หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1542 กระบี่ ดาบ เลือดและไฟ

บทที่ 1542 กระบี่ ดาบ เลือดและไฟ

จักรวรรดิปีศาจปรากฏในมหาพันภพ

เมื่อสงครามอุบัติขึ้น ไฟแห่งการป้องกันของมหาพันภพก็จุดขึ้น…

เลือดและไฟกวนตัวในความสงบสุขตลอดสี่หมื่นเก้าพันปีจนหมดสิ้น

ราวกับว่าศัตรูพยายามระบายความโกรธที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากการปราบปรามของมหาพันภพ การรุกรานของเผ่าปีศาจดุเดือดเลือดพล่านราวกับฝูงตั๊กแตนกวาดผ่าน ครอบงำไปด้วยรัศมีปีศาจเหมือนต้องการเปลี่ยนโลกเลยทีเดียว…

เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจที่รุกรานเข้ามา มหาพันภพที่เตรียมตัวมาหลายปีก็ระเบิดด้วยการตอบโต้รุนแรงหลังจากเงียบงันอยู่ชั่วครู่

สงครามแพร่กระจายออกไปในแนวป้องกัน คลื่นปีศาจและคลื่นหลิงปะทะกันสาดแสงราวกับดอกไม้ไฟงดงาม

ทว่าดอกไม้ไฟเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดและเนื้อ

ถัดจากชั้นแนวป้องกัน

มีเมืองที่ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านพร้อมกับรัศมีที่แผ่ออกมาล้อมรอบแนวป้องกันไว้ภายใน ภายใต้รัศมีแม้แต่การฟื้นตัวของคลื่นหลิงก็รวดเร็วขึ้น

เมืองนี้เป็นป้อมปราการที่ถือได้ว่าเป็นค่ายหลักของกองทัพสมาพันธ์มหาพันธ์ภพโดยมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามรักษาการณ์เพื่อป้องกันการบุกเข้ามาของเทพปีศาจจักรพรรดิ

รอบเมืองเอิบอาบไปด้วยรัศมี นี่เป็นค่ายกลระดับต้าจงซือ ซึ่งรู้จักกันในชื่อค่ายกลหมุนฟ้าเปลี่ยนวิญญาณที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและเหล่าหลิงเจิ้นซือทั่วสารทิศทำงานร่วมกันสร้างขึ้น ภายในขอบเขตของค่ายกลสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพจะได้รับการฟื้นฟูคลื่นหลิงรวดเร็วขึ้น มิหนำซ้ำยังสามารถขยายความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธสงครามชั้นยอด

เป็นเพราะค่ายกลนี้เองที่ชั้นแนวป้องกันสามารถต้านทานการโจมตีของเผ่าปีศาจได้

ที่จุดสูงสุดในเมืองเป็นวังงดงามที่เหล่าจอมยุทธ์อยู่ภายใน แต่ละร่างแผ่ซ่านไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง

ผู้นำทั้งสองนั่งบนบัลลังก์ พวกเขาก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้นำกองทัพวังมหาพันภพ แม้กระทั่งฉิงเทียนก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

ในวังใหญ่ ฉิงเทียน ชิงซัน จักรพรรดิมังกรแท้จริงและเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ ก็รวมตัวกัน แสดงถึงพลังสูงสุดของมหาพันภพ

ภายในวังทุกคนแสดงสีหน้าหนักหน่วงพร้อมกับร่างกายตึงเครียดและพลุ่งพล่านไปด้วยพลังงานรอบตัว

เมื่อหลินต้งและเซียวเหยียนแลกสายตากันก็กล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนทราบแล้วว่าจักรวรรดิปีศาจได้เปิดการโจมตี สงครามมหาพันภพก็จะเริ่มขึ้น…”

คำพูดของพวกเขาทำให้ม่านตาทุกคนหดลง แต่ละคนกำจายไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

“ท่านเทพจักรพรรดิอัคคี ท่านเทพจักรพรรดิสงครามโปรดออกคำสั่ง พวกข้ายินดีจะต่อสู้กับจักรวรรดิปีศาจจนตัวตาย!” ฉิงเทียนประสานมือเข้าด้วยกัน

ดวงตาของทุกคนเปี่ยมด้วยความแกร่งกร้าว นี่เป็นสงครามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อปกป้องสำนัก ครอบครัวและสหาย พวกเขาต้องสู้ตายเท่านั้น

เซียวเหยียนพยักหน้าเสียงดังก้องด้วยจิตสังหาร “ฟังคำสั่ง นำผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าพุ่งไปเป็นแนวหน้า ทุกทวีปในแนวหน้าจะต้องมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายเป็นแม่ทัพเพื่อป้องกันจอมปีศาจของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ”

“รับทราบ!”

ฉิงเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ตอบสนองทัน

“ไอ้พวกปีศาจยึดครองพิภพเขตล่างเอาไว้จำนวนมาก บางส่วนสามารถเชื่อมต่อกับดินแดนชั้นในของมหาพันภพ ดังนั้นให้จัดตั้งกลุ่มลาดตระเวนเพื่อตรวจตราดินแดนภายในและกวาดล้างเผ่าปีศาจที่บุกเข้ามา!”

“รับทราบ!”

ทุกคนร้องตอบรับอีกครั้ง

หลินต้งมองไปที่ทุกคนประกาศว่า “เซียวเหยียนและข้าจะบัญชาการอยู่ที่นี่ ครั้งนี้พวกเราไม่สามารถเข้าร่วมศึกโดยตรงได้ ดังนั้นขอฝากพวกเจ้าทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพขึ้นให้จงได้”

“ท่านเทพจักรพรรดิสงครามทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” บางคนงงงวยเนื่องจากกลศึกสงครามจะต้องลำบากอย่างแน่นอนหากขาดเทพจักรพรรดิทั้งสอง

เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นดวงตาแล่นพล่านด้วยเปลวไฟขณะที่มองผ่านมิติตอบว่า “ไอ้เทพปีศาจเล็งเป้ามาที่พวกข้า ดังนั้นพวกข้าต้องจับตาดูมันไว้เช่นกัน”

แม้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิจะยังไม่ปรากฏตัว แต่เมื่อมาถึงระดับอย่างพวกเขา ต่อให้เป็นการโจมตีจากระยะไกลจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถรับมือได้

ดังนั้นทั้งสองกองทัพจึงคุมเชิงกันและกันไว้

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านขณะรู้สึกไอเย็นเยือกพล่านไปในกระดูกสันหลัง ราวกับพวกเขาถูกจับตามองเอง

“ท่านเทพจักรพรรดิสงคราม ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีโปรดมั่นใจ มหาพันภพคือบ้านของเรา เพื่อปกป้องจักรวาลนี้ เราจะต่อสู้จนถึงคนสุดท้าย” จอมยุทธ์คนหนึ่งตอบอย่างเคร่งขรึม

ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากเผ่าปีศาจ มหาพันภพรวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว ความขัดแย้งทั้งหมดถูกระงับลง

เพราะตอนนี้ศัตรูใหญ่ของมหาพันภพคือจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเท่านั้น

อีกด้านหนึ่งของวังร่างเงาสะคราญโฉมยืนอยู่ด้านข้าง พวกนางมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนนัก

ทั้งสี่คนก็คือนายหญิงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู

“ฉากนี้คุ้นๆ นะ” ดวงตาของหลิงชิงจู๋วาบขึ้นด้วยไอสังหารขณะที่ถอนหายใจ ครั้งหนึ่งพวกนางก็เคยประสบกับสถานการณ์คล้ายคลึงกันในโลกของตัวเอง

อิ้งฮวนฮวนยืนอยู่ข้างหลิงชิงจู๋ เรือนผมทิ้งตัวลงรัศมีเย็นยะเยือกรวมตัวกันในม่านตา รูปลักษณ์ของนางยังเหมือนกับตอนที่พวกนางต่อสู้กับฮ่องเต้ยี่หมัวในอดีต

แต่ศัตรูครั้งนี้น่ากลัวกว่าเผ่ายี่หมัวหลายพันเท่า

“ในเมื่อเราขับไล่เผ่ายี่หมัวในอดีตได้ ครั้งนี้เราก็จะไล่จักรวรรดิปีศาจออกไปจากมหาพันภพได้เช่นกัน”

หลิงชิงจู๋พยักหน้ายิ้มให้อิ้งฮวนฮวน “แต่คราวนี้เจ้าห้ามเสียสละตัวเองนะ ไม่งั้นหลินต้งคงไม่รู้จะไปหาเจ้าจากที่ไหนอีก?”

ใบหน้าของอิ้งฮวนฮวนแดงระเรื่อ นายหญิงสองคนแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็อมยิ้ม ทำให้นางถึงกับกลอกตากับคำพูดของหลิงชิงจู๋

“ท่านแม่ เราก็ควรทำอะไรบ้างไหม?”

เสียงดังสะท้อนมาจากเบื้องหลัง ร่างเพรียวบางปรากฏตัวที่ด้านหลังไฉ่หลิง

นี่ก็คือเซียวเซียว!

“ใช่ เราต้องทำอะไรสักอย่าง! จะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้!” ถัดจากเซียวเซียว เสียงกระจ่างใสก็ดังขึ้น หลินจิ้งเห็นด้วยและจ้องมองไปที่มารดาทั้งสองของตัวเอง

พอเห็นว่าลูกสาวมีความกระตือรือร้นกับสงคราม นายหญิงทั้งสี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างจนใจ เซียวซุนเอ๋อยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ข้าบอกพ่อเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยให้พวกเจ้าจัดตั้งหน่วยร่วมกับลั่วหลีออกลาดตระเวนเพื่อกวาดล้างเผ่าปีศาจที่บุกเข้ามาในดินแดน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นดวงตาของหลินจิ้งก็กะพริบด้วยความผิดหวัง “งือ? รักษาความมั่นคงที่เบื้องหลังเหรอ? ข้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วดังนั้นมีสิทธิ์ไปแนวหน้าได้!”

หลิงชิงจู๋ปรายตาตอบว่า “การทำให้เบื้องหลังมั่นคงก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ไปอยู่ในแนวหน้า ดังนั้นเราต้องช่วยปกป้องความปลอดภัยของสำนัก ครอบครัวและสหายของพวกเขา”

พอได้ยินคำพูดของมารดา หลินจิ้งก็ทำได้จือปาก ไม่เถียงต่อ

ส่วนเซียวเซียวก็พยักหน้ารับ

เมื่อนายหญิงทั้งสี่เห็นว่าทำให้นางมารน้อยทั้งสองสงบลงได้ก็สบตากันและรู้สึกโล่งใจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังสิ้นชีพได้ในแนวหน้า บุตรสาวทั้งสองยังไม่มีประสบการณ์มากพอ ถ้าไปแนวหน้าพวกนางจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแน่ ดังนั้นการส่งไประวังหลังเป็นหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว

แม้ว่าพวกนางจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของมหาพันภพเช่นกัน มิหนำซ้ำยังยอมไปเผชิญหน้ากับแนวหน้าด้วยตัวเอง แต่ในฐานะมารดาก็อยากให้ลูกๆ ปลอดภัยก่อน

“ใช่ท่านแม่ มู่เฉินล่ะ? ข้าไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลย ช่างต่างจากนิสัยของเขามาก” หลินจิ้งกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินก็ควรจะอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าความสามารถในการก่อปัญหาที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นไม่น่าเชื่อที่เขาจะหายตัวไป

เมื่อได้ยินคำถามของหลินจิ้ง เซียวเซียวก็จ้องมองมา นางก็กังวลเกี่ยวกับข่าวของสหายคนนี้เช่นกัน ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ข้อมูลของมู่เฉิน ข่าวลือในบางครั้งไม่อาจเชื่อได้เลย

นายหญิงทั้งสี่ฉายสีหน้าหนักใจ พวกนางรู้เรื่องมู่เฉินดี ดังนั้นจึงรู้ว่าตำแหน่งเขาสำคัญเพียงใดในสงครามครั้งนี้

“ไม่ต้องห่วงเขา ครั้งต่อไปที่เขาปรากฏตัวทั่วทั้งมหาพันภพจะมีแต่ขวัญและกำลังใจ… พวกเราล้วนภาวนาให้เขาจะประสบความสำเร็จ”

หลังจากแจ้งคำสั่งทั้งหมดออกไป

เซียวเหยียนและหลินต้งก็ลุกขึ้นยืนกวาดสายตาไปยังทุกคน

“จักรวรรดิปีศาจต้องการยึดครองบ้านของเรา…”

“และเราจะบอกพวกมันว่าสิ่งที่จะต้อนรับก็คือดาบ กระบี่ เลือดและไฟ!”

*****เข้าสู่โค้งสุดท้าย ศึกใหญ่ระเบิดแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท