หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1536 สระมรดกราชัน

บทที่ 1536 สระมรดกราชัน

“ร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”

เมื่อเสียงของมู่เฉินสะท้อนก้อง ท่าทางของจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ซับซ้อนขึ้น เงื่อนไขนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกนัก

ในมหาพันภพมีร่างมหาเทพปฐมกาลห้าร่างเท่านั้น แต่ละร่างก็เข้าถึงยากเย็นและทรงพลัง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหมัวเฮอเทียนถึงประกาศสงครามเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์

แต่เวลานี้มู่เฉินต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง นี่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว

เซียวเหยียนและหลินต้งก็แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ของสี่เผ่าโบราณ เพราะร่างมหาเทพปฐมกาลที่เหลือถูกเก็บไว้ที่เผ่าโบราณเหล่านี้

เผชิญหน้ากับสายตาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง นอกเหนือจากชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามเผ่าก็มีสายตาวูบไหว ท้ายที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลสำคัญมาก แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจทันที

ดังนั้นความเงียบที่น่าอึดอัดจึงเขย่าไปทั่วโถงวังแห่งนี้

“เผ่าฝูถูยินดีที่จะนำร่างมหารัศมีอนันต์ออกมา”

ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ แม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู แต่อันที่จริงก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้อาวุโสก่อน หากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างมหาเทพปฐมกาล ทว่าเวลานี้มหาพันภพตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หากไม่สามารถหยุดยั้งเทพปีศาจจักรพรรดิในอีกห้าปีข้างหน้า แม้แต่เผ่าโบราณก็จะถูกล้างบาง แล้วจะสำคัญอะไรกับครอบครองร่างมหารัศมีอนันต์ไว้แต่ใช้ไม่ได้?

ที่สำคัญที่สุดก็คือมู่เฉินเป็นบุตรชายที่รักของนาง ในฐานะมารดานางต้องสนับสนุนเขาทุกอย่างอยู่แล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง ตัวแทนอีกสามเผ่าโบราณก็ยิ้มขมขื่น มู่เฉินเป็นลูกของนาง มิหนำซ้ำยังกำลังจะขึ้นเป็นประมุขเผ่า ดังนั้นการที่ชิ้งเหยี่ยนจิ้งสนับสนุนเขาก็สมควรแล้ว

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาขาดร่างมหาเทพปฐมกาลอีกร่างหนึ่ง

ผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง ประมุขเฮยเธียนและประมุขหวางฉิวดูกังวล แต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไร ชัดว่ารอให้คนอื่นออกปากก่อน

ทันใดนั้นลั่วหลีก็มองไปที่ไท่หมิงและยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง”

เมื่อได้ยินลั่วหลีเรียกเสียงหวาน ไท่หมิงก็สะดุ้งก่อนที่เขาจะมองนางด้วยรอยยิ้มน่าอึดอัดใจ

ทว่าลั่วหลีไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจกล่าวว่า “ในฐานะธิดาเทพเผ่าไท่หลิง ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ใช่ไหม?”

ไท่หมิงพยักหน้าพลางยิ้มฝืด “ธิดาเทพประหนึ่งประมุข โดยปกติแล้วเจ้ามีอำนาจมากในการตัดสินใจ”

“ร่างมหาปราชญ์วิญญาณเป็นสมบัติของเผ่าไท่หลิง เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะมีความลังเล… แต่ข้าอยากจะถามคำถามสักหน่อย ร่างมหาปราชญ์วิญญาณจะมีปะโยชน์อะไรหากไม่มีเผ่าไท่หลิงอีกแล้ว?” เสียงของลั่วหลีดังสะท้อนเบาๆ ทำให้ใบหน้าของไท่หมิงตึงเครียดขึ้น

หากพวกเขาไม่มีจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สามในอีกห้าปีข้างหน้า มหาพันภพจะต้องประสบกับการทำลายล้างเผ่าพันธุ์และเผ่าโบราณก็ต้องรวมอยู่ในนั้นด้วย

หลังจากลังเลชั่วครู่ไท่หมิงก็ยิ้มฝืดออกมา “คำพูดของเจ้านั้นถูกต้อง หากตอนนี้เรายังเห็นแก่ตัวก็คงต้องตายตกตามกันไปในสงครามครั้งนี้”

ไท่หมิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉิน ก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หมิงยินดีส่งมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน”

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ

เมื่อเฮยเธียนและหวางฉิวเห็นว่าไท่หมิงยอมมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกกระอักกระอวนเนื่องจากสิ่งที่มู่เฉินทำนั้นก็เพื่อประโยชน์ของมหาพันภพ

“หากมีความต้องการเพิ่ม เผ่าของพวกข้าก็ยินดีมอบร่างมหาเทพปฐมกาลไปให้เช่นกัน”

แม้ว่าทั้งสองจะตัดสินใจช้าไปบ้าง แต่มู่เฉินก็ยังยิ้มให้เพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจ

“การรวมร่างมหาเทพปฐมกาลถึงสามร่างไม่เคยมีมาก่อน เจ้าอย่าทำให้ทุกคนผิดหวังละกัน” หมัวเฮอเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดแดกดัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความอิจฉา

มู่เฉินยิ้ม “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพราะข้ารู้ดีถึงผลของความล้มเหลว”

หมัวเฮอเทียนทำท่าเหมือนจะพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าควรจะชั่งน้ำหนักสถานการณ์อย่างไร ยามนี้มู่เฉินคือความหวังสุดท้ายของมหาพันภพ

เมื่อมองภาพใหญ่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน

“ในเมื่อปัญหาเรื่องร่างมหาเทพปฐมกาลได้รับการแก้ไขแล้ว” เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จากนั้นก็ต้องคิดต่อว่าจะให้เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปีได้ยังไง”

ทุกคนในห้องโถงขมวดคิ้วแน่น มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ฝึกที่จะก้าวจากขั้นเซียนระยะกลางเป็นขั้นเซิ่งภายในเวลาห้าปี

เพราะนั่นจะต้องใช้โอกาสมหาศาล

ขณะที่ทุกคนจมลงในความเงียบ ปู้สื่อก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉิน “ห้าปีจากนี้ด้วยพรสวรรค์ของราชันมู่และความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…”

คำพูดของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนทันที

“ความช่วยเหลือจากภายนอกคืออะไร?”

ปู้สื่อถอนหายใจขณะที่เหยียดนิ้วชี้ไปที่ดินแดนวั้นมู่พลางยิ้ม “ในสมัยโบราณตอนที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ต่อสู้กับเทพปีศาจจักรพรรดิ เขายุติการต่อสู้ด้วยการสละชีวิตเพื่อปิดผนึก”

“แต่ท่านเทพครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์และมีกายานิรันดร์ร่วมผสาน แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพ แต่ร่างกายยังคงถูกเก็บรักษาไว้

“ขณะเดียวกันคลื่นหลิงที่ท่านเทพได้เพาะบ่มก็ถูกเก็บไว้ในกายานิรันดร์ของเขาซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต พวกข้าเรียกบริเวณนั้นว่า…สระมรดกราชัน”

คำพูดของปู้สื่อทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เหล่าจอมยุทธ์เกิดไฟลุกโชนในหัวใจ คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์! ต่อให้อ่อนแรงลงหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ก็ยังมีพลังงานมหาศาล หากพลังงานนั้นได้รับการขัดเกลาและดูดซับก็มีโอกาสมากที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้

“แต่ว่าคลื่นหลิงของท่านปู้ซิ่วมีคลื่นนิรันดร์อยู่ ไม่มีใครสามารถดูดซับได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกกลืนกินเข้าไปแทน…” คำพูดครึ่งหลังของปู้สื่อดับความตื่นเต้นของทุกคนลง

จากนั้นปู้สื่อก็ยิ้มมองไปที่มู่เฉิน “ซึ่งนั่นหมายความว่ามีเพียงผู้ที่ฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถดูดซับสระมรดกราชันได้”

“ฮ่าๆ ตามจริงสระมรดกราชันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับราชันมู่ และนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด”

ทุกคนในห้องโถงแอบเดาะลิ้นขณะมองมู่เฉินด้วยความอิจฉา เจ้าหนุ่มคนนี้มาพร้อมโชคแห่งมหาพันภพด้วยการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตน

“เวลาจะหล่อหลอมวีรบุรุษ…”

ทุกคนถอนหายใจ ถ้าเป็นในช่วงเวลาปกติแค่ร่างมหาเทพปฐมกาลสองร่างก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ ไม่ต้องพูดถึงสระมรดกราชัน

ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมีเพียงมู่เฉินที่กล้ายืนหยัดแบกรับภาระนี้

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะแบกรับ

มงกุฎแห่งปณิธานมีน้ำหนักหนาแน่น

หลังจากได้รับโอกาสทั้งหมดแล้วเขาต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา

เมื่อเห็นว่าเงื่อนไขทั้งสองเรียบร้อยดี เซียวเหยียนและหลินต้งก็รู้สึกโล่งใจมาก พวกเขามองไปที่มู่เฉิน กล่าวอย่างจริงจัง “เงื่อนไขเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว จากนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว”

ดวงตาของมู่เฉินคมกล้าขณะพยักหน้า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืนปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังขณะที่ใบหน้าเย็นเยือกลง “แต่เราไม่สามารถนั่งรอโดยไม่ทำอะไร”

“นับจากนี้เป็นต้นไปเราจะเปิดเผยแผนการที่เทพปีศาจต้องการจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์เราและรวบรวมขุมกำลังทั้งหมดของมหาพันภพเพื่อประกาศสงครามกับจักรวรรดิปีศาจ!”

“ในเมื่อไอ้เทพปีศาจต้องใช้เวลาห้าปีในการฟื้นตัว เราก็จะสร้างปัญหาให้มัน หลินต้งและข้าจะคอยตรวจจับตำแหน่งของมัน บีบให้มันต้องออกมาต่อสู้เพื่อชะลอการฟื้นตัว!”

จอมยุทธ์ทั้งหมดยืนขึ้นพร้อมกับไอสังหารพลุ่งพล่านบนใบหน้า ในเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติต้องการทำลายล้างมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ด้วยชีวิตทั้งหมดที่มี

ทันใดนั้นวังมหาพันภพก็อบอวลไปด้วยกลิ่นไอสังหาร

แม้แต่มู่เฉินก็ยังได้รับผลกระทบจากบรรยากาศ เขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยือก

เซียวเหยียนกับหลินต้งหันมามองมามู่เฉินและยิ้ม “แต่เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมในสงครามนี้ เจ้าจงอยู่ที่ดินแดนวั้นมู่รับสระมรดกราชัน ชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองร่างและไปให้ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบ…”

“เมื่อไรที่เจ้าทำสำเร็จ มหาพันภพก็จะมีโอกาสมากขึ้น”

แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่เขาก็รู้ว่าตนเองคือตัวแปรสำคัญ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับทราบ

เทพจักรพรรดิทั้งสองหันมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ เสียงก็ก้องกังวานขึ้น

“ทุกคนจงกลับไปที่ของตนเอง สองเดือนนับจากนี้เราจะไปรวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพเพื่อโจมตีจักรวรรดิปีศาจ!”

“รับทราบ!”

เหล่าจอมยุทธ์ขานทราบ เสียงสั่นสะเทือนทั้งวัง อึดใจต่อมาร่างแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่หายไปในเส้นขอบฟ้า

เมื่อมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่กลับไป เซียวเหยียนและหลินต้งก็ฉายท่าทางเคร่งขรึม

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าข่าวนี้จะทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน

ความสงบสุขในมหาพันภพจบลงแล้ว

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท