค่ายกลที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้เป็นหายนะกับเผ่าปีศาจของข้าแท้จริง” ประมุขสามสิบสองเผ่าใหญ่บางคนกล่าวด้วยความกลัวและความเกลียดชัง

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองไปที่กองทัพนักรบปีศาจที่เสียหายหนักอย่างไม่แยแส จนกระทั่งวินาทีหนึ่งเขาก็พึมพำออกคำสั่งอย่างเย็นชา

ลำแสงปีศาจหลายสิบสายพุ่งรวมเข้าในรัศมีปีศาจจากนั้นก็ทะยานไปยังขบวนแถวแสงของค่ายกล

“จอมปีศาจเซิ่งเทียนเป็นบ้าไปรึ? ถ้าทำอย่างนี้ต่อ แม้ว่านักรบทั้งหมดจะพุ่งเข้าชนก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลได้หรอก!” ฉิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะมองไปที่เผ่าปีศาจต่างๆ ที่พุ่งเข้าสู่ความตาย

ชิงซันและปู้สื่อก็งุนงงไปเช่นกัน นี่เป็นเรื่องผิดปกติเกินไป

ขณะที่พวกเขากำลังงุนงง นักรบปีศาจอีกมากมายที่ถูกรัศมีจากขบวนแถวแสงกวาดโดนก็สลายหายไปในอากาศ จากนั้นนักรบอีกกลุ่มก็พุ่งเข้ามา

รัศมีจากค่ายกลซัดไปที่ร่างปีศาจหลายสิบร่างนั้น

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นทันใด ร่างปีศาจหลายสิบร่างหยุดชะงักเพียงชั่วครู่ พวกมันไม่ได้ถูกชำระบริสุทธิ์เหมือนปีศาจคนอื่นๆ แต่พวกมันกลับเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าหาขบวนแถวค่ายกลได้

“อะไรน่ะ?!”

เมื่อรับรู้ถึงสิ่งนี้ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็ตกใจ ปีศาจเหล่านี้ต่อต้านรัศมีบริสุทธิ์ได้เรอะ?

“หยุดพวกมัน!” ทั้งสามรู้สึกไม่สบายใจจนต้องเปล่งเสียงคำรามออกมา

ตู้ม ตู้ม!

แต่ประมุขเกือบสิบในสามสิบสองคนของเผ่าปีศาจใหญ่ก็เคลื่อนไหว รัศมีปีศาจรุนแรงกวาดเข้าหาทั้งสามคน

ปัง ปัง!

ขณะที่สวรรค์และโลกถูกฉีกออกจากกัน พวกฉิงเทียนก็ถูกขัดขวางไปชั่วขณะ ตอนนี้สายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะเคลื่อนไหวแล้ว

ดังนั้นปีศาจหลายสิบร่างก็พุ่งเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของแถวแสงแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องตกใจ ค่ายกลปฏิเสธรัศมีปีศาจทั้งหมด ตราบใดที่พวกมันสัมผัสก็จะถูกทำให้บริสุทธิ์…” ปู้สื่อปลอบใจ แต่ก่อนที่จะพูดประโยคนั้นจบ ร่างปีศาจหลายสิบร่างก็เข้ามาสัมผัสกับแถวแสงแล้ว

ทันใดนั้นรัศมีปีศาจรอบๆ ก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่จากร่างกายของพวกมัน

“คลื่นหลิง?! เป็นไปได้ไง?!”

ยามนี้ยอดยุทธ์ทั้งสามเบิกตากว้างด้วยความตกใจหวาดผวาเมื่อเห็นรัศมีปีศาจรอบๆ ร่างเงาหลายสิบร่างถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิง นอกจากนี้ทั้งหมดก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนด้วย!

“พวกปีศาจบ่มเพาะคลื่นหลิงได้อย่างไร?!” ดินแดนวั้นมู่ตกอยู่ในความโกลากลเช่นกัน ทุกคนมองไปที่ฉากนี้ด้วยความไม่อยากเชื่อ

เมื่อพิจารณาจากรัศมีปีศาจก่อนหน้าก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าปีศาจแน่แท้ แต่ตอนนี้พลังหลิงที่เปิดเผยออกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย

เมื่อร่างเงาจำนวนมากสัมผัสกับเกลียวแสง คลื่นหลิงก็ปะทุขึ้น ค่ายกลไม่ได้ก่อสิ่งกีดขวางใดๆ ทำให้พวกมันเข้ามาในดินแดนวั้นมู่ได้

“ฮ่าๆ! ฉิงเทียน จักรวรรดิปีศาจวางแผนมาหลายหมื่นปี พวกแกไม่สามารถจินตนาการได้หรอก!” เสียงหัวเราะร่าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังขึ้น

“พวกแกทุกคนสงสัยใช่ไหมล่ะว่าเผ่าปีศาจเพาะบ่มคลื่นหลิงได้อย่างไร?

“ง่ายมาก เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นปีศาจสายเลือดบริสุทธิ์แท้จริง แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นมาจากเผ่าปีศาจและเผ่ามหาพันภพ พวกเขาเป็นชนรุ่นใหม่ที่พวกข้าเลี้ยงดู ซึ่งถูกเรียกว่าเผ่าเสียหลิง มิหนำซ้ำยังสามารถเพาะบ่มทั้งพลังปีศาจและพลังหลิงได้ตั้งแต่เกิด! วะฮะฮ่าๆ!”

จอมยุทธ์ทุกคนเงียบไปขณะที่สีหน้าเขียวคล้ำ

จักรวรรดิปีศาจต่างมิติยึดครองพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของมหาพันภพรวม รวมถึงพิภพเขตล่างอีกนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีจำนวนประชากรเพียงพอที่จะทำทดลองเช่นนั้น เนื่องจากพวกมันไม่ได้กังวลกับการตายของสิ่งมีชีวิตที่มีต้นกำเนิดมาจากมหาพันภพ…

ที่สำคัญที่สุดคือพวกมันประสบความสำเร็จ

ใบหน้าของจอมยุทธ์ทุกคนมืดมนขณะเงยหน้าขึ้น พวกเขามองร่างเงาหลายสิบร่างที่พุ่งผ่านม่านแสง เมื่อรัศมีหลิงรอบตัวหายไป ร่างเหล่านั้นก็ถูกเปิดเผยในครรลองสายตา

พวกมันดูเหมือนมนุษย์ในมหาพันภพ แต่สามารถสังเกตเห็นดวงตาปีศาจบนฝ่ามือที่ค่อยๆ เปิดออก

ทันใดนั้นคลื่นหลิงทรงพลังก็พัดออกจากร่างกายพวกมัน

‘ไอ้ตัวเหล่านี้…ถูกเรียกว่า ‘เผ่าเสียหลิง’ เรอะ?’

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท