หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1535 บุคคลที่สาม

บทที่ 1535 บุคคลที่สาม

วังมหาพันภพ

ภายในวังทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ ขณะนี้ทั้งหมดเงียบเสียงลงแผ่แรงกดดันกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ

ทุกสายตาจดจ่อไปที่ชายสองคนที่ยืนอยู่กลางวัง

“ทุกคนเรากำลังเผชิญหน้ากับสงครามทำลายล้างมหาพันภพ” เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นกวาดตามอง

เหล่าจอมยุทธ์ตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว

“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง…พวกเจ้าไม่สามารถสู้กับเทพปีศาจคนนั้นได้จริงหรือ?” ฉิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น

เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันก็ถอนหายใจ “ถ้าเทพปีศาจมีดวงตาห้าดวง พวกข้าก็ไม่กลัว แต่ถ้ามันมีดวงตาเก้าดวง เราคงสู้มันไม่ได้”

สายตาของหลินต้งแหลมคมขึ้นขณะพูดต่อ “เว้นแต่… พวกข้าคนใดคนหนึ่งจะสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถใช้พลังเอกภพเพื่อฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้”

ชิงซันมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง “ถ้าเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดในมหาพันภพมา ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนจะจารึกชื่อลงไปได้หรือไม่”

เซียวเหยียนและหลินต้งพากันส่ายหัว “ชื่อเต็มไม่นับเป็นตัวอักษร ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือแซ่และส่วนที่สองเป็นชื่อ… หากเราต้องการจารึกชื่อเต็มก็ต้องใช้พลังมหาศาลที่สั่งสมด้วยตัวเองเท่านั้น แม้พวกเราจะมั่นใจ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการทำเช่นนั้น”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โดยทั่วไปแล้วเวลาหลายสิบปีไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ตอนนี้เทพปีศาจเหลือเวลาให้พวกเขาห้าปีเท่านั้น ก่อนที่จะกลับมาและนั่นก็จะเป็นวันโลกาวินาศของมหาพันภพ…

เวลาคือสิ่งที่พวกเขาขาดไปในตอนนี้

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงหรือ?” เสียงแหบพร่าของปู้สื่อดังก้อง ใบหน้าแก่ชรากลายเป็นสีเทาพร้อมกับรัศมีที่ดิ่งลง

เซียวเหยียนและหลินต้งจนคำพูด บรรยากาศในห้องโถงถูกระงับเพิ่มขึ้น

มู่เฉินมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่นิ่งงันลงก็พูดว่า “ถ้าเราไม่สามารถช่วยผู้อาวุโสทั้งสองจารึกชื่อเต็มในทำเนียบเหนือภพได้ งั้นเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดและสร้างจอมยุทธ์ในทำเนียบขึ้นมาใหม่ได้ไหม? ด้วยจอมยุทธ์บนทำเนียบสามคน เราจะสามารถสู้กับเทพจักรพรรดิปีศาจได้หรือไม่?”

คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องโถงแข็งทื่อทันใด ก่อนที่เหล่าจอมยุทธ์จะเผยแววตาปีติดีใจพร้อมกับความสุขบนใบหน้า

เซียวเหยียนและหลินต้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยความชื่นชม “ความคิดนี้เป็นไปได้ หากเพิ่มจอมยุทธ์อีกคนบนทำเนียบได้ แม้ว่าเขาจะจารึกเพียงแซ่ไว้ได้เท่านั้น เมื่อเราร่วมพลังกัน ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะเทพปีศาจได้ แต่ก็ยังสามารถข่มความเสี่ยงในชัยชนะของมันในมหาพันภพได้”

ทุกคนในห้องโถงเหมือนคว้าโอกาสรอดชีวิตสุดท้ายได้ ต่างเริ่มพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น บรรยากาศที่หดหู่ก่อนหน้าก็หายไปหลายส่วน

“แต่คำถามคือใครจะเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม?” เซียวเหยียนกวาดสายตาออกไป

บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ทว่าไม่มีใครกล้าเปิดปาก ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่เป็นตัวแทนสุดยอดของมหาพันภพ แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังหวาดกลัวทำเนียบเหนือภพลึกลับนั่น

สายตาบางส่วนพุ่งไปที่ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ นอกเหนือจากเซียวเหยียนและหลินต้ง พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดและมีโอกาสที่สุด…

ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ฉายสีหน้าขมขื่น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายและดูเหมือนห่างจากทำเนียบเหนือภพเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเรียกทำเนียบเหนือภพออกมาด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะไปถึงระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ภายในห้าปี

เมื่อมองไปที่การแสดงออกของพวกเขา ทุกคนก็เงียบลงความสุขที่เขียนบนใบหน้าจางหาย…

เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขารู้ไม่สามารถตำหนิคนอื่นๆ ได้เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ยากแค่ไหน

พวกเขากวาดสายตาไปก็ต้องหยุดมองที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางละล้าละลังที่จะพูด

“มู่เฉินพูดในสิ่งที่คิดเถอะ ตอนนี้มหาพันภพถูกรุกรานตราบใดที่ยังมีความหวังเราจะไม่ยอมแพ้” เซียวเหยียนยิ้ม

ทุกคนมองไปที่มู่เฉินทันที

ตั้งรับสายตาเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาลังเลชั่วครู่จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ คมกล้าขึ้นพลางมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ข้าอยากลองเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม”

โห่

ทั่วทั้งวังตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้น แม้แต่ขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ แล้วเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน?

“หึ ไอ้หนูแกมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้นเรอะ” หมัวเฮอเทียนเค้นเสียงเย็น เขาไม่ชอบขี้หน้ามู่เฉินตั้งแต่แรก ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องสาดโคลนใส่ซะหน่อย

แม้ว่าคนอื่นๆ ไม่ได้พูด แต่ความสงสัยในดวงตาก็ชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้สำคัญมากและพวกเขาไม่เห็นความหวังใดๆ ในตัวมู่เฉิน

หลังจากลังเลชั่วครู่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจ?”

แม้ว่าพวกเขาสองคนจะสนับสนุนมู่เฉินมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่กล้าละเลยเรื่องใดแม้เพียงเล็กน้อย

ภายใต้สายตาสงสัยทั้งหมดที่จ้องมองมา ท่าทางของมู่เฉินก็แสดงออกอย่างสบายๆ ขณะตอบว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ข้ามั่นใจว่าสามารถฝึกวิชาสามพิสุทธิ์ให้เข้าสู่ขั้นสามพิสุทธิ์ได้”

ย้อนกลับไปตอนที่เขาต่อสู้กับเจียงหยา เขาได้รับความเข้าใจเลือนรางเกี่ยวกับขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน

“วิชาสามพิสุทธิ์? ขั้นสามพิสุทธิ์?” เหล่าจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนสายตากันเนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนที่ว่า เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลานั้น

“แม้วิชาสามพิสุทธิ์จะเป็นหนึ่งในวิทยายุทธขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ แต่คงไร้ผลกับทำเนียบเหนือภพ” หมัวเฮอเทียนหัวเราะเยาะ

มู่เฉินปรายตามองหมัวเฮอเทียนกล่าวว่า “แค่วิชาสามพิสุทธิ์อย่างเดียวไม่มีประโยชน์อะไรจริง”

จากนั้นเขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขั้นที่เรียกว่า ‘สามพิสุทธิ์’ หมายถึงร่างรองของข้าจะยืนอยู่ในฐานะจอมยุทธ์คนหนึ่งและอาศัยอยู่ในโลก ในเวลานั้นร่างรองจะสามารชำระร่างมหาเทพปฐมกาลได้อีกสองร่างและเมื่อรวมเข้าด้วยกันจะสามารถทำให้ข้าใช้ร่างมหาเทพปฐมกาลได้ถึงสามร่าง ข้าเชื่อว่าในเวลานั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย”

“ในเวลานั้นหากทรัพยากรทั้งหมดรวมอยู่ที่ข้าก็จะช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ภายในห้าปี ข้าเชื่อว่าตนเองจะกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและทิ้งแซ่ไว้ได้”

คำพูดของมู่เฉินทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้างทันที ขณะที่อาการตกตะลึงกวนตัวไปทั่ว

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจกับคำพูดของมู่เฉินมาก

“จะ…เจ้า ร่างรองของเจ้าสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ได้ด้วยหรือ?” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดติดอ่าง

“แล้วยังเป็นร่างมหาเทพปฐมกาลอื่นด้วยเรอะ?!”

แม้ว่ามู่เฉินจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก่อนหน้านี้ แต่ร่างรองก็สามารถแบ่งปันร่างเทห์สวรรค์กับร่างหลักเพียงร่างเดียว ไม่สามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

มู่เฉินไม่มีระลอกคลื่นในสายตาตอบอย่างใจเย็นว่า “ขั้นสามพิสุทธิ์สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้อย่างแท้จริง”

ทุกคนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เนื่องจากยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จกับขั้นสามพิสุทธิ์มาก่อน

เมื่อเซียวเหยียนกับหลินต้งได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาก็ไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะขอคำยืนยัน “มู่เฉินที่กำลังพูดอยู่คือความจริงหรือ?”

มู่เฉินยิ้ม “การโกหกมีความหมายอะไร? ถ้าตอนนี้ข้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาก็เท่ากับเดินเข้าหาความตาย”

เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่คนอื่นๆ “ทุกคนคิดว่าอย่างไร?”

คนอื่นๆ สวมสีหน้าที่ซับซ้อน

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉิงเทียนก็กล่าวว่า “เรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”

ทุกคนยิ้มอย่างขมขื่น แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจิ้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ ดังนั้นนอกจากวิธีของมู่เฉิน แล้วพวกเขาจะเลือกทางอื่นได้เรอะ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ทำได้แค่ลองดู” ฉิงเทียนกัดฟัน

ปู้สื่อ จักรพรรดิมังกรแท้จริงและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน

สายตาของหมัวเฮอเทียนสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจขณะที่พึมพำ “บ้ากันหมดแล้ว!”

เมื่อทุกคนเห็นด้วย เซียวเหยียนกับหลินต้งก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “เช่นนั้นพวกเราก็ขอฝากความหวังของมหาพันภพไว้ที่เจ้าแล้ว…”

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลงตอบว่า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด แต่ข้าหวังว่าเงื่อนไขจะได้รับการตอบรับด้วย”

“ข้าต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”

“ยิ่งไปกว่านั้นข้าต้องการให้ทรัพยากรทั้งหมดมุ่งมาที่ข้าเพื่อที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปี…”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท