หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1538 เก็บกวาดและฝึกฝน

บทที่ 1538 เก็บกวาดและฝึกฝน

ในมิติปีศาจที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด

ชั้นอากาศเต็มไปด้วยรัศมีน่าขนลุกพร้อมกับการกัดกร่อนบนชั้นดิน

หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาสองมือไพล่หลัง ขณะที่มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ คิ้วของพวกเขาขมวดแน่น ที่ปลายขอบฟ้าสามารถมองเห็นร่างแสงนับไม่ถ้วน พวกเขาคือกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพซึ่งกำลังค้นหาร่องรอยของจักรวรรดิปีศาจอยู่

ตั้งแต่ประกาศสงครามนี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว

ช่วงครึ่งปีสงครามไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง เพราะเมื่อกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพเข้ามาพื้นที่ทั้งหมดก็ว่างเปล่า

ขณะที่กวาดล้างก็พบปีศาจหลงเหลืออยู่บางส่วน แต่ทันทีที่เกิดการปะทะก็จะถูกล้างบางโดยจอมยุทธ์มหาพันภพ ไม่รอให้สร้างความวุ่นวายใดๆ…

“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง… เราได้ข้อมูลจากเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ว่าพวกมันถอยกลับไปยังพิภพเขตล่างแล้ว…” ฉิงเทียนปรากฏตัวที่ด้านหลังทั้งสอง

“ซ่อนตัวจริงๆ ด้วย”

เซียวเหยียนถอนหายใจ เทพปีศาจจักรพรรดิยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากต้องฟื้นตัว ทว่าพวกเขาไม่ได้มีข้อกังวลในเรื่องนี้ ดังนั้นเวลานี้ฝ่ายสมาพันธ์มหาพันภพได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เผ่าปีศาจทั้งหลายก็ตัดสินใจที่จะซ่อนตัว

“ในเมื่อพวกมันอยู่ในรู เราก็จะขุดออกทีละตัว!” เสียงเหี้ยมหาญของหลินต้งดังก้องอย่างเย็นชา เผ่าปีศาจทรงพลัง แม้ว่าพวกมันจะซ่อนตัวอยู่ในพิภพเขตล่าง แต่ก็ยังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด ดังนั้นด้วยการตรวจจับที่แม่นยำก็สามารถค้นหาได้

ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เผ่าปีศาจอยู่อย่างสงบสุขและให้เทพปีศาจเข้าสู่สมาธิได้

“ตกลง!”

ฉิงเทียนพยักหน้าพร้อมกับไอสังหารกะพริบในนัยน์ตาก่อนจะหันกลับ กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพมาด้วยความกล้าที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิต ตอนแรกคิดว่าจะมีการต่อสู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีใครคิดว่ากลับไม่พบอะไรเลย

ฉิงเทียนมุ่งหน้าไปแล้ว หลินต้งและเซียวเหยียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในสายตาของกันและกัน พวกเขารู้ดีว่าหากเทพปีศาจต้องการซ่อนตัวจริงๆ ก็จะเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะค้นหาอีกฝ่ายผ่านพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน

ทุกวันที่ผ่านไปเทพปีศาจจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดก็จะฟื้นตัวเต็มที่

“ไม่รู้ว่าตอนนี้มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

พวกเขาหันไปมองทางมหาพันภพพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด

“หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จ มิฉะนั้นมหาพันภพจะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยในอีกห้าปีข้างหน้า…”

ควับ ควับ!

พายุทอร์นาโดหลิงกวนตัวอยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน การขยายตัวทุกครั้งทำให้ดินแดนวั้นมู่ฉีกออกเป็นชิ้นๆ…

ที่ใจกลางของพายุทอร์นาโดร่างเงาสองร่างนั่งหันหน้าเข้าหากันคล้ายกับก้อนหิน

มือของพวกเขาประสานเข้าด้วยกัน คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุดและคำรามอยู่ภายในร่างกายของมู่เฉิน ฉีกทึ้งร่างของเขาออกจากกัน ขณะเดียวกันก็ซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง

เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่าใบหน้าของมู่เฉินก็ไม่มีริ้วอารมณ์ใด นั่นเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดนี้มาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา

เนื่องจากเขาชินจึงรู้สึกด้านชาโดยธรรมชาติ

ปู้สื่อนั่งบนเสาที่ไกลออกไปขณะมองมู่เฉิน “ขั้นเซียนระยะปลายแล้ว…”

เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่เอิบอาบออกมาจากร่างกายของมู่เฉินมาถึงขอบเขตขั้นเซียนระยะปลายเรียบร้อยแล้ว

“ค่อนข้างช้านะ…”

ปู้สื่อพึมพำ ถ้านับตามเวลาปกติถือว่ารวดเร็วสำหรับผู้ฝึกที่ไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้ภายในหกเดือน แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังรับมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ความเร็วนี้ไม่สามารถคำนวณได้ตามปกติ

นอกจากนี้ปู้สื่อยังสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อมาถึงขั้นเซียนระยะปลาย การเสริมสร้างพลังของมู่เฉินก็ชะลอตัวลงเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงไม่เพียงพอ แต่มู่เฉินจงใจยับยั้งไว้

“คลื่นลูกใหม่กลบคลื่นลูกเก่าอย่างแท้จริง มิน่าล่ะถึงก้าวมาสู่ขั้นนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์” ปู้สื่อพึมพำเนื่องจากตระหนักได้ว่ามู่เฉินกำลังตั้งใจทำอะไร

มู่เฉินกำลังยับยั้งการเสริมสร้างคลื่นพลัง เนื่องจากรากฐานจะไม่มั่นคงหากแข็งแกร่งขึ้นเร็วเกินไปแม้ว่าคลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะสูญเสียความตั้งใจและง่ายต่อการดูดซับก็ตาม

แต่พลังก็ทรงศักยภาพเกินไป ถ้าเขาดูดซับอย่างไม่เกรงกลัวก็จะสั่นคลอนรากฐานของตนเอง

ดังนั้นเขาจึงพยายามยับยั้งการดูดซึมและสร้างความชินกับพลังตนเอง แต่การทำแบบนี้เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่าเดิม…

ขนาดเผชิญกับโอกาสที่จะแข็งแกร่งเร็วขึ้น มู่เฉินยังมีจิตใจสงบและฝึกฝนด้วยความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ปู้สื่อมองไปด้วยความชื่นชม

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนถึงมีความเห็นที่ดีกับชายหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก

แต่แม้ว่าการฝึกฝนของมู่เฉินจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ได้ฝึกฝนในสิ่งที่เรียกว่าขั้นสามพิสุทธิ์ของวิชาสามพิสุทธิ์

สิ่งนี้ทำให้ปู้สื่อค่อนข้างกังวล เนื่องจากท้ายที่สุดมู่เฉินจะต้องพึ่งพาวิชานี้เพื่อก้าวไปบนทำเนียบเหนือภพ ถ้าไม่บรรลุสิ่งนี้ แม้ว่าด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉิน เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะลงนามบนทำเนียบเหนือภพได้

แต่ในขณะนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว

ดังนั้นมู่เฉินต้องสำเร็จขั้นสามพิสุทธิ์เท่านั้น เขาถึงจะมีคุณสมบัติในการลงนามบนทำเนียบเหนือภพ

ในทางกลับกันโอกาสนี้ไม่มีอะไรเลย แม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ตาม

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกปีครึ่ง

นั่นหมายความว่าเป็นเวลาสองปีแล้วที่เกิดสงครามในดินแดนวั้นมู่

ตู้ม ตู้ม!

พิภพเขตล่างแห่งหนึ่งกำลังถูกทำลาย ทั้งมิติแตกสลาย ริ้วแสงนับไม่ถ้วนทะยานออกมาปะทะกับเหล่าปีศาจ

ขณะเดียวกันหลินต้งและเซียวเหยียนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ยื่นมือออกมาโอบประคองไปเพื่อทำให้พิภพนี้มีเสถียรภาพขึ้น เพราะพิภพล่างเสี่ยงที่จะล่มสลายไปเมื่อจอมยุทธ์ทรงพลังนับไม่ถ้วนแห่กันเข้าไป

พิภพเขตล่างแห่งนี้ถูกยึดครองโดยหนึ่งในสามสิบสองเผ่าใหญ่แห่งจักรวรรดิปีศาจ—เผ่าเตาหมัว ตอนแรกเหล่าปีศาจก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่ดันถูกเทพจักรพรรดิทั้งสองค้นพบเข้า กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพจึงเปิดการโจมตีไม่ยั้ง

ตู้ม!

ในระยะไกลใบมีดแหลมคมฉีกฟ้าดินออกจากกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ยังไม่กล้าประมาท

ฮึ่ม!

แสงกระบี่เปล่งประกาย กวาดผ่านขอบฟ้าในระยะหลายแสนจั้งปะทะเข้ากับใบมีดแหลมคมนั้น

ชี่ ชี่!

เสียงแสบหูดังก้องออกมาขณะที่มิติแถบนั้นยุบลงเรื่อยๆ ลำแสงสีฟ้าอมเขียวพุ่งออกมาปรากฏที่เบื้องหน้าปีศาจร่างหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายร่างหยุดชะงักไป

เมื่อลำแสงสีฟ้าอมเขียวรวมตัวกันชิงซันก็เผยตัวออกมาพร้อมกับเก็บกระบี่สีเขียวยาวในมือเข้าฝัก

ชี่!

ที่ข้างหลังร่างปีศาจแข็งแกร่งแตกสลายอย่างช้าๆ นี่ก็คือประมุขเผ่าเตาหมัว—จอมปีศาจจ่านเทียน ทว่ายามนี้เขามองไปที่กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม แผดเสียงโหดร้ายขึ้น “เมื่อท่านเทพปีศาจฟื้นพลัง มหาพันภพของพวกแกก็จงเตรียมต้อนรับการทำลายล้าง!”

ปัง!

ร่างปีศาจระเบิดออกพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรงกวาดเข้าหากองทัพจอมยุทธ์บ้าคลั่ง

ฟู่ ฟู่!

แต่ในเวลาเดียวกันเปลวไฟก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แผดเผารัศมีปีศาจเชี่ยวกรากสิ้นซาก

คนที่เคลื่อนไหวก็คือเซียวเหยียน สายตาเขามองไปที่เผ่าเตาหมัวที่พ่ายแพ้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในแววตา เขารู้ว่าตั้งแต่วันนี้สามสิบสองเผ่าใหญ่จะหายไปอีกเผ่า

ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา พวกเขากวาดล้างไปหกเผ่าใหญ่แล้ว

แต่พวกเขายังไม่ค้นพบร่องรอยของเทพปีศาจจักรพรรดิ

หลินต้งและเซียวเหยียนมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสายตาเฉียบคม

ไอ้เทพปีศาจจักรพรรดิ แกซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… แม้แต่การทำลายล้างเช่นนี้ก็ไม่สามารถบีบแกออกมาได้รึ?

มิตินี้มืดมิดไร้แสงใดแทรกซึมเข้ามา

นี่คือวังปีศาจที่ลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ภายในวังจอมปีศาจเซิ่งเทียนลืมตาโพลงมองไปที่ใจกลางวัง ป้ายปีศาจป้ายหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเส้นชีวิตของจอมปีศาจจ่านเทียน

และการที่ป้ายแตกสลาย นั่นก็หมายความว่าจอมปีศาจจ่านเทียนดับสูญไปตลอดกาลแล้ว

“ไอ้เทพจักรพรรดิอัคคี ไอ้เทพจักรพรรดิสงครามโหดจริงๆ”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนพึมพำเสียงเรียบเฉย ในแววตาไม่มีความสงสาร เนื่องจากที่พวกเขาเลือกถอยชั่วคราวก็เพื่อที่จะตอบโต้แบบดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น

จอมปีศาจเซิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ส่วนลึกของโลกใบนี้ รัศมีปีศาจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในทิศทางนั้นราวกับว่ากำลังก่อเกิดบางสิ่งที่น่ากลัว

เขายิ้มเบา ดวงตากะพริบด้วยแสงดุร้าย

“ไอ้สองเทพจักรพรรดิอย่าได้ตีปีกไป ในไม่ช้า… เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะถูกฆ่าต่อหน้าพวกแก…”

ณ ดินแดนวั้นมู่

ครืน!

แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไปและกระจายไปทั่วทุกมุม

ปู้สื่อที่นั่งอยู่บนเสาก็ลืมตาขึ้นจ้องไปที่แท่นบูชา ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉินในตอนนี้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!

บนแท่นบูชาดวงตาของมู่เฉินที่ปิดสนิทมาสองปีเปิดออก เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งภายในร่างกาย ริ้วแสงก็พุ่งออกมาจากดวงตา

ยามนี้เขาสูดหายใจเข้าลึกทำให้หัวใจสงบลง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์!

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท