หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1530 ทำเนียบเหนือภพ

บทที่ 1530 ทำเนียบเหนือภพ

“แกก็ไม่สามารถดูถูกเหยียดหยามมหาพันภพได้”

เมื่อเสียงของเทพจักรพรรดิทั้งสองดังกึกก้อง ม่านรัศมีขนาดใหญ่ก็เคลื่อนลงมา แยกรัศมีปีศาจออกจากกัน

มู่เฉินและเหล่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง คลื่นหลิงที่ไหลเวียนระหว่างฟ้าดินมาถึงระดับที่น่ากลัว

ซึ่งอยู่ในระดับที่แม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังต้องเกรงกลัว

นอกจากนี้ยังมีพลังงานที่น่าทึ่งบรรจุอยู่ในคลื่นหลิงอีกด้วย แรงกดดันใกล้เคียงกับโลกมาก

ใบหน้าของเทพปีศาจดูเคร่งขรึมลงขณะมองไปที่คลื่นหลิง ม่านตาที่คล้ายกับหุบเหวค่อยๆ เย็นเยือกลง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปในความว่างเปล่า เวลานี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังบีบกดลงมา

ขณะที่เมฆรัศมีหลิงโปรยลงมา พื้นที่ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแล้วค่อยๆ รวมตัวกัน ไม่ช้าทุกคนก็เห็นม่านขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือดินแดนวั้นมู่

“นั่นอะไร?”

ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ มองไปที่ม่านรัศมีที่กำจายกลิ่นอายลึกลับ ดูเหมือนว่าจะถูกสลักไว้ด้วยทิวทัศน์และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

แรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามา หัวใจของทุกคนก็ไหวโยกด้วยความกลัวจากพลังงาน

เซียวเหยียนและหลินต้งมองไปที่ม่านลึกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นี่คือปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ”

“ปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ?” ทุกคนใจสั่น นี่คือโอกาสในตำนานที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามขอบเขตแห่งเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งรึ?

“จอมยุทธ์คนแรกที่สามารถสัมผัสถึงปณิธานเอกภพในมหาพันภพได้คือท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์” เซียวเหยียนมองไปที่ม่านรัศมีลึกลับขณะเอ่ยออกมา “และเขาก็ได้ตั้งชื่อปณิธานเอกภพว่า…”

“ทำเนียบเหนือภพ!”

“ทำเนียบเหนือภพ?” ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป เนื่องจากเมื่อได้ยินชื่อก็ราวกับว่ามีพลังอันเหลือเชื่อตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้พวกเขามองไปด้วยความปราถณา

“โลกเปรียบดังกระดาน… ตราบใดที่ใครสามารถจารึกชื่อไว้ได้ พวกเขาจะได้รับการยอมรับจากมหาพันภพและครอบครองพลังเอกภพนี้” หลินต้งอธิบาย

ทุกคนเงยหน้าขึ้นขณะมองไปม่านรัศมีลึกลับ ซึ่งก็คือทำเนียบเหนือภพพร้อมกับความเคารพในสายตา

ทำเนียบเหนือภพทั้งลึกลับและลึกซึ้ง แต่เมื่อทุกคนมองไปอย่างละเอียดก็จะเห็นคำโบราณหนึ่งบนม่านรัศมี…

“เยี่ย!”

“เยี่ย?! นั่นหมายความว่าอะไร?” ฉิงเทียนและคนที่เหลือหดดวงตา

“เยี่ย…คือแซ่ของท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์” เสียงของปู้สื่อสั่นพร่า

“ใช่แล้ว นั่นคือแซ่ของท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ ในสมัยโบราณเขาสามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ จึงกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและสลักแซ่ของเขาเอาไว้”

เซียวเหยียนพยักหน้า “แต่น่าเสียดายที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ล้มเหลวในการจารึกชื่อเต็มของตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพ เขาสามารถจารึกแซ่ไว้ได้เท่านั้น มิฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสละชีวิตเพื่อผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิ”

ทุกคนอุทาน ในที่สุดก็เข้าใจ แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า ‘เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง’ ก็คือการสัมผัสได้ถึงปณิธานเอกภพและกระตุ้นทำเนียบเหนือภพ สุดท้ายก็สลักชื่อไว้ ถ้าสำเร็จก็จะสามารถควบคุมพลังงานเอกภพ บรรลุเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…

“แม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์ยังทิ้งแซ่ไว้ข้างหลังได้เท่านั้น…” ทุกคนสูดหายใจเย็นลึกสุดปอดแม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังไม่สามารถจารึกชื่อเต็มได้ ดังนั้นพวกเขาบอกได้เลยว่าการจารึกชื่อไว้นั้นยากเย็นเพียงใด

เทพปีศาจมองไปที่ทำเนียบเหนือภพโดยไม่มีอารมณ์บนใบหน้า ก่อนจะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ไม่คิดว่าพวกแกสองคนจะสามารถเรียกปณิธานเอกภพได้…”

“แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้สึกถึง หากแกไม่สามารถจารึกชื่อของตัวเองได้ ก็ช่างเป็นความพยายามที่ไร้ผล”

เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก่อนที่จะยิ้มอ่อน รอยยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจขณะที่หัวเราะร่า “ในเมื่อท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์สามารถบรรลุได้ ในฐานะคนรุ่นหลังพวกข้าก็ไม่ยอมอยู่เบื้องหลังคนรุ่นก่อนแน่นอน”

เมื่อเสียงหัวเราะสองเสียงดังก้อง เซียวเหยียนและหลินต้งก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ฟู่ ฟู่!

เพลิงโชติช่วงลุกโชนออกมาจากร่างกายของเซียวเหยียนเอิบอาบด้วยความลึกซึ้ง แทรกซึมรัศมีราชัน ราวกับว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเพลิงทั้งหมด

นั่นคือเพลิงจักรพรรดิในตำนานแห่งเปลวเพลิงทั้งหมด!

เมื่อเพลิงจักรพรรดิปรากฏขึ้นท้องฟ้า อุณหภูมิของโลกก็เพิ่มสูงขึ้นราวกับหม้อต้มที่มีร่องรอยการหลอมละลาย

“วันนี้ข้าเซียวเหยียนจะฝากชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพ!”

เซียวเหยียนหัวเราะขณะที่เพลิงโชติช่วงรวมตัวกันกลายเป็นพู่กันขนาดใหญ่ที่ก่อจากเปลวไฟ จากนั้นเซียวเหยียนก็กอดอากาศ พู่กันมหึมาเคลื่อนผ่านมิติไปยังทำเนียบเหนือภพ

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อพู่กันเข้าใกล้ หมอกลึกลับก็พล่านบนกระดาน แม้ว่าหมอกจะดูเบาบางแต่ก็ลึกซึ้งราวกับว่าสามารถบดบังทุกสิ่งได้

ปัง!

หลินต้งก็เคลื่อนไหวออกไปเช่นกัน รัศมีแสงเจิดจรัสระเบิดออกมาจากร่างกาย ทว่ากลับมีสีทั้งหมดแปดสีที่แตกต่างกัน ในเส้นแสงทุกสีจะเป็นตัวแทนของพลังหลิงทั้งหมดแปดประเภทที่หลอมรวมกันอย่างลงตัว

รัศมีทั้งแปดแปรผันกลายเป็นดัชนีใหญ่ ดัชนีแทงทะลุมิติราวกับว่ามีพลังงานไร้ขอบเขตขณะพุ่งลงไปที่ทำเนียบเหนือภพ

“เปิดซะ!”

เซียวเหยียนและหลินต้งร้องตะโกน เสียงของพวกเขาทำให้มิติแปรปรวน

ฮึ่ม ฮึ่ม!

หมอกลึกลับรอบๆ ทำเนียบเหนือภพกระเพื่อมไหวราวกับว่ากำลังป้องกันไม่ให้สิ่งใดเข้ามาใกล้ได้ แต่ด้วยพลังงานหลิงรอบเซียวเหยียนและหลินต้งแข็งแกร่งนัก สิ่งกีดขวางจึงถูกฉีกออกจากกัน

พู่กันเปลวไฟและดัชนีแปดสีฉีกผ่านหมอกพลิ้วลงบนทำเนียบเหนือภพภายใต้สายตาตกตะลึงของเหล่าจอมยุทธ์

แรงกดดันน่าเหลือเชื่อแผ่ซ่านมาจากทำเนียบเหนือภพ กระจายออกไประหว่างฟ้าดิน

ภายใต้แรงกดดันเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายแบบฉิงเทียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากพบว่ากระทั่งขยับนิ้วยังทำไม่ได้…

มีเพียงเซียวเหยียนและหลินต้งเท่านั้นที่ยังคงแสดงออกอย่างสงบขณะที่สะบัดมือไปมา

ทุกคนจับจ้องไปที่ทำเนียบเหนือภพพร้อมกับพู่กันและดัชนีพลิ้วลงไป ทำเนียบเหนือภพสั่นสะเทือน เสียงดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

ยามนี้ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพต่างสัมผัสได้ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศของดินแดนวั้นมู่

พู่กันและดัชนีเคลื่อนลงมาขีดเขียนลงบนทำเนียบเหนือภพ…

คลื่นหลิงทั่วภูมิภาคสั่นสะเทือนภายใต้สายตาของทุกคน บนทำเนียบเหนือภพมีเปลวไฟปะทุขึ้น ทุกการขีดเขียนดูสบายมั่นใจ แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าการกระทำนี้ยากแค่ไหน

เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายภายใต้แรงกดดันของทำเนียบเหนือภพได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าการกระทำที่ยากอย่างการจารึกชื่อเอาไว้เลย

ขณะที่แสงหลิงแล่นแปลบปลาบ สีหน้าของเซียวเหยียนและหลินต้งก็เคร่งขรึมลง แขนของพวกเขาสั่นเทิ้ม ขณะที่หอบหายใจบีบพลังทั้งหมดในร่างกายออกไป…

ความสว่างบนทำเนียบเหนือภพหนาแน่นขึ้น ทุกคนสามารถเห็นอักษรสองตัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เซียว!

หลิน!

เมื่อทั้งสองคำเสร็จสิ้นลง เซียวเหยียนและหลินต้งก็หยุดนิ่ง มองเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของพวกเขา

พวกเขามองไปที่แซ่ตนเองบนทำเนียบเหนือภพ แต่สีหน้าของพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่คลายลงกลับดูจริงจังมากขึ้น

นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาตวัดเส้นสายสุดท้ายเสร็จสิ้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเหลือเชื่อที่โอบล้อมร่าง แรงกดดันนั้นทำให้พวกเขารู้สึกทนไม่ได้

ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพจักรพรรดินิรันดร์จึงไม่ได้เขียนชื่อเต็มเอาไว้…

เพราะส่วนหลังนี่ยากเกินไป

พวกเขารู้สึกได้ว่าถ้าลุยเดินต่อไปเรื่อยๆ พู่กันและดัชนีจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จากพลังงานเอกภพ…

ทั้งสองคนยืนอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานก่อนที่จะถอนหายใจโบกมือ พู่กันและดัชนีก็หายไป

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย หากทั้งสองทำขั้นตอนสุดท้ายสำเร็จ เซียวเหยียนและหลินต้งก็จะกลายเป็นเทพจอมยุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในมหาพันภพที่สามารถจารึกชื่อสมบูรณ์ของตนเองเอาไว้ได้

นี่จะเป็นสิ่งที่เกินกว่าความสำเร็จของเทพจักรพรรดินิรันดร์

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จในตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว จากความสำเร็จนี่เทียบเท่ากับเทพจักรพรรดินิรันดร์เลยทีเดียว!

ตู้ม!

พร้อมกับการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทำเนียบเหนือภพลึกลับก็สะท้อนด้วยเสียงดังกึกก้อง รัศมีลึกลับแผ่ออกมาปกคลุมอักษรแซ่ทั้งสองไว้…

ยามนี้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายก็สามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขามองเซียวเหยียนและหลินต้ง ก็เห็นพลังงานลึกลับพลุ่งพล่านลงมาปกคลุมทั้งสองเอาไว้

เมื่อมองไปที่พวกเขา ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงความเคารพในใจที่เพิ่มขึ้น

รัศมีลึกลับรวมตัวกันที่หว่างคิ้วของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

ซึ่งวาดอักขระเพลิงที่หว่างคิ้วของเซียวเหยียว ขณะที่อักขระเทวลิขิตวาดบนหน้าผากของหลินต้ง

อักษรทั้งสองคล้ายกับตราประทับของโลก ทำให้พวกเขาดูสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อทั้งสองคนกวาดสายตาไป แรงกดดันที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็แทรกซึมเข้ามา ราวกับว่าเป็นจอมราชันของโลกนี้ พลังมหาศาลติดตามทุกการคลื่อนไหว ซึ่งเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว

ฉิงเทียน ปู้สื่อและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็มองไปที่ภาพนี้ด้วยความร้อนแรงและความคาดหวังในดวงตา

พวกเขาคิดว่าตนเองมาถึงที่สุดของขุมพลังแล้ว แต่ขณะนี้พวกเขาตระหนักว่ายังไม่ถึงจุดสิ้นสุด…

“นี่เหรอ ทำเนียบเหนือภพ…”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกระดาน ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงเลือดพลุ่งพล่านขณะที่มือกำแน่นพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องออกมา

“ในชีวิตนี้ที่สุดแห่งความปรารถนาของข้าคือจารึกชื่อตัวเองไว้บนทำเนียบเหนือภพนี้”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท