หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1533 เทพจักรพรรดิปะทะเทพจักรพรรดิปีศาจ (3)

บทที่ 1533 เทพจักรพรรดิปะทะเทพจักรพรรดิปีศาจ (3)

แผนภาพปีศาจคลี่ออกปกคลุมท้องฟ้า

รัศมีปีศาจพลุ่งพล่านสะท้อนพร้อมกับเสียงคำรามของปีศาจนับไม่ถ้วน

ขณะที่แผนภาพปรากฏก็จะเห็นดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าเปิดขึ้นช้าๆ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยการทำลาย

เมื่อมองไปที่ดวงตาทั้งห้าดวงเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ก็เย็นเยือกไปตามแนวสันหลัง แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขายังแสดงสัญญาณอาละวาด ทำให้พวกเขาต้องรีบเลื่อนสายตาออกไป

ตู้ม!

ขณะที่แผนภาพปีศาจคลี่ออก ดอกบัวขนาดมหึมาก็เคลื่อนเข้ามาถึงพร้อมเสียงหวีดหวิว เบ่งบานด้วยสีพร่างพราวแผ่กระจายออกไประหว่างฟ้าดินพร้อมกับคลื่นทำลายล้าง

ดอกบัวหมุนคว้างวาดแนวยาวเจิดจรัสข้ามขอบฟ้า เผชิญหน้ากับแผนภาพปีศาจ ดอกบัวก็ไม่แสดงอาการลังเล พุ่งเข้าใส่เต็มแรง

เมื่อพลังงานสองสายชนกันเพลิงไม่มีที่สิ้นสุดก็ปะทุออกมาจากดอกบัวราวกับภูเขาไฟระเบิด

ครืน!

เสียงแผ่นดินพิโรธดังกึกก้อง ทั่วดินแดนวั้นมู่โยกคลอนด้วยคลื่นความร้อนลุกโชน แม้อยู่ในระยะไกลทุกคนก็รู้สึกว่าผิวจะไหม้เกรียมไปหมด

คลื่นหลิงและคลื่นปีศาจพวยพุ่งขึ้นบนร่างจอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายเพื่อต่อต้านอุณหภูมิที่น่ากลัว

ฮึ่ม!

เมื่อดอกบัวผลิบานแรงกดดันทำลายล้างก็กลืนกินแผนภาพปีศาจ ในเวลาเดียวกันแผนภาพก็แก้ลำขณะดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าระเบิดออกด้วยอักขระปีศาจนับไม่ถ้วน

อักขระเหล่านั้นถูกสลักไว้ด้วยพลังที่น่ากลัวซึ่งกระทั่งคลื่นหลิงในร่างจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ปนเปื้อนได้ เมื่อสัมผัสถูกร่างกาย ทำให้ร่างพังทลาย ช่างโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง

อักขระปีศาจนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเข้าปะทะกับเพลิงพร่างพราว ทั้งสองต่างกัดกร่อนซึ่งกันและกัน…

ภายใต้การกัดกร่อน มิติเต็มไปด้วยหลุมบ่อ

พลังงานทรงพลังทั้งสองปะทะกัน ทันใดนั้นพลังงานสายที่สามก็เข้าร่วมต่อสู้ ลวดลายทั้งแปดพุ่งไปปะทะกับแผนภาพปีศาจ…

ตู้ม ตู้ม!

ดอกไม้เพลิงผลิบานเมื่อพลังงานสามกลุ่มเผชิญหน้ากัน แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและเหล่าจอมปีศาจก็ยังไม่กล้าเพ่งมองไป พากันเลื่อนสายตาออกไป

พร้อมกับเสียงชุดระเบิดดังก้องไปทั่วมิติ ทุกความผันผวนที่เอิบอาบเข้ามาก็ทำให้สมาชิกทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด

พลังงานนั้นสามารถตัดสินชะตากรรมของโลกได้จริงๆ

หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีความผันผวนที่ตลบอบอวลก็ค่อยๆ จางหายไป

เกือบจะในทันทีที่จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายก็หันไปมองการประจันหน้า เมื่อสักครู่เทพจักพรรดิทั้งสองฝ่ายไม่ได้รั้งไว้แม้แต่นิดเดียว พวกเขาหมุนเวียนพลังจนถึงขีดสุด

นี่เป็นพลังที่สามารถทำลายทั้งทวีปได้

การเผชิญหน้าครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงพลังสุดยอดของสองฝ่าย ว่าใครเหนือกว่ากัน

ฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าจะได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

ท่ามกลางการจดจ่อของผู้คน พายุก็เริ่มสลายและทุกอย่างสงบลง… ดอกบัวเพลิงขนาดใหญ่และพลังทำลายล้างหายไปแล้ว

มีเพียงแผนภาพปีศาจที่คลี่อยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาทั้งห้าสั่นไหว

“การโจมตีร่วมกันของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่สามารถทำลายแผนภาพปีศาจได้เหรอ?” เมื่อมองไปที่เบื้องหน้าจอมยุทธ์ทุกคนต่างก็แสดงออกรุนแรง ใบหน้าซีดลง

ส่วนทางจักรวรรดิปีศาจต่างมิตินักรบทั้งหลายฉายความสุขบนใบหน้า แต่มีเพียงคิ้วของเหล่าจอมปีศาจเท่านั้นที่ขมวดเข้าหากันแน่น

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

มู่เฉินพึมพำขณะจ้องมองท้องฟ้า

เซียวเหยียนและหลินต้งยืนไว้สง่าบนท้องฟ้าโดยไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้า ดวงตาเย็นชาของพวกเขามองไปที่แผนภาพปีศาจก่อนจะสะบัดนิ้ว

เกลียวไฟพุ่งออกมาตกลงบนแผนภาพปีศาจ

ฟู่ ฟู่!

ช่างคล้ายกับประกายไฟตกลงบนทะเลฝ้าย แผนภาพปีศาจไฟลุกพรึ่บ ดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าเปล่งเสียงคำรามลั่นก่อนที่จะระเบิด…

เมื่อม่านตาทั้งห้าระเบิดร่างของเทพปีศาจก็สั่นสะท้าน สีหน้าเคร่งขรึมลง ดวงตาทั้งห้าของเขาอาบไปด้วยเลือดสีดำทำให้เขาราวกับปีศาจร้ายก็มิปาน

ความปีติยินดีบนใบหน้าของเหล่านักรบปีศาจแข็งค้าง กลายเป็นความหวาดผวาขณะมองไปที่ฉากนี้…

เห็นได้ชัดว่าเซียวเหยียนและหลินต้งมีความได้เปรียบจากการต่อสู้กระบวนท่าก่อน มิหนำซ้ำพวกเขายังทำให้เทพปีศาจได้รับบาดเจ็บ สร้างความเสียหายให้กับดวงตาชั่วร้ายเหล่านั้น

ภายในดินแดนวั้นมู่เหล่าจอมยุทธ์ที่เฝ้าดูอย่างหน้าซีดก็ตะลึงไปก่อนที่จะระเบิดเสียงโห่ร้อง

“สวรรค์ประทานพรให้มหาพันภพอย่างแท้จริง ที่ส่งเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีมา!” ปู้สื่อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

ตอนแรกใครก็คิดว่ามหันตภัยเกิดขึ้นในมหาพันภพแล้วจากการหลุดลอดของเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคาดคิดว่าเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีจะก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์?

พวกฉิงเทียนก็พยักหน้าพลางถอนหายใจ “นี่เป็นพรจากสวรรค์แท้จริง เทพปีศาจทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตถ้าเราไม่มีเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคี การขาดคนใดคนหนึ่งไปก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้”

เทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังเกินไปจนถึงจุดที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังต้องร่วมแรงร่วมใจกัน

เทพปีศาจสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะลอยอยู่บนท้องฟ้า มืดปาดเลือดสีดำที่ไหลออกจากดวงตา ก่อนที่จะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยดวงตาไร้อารมณ์ “จากพลังที่มีพวกเจ้าเพียงคนใดคนหนึ่งก็โดดเด่นยิ่งกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ ไม่คิดว่ามหาพันภพจะโชคดีเช่นนี้”

เซียวเหยียนยิ้ม “เจ้าก็ทรงพลังเช่นกัน แต่เพื่อสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ พวกข้าก็ต้องใช้ประโยชน์จากจำนวนคน ชนะอย่างอยุติธรรมน่ะ”

เทพปีศาจกระตุกยิ้มแปลกประหลาด ไม่มีคลื่นกระเพื่อมในน้ำเสียงของเขาสำหรับความล้มเหลวครั้งก่อน “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคาดการณ์ที่จะชนะ”

เสียงทุ้มลึกของหลินต้งดังก้อง “อย่างน้อยเจ้าก็ไม่สามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานในการรุกรานมหาพันภพได้ชั่วคราว”

“แม้ว่าวันนี้ข้าสองคนจะได้เปรียบเพียงเล็กน้อย แต่อีกร้อยปีเมื่อพวกข้าจารึกชื่อเต็มเอาไว้ในทำเนียบเหนือภพได้ ถึงเวลานั้นพวกข้าเพียงคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าเจ้า”

เสียงของหลินต้งแผ่ไปด้วยไอสังหาร

เมื่อพวกเขาสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ พวกเขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดที่สร้างความมั่นใจได้ว่าจะสามารถสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย

เทพปีศาจหรี่ตาลงไม่ได้คิดหักล้างคำพูดเหล่านั่นแต่ถามว่า “ข้าไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้ก็จริง ถ้าไปถึงจุดสูงสุดนั่น แต่…”

เขาเอี้ยวศีรษะมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเย็นชา “แกคิดว่าข้าจะให้เวลาเหรอ?”

เซียวเหยียนหดตาด้วยสีหน้าเย็นชา “แล้วแกจะทำอะไรได้ล่ะ?”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากเทพปีศาจ เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “พวกเจ้าไม่คิดว่านี่แปลกเหรอ? ในสมัยโบราณพลังของข้าแข็งแกร่งกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์อย่างชัดเจน แล้วเพราะอะไรข้าถึงให้โอกาสมันผนึกได้?”

“ง่ายมากเพราะข้าเต็มใจที่จะถูกผนึกไง”

คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปพร้อมกับความตกใจในดวงตา มากจนกระทั่งเซียวเหยียนและหลินต้งถึงกับหดดวงตา

ตอนนั้นเทพปีศาจจักรพรรดิเต็มใจที่จะถูกผนึกโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เรอะ?

“ไร้สาระสิ้นดี!” เซียวเหยียนเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ผนึกอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวก็จะฆ่าแกแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ทำให้แกต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วย”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่เทพปีศาจก็ถอนหายใจมองไปในฟ้าดิน “พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือการปราบปรามโลกหรือไม่”

คำพูดของเขาทำให้เซียวเหยียนและหลินต้งขมวดคิ้ว

“สิ่งที่เรียกว่าการปราบปรามโลกคือเมื่อสิ่งมีชีวิตต่างมิติทรงพลังเข้ามาในโลกก็จะถูกปฏิเสธ เหมือนกับการที่เผ่าปีศาจเคลื่อนพลมายังมหาพันภพ ไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงได้”

“ยิ่งคนเข้มแข็งมากเท่าไร การปราบปรามก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

“ด้วยการปล่อยให้ตัวเองถูกปิดผนึกโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นเวลาสี่หมื่นเก้าพันปี ผนึกนี้ทำให้รัศมีของข้าปนเปื้อน ดังนั้นตราบใดที่ข้าสามารถทำลายผนึกได้ ข้าก็จะสามารถหลอกโลกและหยุดไม่ให้มันปราบปราม ด้วยการถอดผนึกออกข้าก็จะสามารถปกครองทั้งมหาพันภพได้อย่างแท้จริงโดยไม่มีการปฏิเสธจากปณิธานเอกภพและยึดจักรวาลนี้เป็นของจักรวรรดิปีศาจ”

เทพปีศาจคลี่ยิ้มให้เซียวเหยียนและหลินต้งพูดต่อว่า “เจ้าคิดว่าห้าเนตรนี้เป็นพลังสุดยอดของข้าหรือ? ข้าขอบอกว่าพวกเจ้าซื่อเกินไปแล้ว”

เสียงนี้ช่างเย็นชา ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดรู้สึกหนาวสั่น แม้แต่ความสุขที่พวกเขาเคยได้จากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็หายไป…

“อดีตเมื่อนานมาแล้ว… ข้าถูกเรียกว่า…”

“เทพปีศาจเก้าเนตร…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท