หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1550 เมื่อพบกันใหม่ก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว

บทที่ 1550 เมื่อพบกันใหม่ก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว

เสียงโห่ร้องสะท้อนทั่วสำนักศึกษาเป่ยชาง

ศิษย์ทุกคนต่างมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะมองร่างเงาบนท้องฟ้า หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพสุดจะพรรณนา

ในช่วงนี้พวกเขาใช้ชีวิตหวาดระแวงภายใต้การคุกคามของเผ่าปีศาจ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะพลิกผันในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้

จอมปีศาจเฮยซือเทียนที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา อ่อนแอราวกับมดต่อหน้าศิษย์พี่ของพวกเขาผู้ซึ่งลบมันออกไปด้วยการตวัดนิ้วครั้งเดียว…

ทุกคนรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน เพราะเป้าหมายสูงสุดในการฝึกยุทธ์ก็คือปกป้องคนที่ห่วงใยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้และได้รับความเคารพจากทุกคนไม่ใช่เหรอ?

“เห็นไหม?! เห็นยัง?! ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าตราบใดที่พี่ใหญ่มู่เฉินอยู่ที่นี่ จอมปีศาจเฮยซือเทียนต้องตายคาที่แน่นอน?!” เยี่ยสุนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นขณะที่ยกมือขึ้นเท้าเอว มองไปที่สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วด้วยความภาคภูมิใจ

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อมองขาดจริงๆ!” เมื่อครู่ทุกคนยังรู้สึกช่วยไม่ได้กับความเชื่อมั่นแบบไร้เหตุผลของนาง แต่ตอนนี้พวกเขากลับอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้ด้วยชื่นชม

“ฮ่าๆ ข้าจะดูว่าใครกล้าแข่งกับชุมนุมเทพธิดาลั่วในอนาคตอีก!”

เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเป่ยชางมองมาด้วยดวงตาฉายแววอิจฉาพวยพุ่ง หลังจากศึกนี้จบลงชุมนุมเทพธิดาลั่วจะเป็นชุมนุมสุดยอดในสำนักศึกษาอย่างไม่ต้องสงสัยและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็ตาม

นั่นเป็นเพราะต่อให้พวกเขาจบการศึกษาและออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางไป ขณะที่ท่องยุทธภพตราบใดที่พวกเขาบอกว่าชุมนุมที่พวกเขาเคยอยู่นั่นก่อตั้งโดยมู่เฉิน มิหนำซ้ำเขายังเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา ไม่ว่าจะไปที่ใดก็คงมีแต่เสียงสรรเสริญ

บางคนที่มีความคิดเฉียบคมก็เริ่มมองหาลู่ทางที่จะเข้าร่วมชุมนุมเทพธิดาลั่วหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้จบลง…

“เจ้านั่น…”

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและเวินชิงเฉวียนที่ฟื้นจากอาการตกใจก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยรอยยิ้มเหยเก

นั่นเป็นเพราะมู่เฉินเกินความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว

ขณะที่พวกเขายังคงดำเนินตามเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินได้เกินขอบเขตเหล่านั้นเรียบร้อย…

ช่องว่างมหาศาลเช่นนี้ ทำให้ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะไล่ตาม

“ตอนนั้นทำไมข้าถึงไม่เห็นว่าเจ้านี่จะทรงพลังมากขนาดนี้…” หลี่เฉวียนทงถอนหายใจขณะหันไปมองร่างสะคราญโฉมบนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาหม่นแสงลง ย้อนกลับไปในอดีตคงไม่มีใครคาดคิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ยกเว้นลั่วหลี

ขณะที่ทุกคนคิดว่านางพบแค่ก้อนหินธรรมดาท่ามกลางผืนทราย นางกลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าหินที่นางพบจะส่องประกายเจิดจ้ากว่าเพชรเม็ดใดในโลก

เสิ่นชังเสิงแตะไหล่หลี่เฉวียนทงมองมาด้วยความเห็นใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสหายคนนี้แอบปลื้มลั่วหลีมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว

เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ นางมักรู้สึกว่ามู่เฉินไม่เข้ากันกับลั่วหลีเลยเมื่อในอดีต แต่ขณะนี้นางต้องยอมรับว่าชายหนุ่มที่เคยประลองกันในศึกเบญจภาคีได้เติบโตขึ้นจนเหนือล้ำไปแล้ว

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป ตอนนี้เขาคือสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ

เป่ยหมิงและไท่ชางพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับการตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน ภัยพิบัติจากเผ่าปีศาจก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป นั่นหมายความว่าหายนะที่สำนักศึกษาเป่ยชางกำลังเผชิญอยู่อันตรหายไปหมดแล้ว ดังนั้นรอยยิ้มจึงคลี่ออกบนใบหน้าของพวกเขา

อาจารย์ใหญ่อีกสี่คนจากสำนักศึกษาอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขา ในเวลาเดียวกันดวงตาแต่ละคู่ก็สั่นไหวด้วยความอิจฉา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าด้วยอดีตศิษย์คนนี้จากสำนักศึกษาเป่ยชางจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ชื่อเสียงก็จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

บางทีในอนาคตสำนักศึกษาเป่ยชางจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำภาคเบญจภาคีแล้ว

ความอึมครึมในภูมิภาคนี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงโห่ร้อง

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อบนท้องฟ้า ลบรัศมีปีศาจสายสุดท้ายออกไป จากนั้นก็มองไปที่มือของตนเอง เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งตัวเขาก็ตกใจกับความแข็งแกร่งที่มี

เพราะก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิต่อให้เขาจะใช้กำลังเต็มที่ เขาก็สามารถต่อสู้กับหมัวเฮอเทียนในระดับเดียวกันได้เท่านั้น

แต่ตอนนี้แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะอาศัยขวดมหาเพลิงวารี ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับมู่เฉิน

เนื่องจากตอนนี้แม้มู่เฉินจะยังไม่ได้ฝากชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ แต่เขาก็สามารถควบคุมพลังเอกภพได้ ถึงจะเป็นเพียงเส้นสายเล็กๆ แต่ก็เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุดไปแล้ว

“ห้าปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์นี่”

มู่เฉินพึมพำขณะที่หันกลับทะยานไปที่เบื้องหน้าลั่วหลี

ยามนี้ลั่วหลีกำลังมองมาด้วยความอึ้งทึ่ง นางยังไม่สามารถดึงสติกลับได้ เพราะยิ่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าพลังของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใด

“คืนสติได้แล้ว” มู่เฉินยิ้มขณะโบกมือเบื้องหน้านาง

นัยน์ตาของลั่วหลีเกิดระลอกคลื่น จากนั้นก็กลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าด้วยรูปลักษณ์ของนาง แค่การปรายตามองก็สามารถทำให้ทุกคนมึนเมาได้แล้ว

“เก่งไหม?” มู่เฉินยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจเล็กน้อย เฉพาะต่อหน้าหญิงคนรักเท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยด้านโอ้อวดให้เห็น

“เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ลั่วหลีรู้สึกขบขันปนฉิวในเวลาเดียวกันขณะที่พยักหน้า

“คิกๆ มู่เฉิน ตอนนี้เจ้าน่าเกรงขามมากเลยนะ”

พร้อมกับน้ำเสียงประหลาดใจ หลินจิ้งกระโดดเข้ามามองไปที่มู่เฉินก่อนจะเบ้ปาก “ข้าคิดว่าตัวเองสามารถดึงช่องว่างพลังเข้ามาใกล้ได้แล้ว แต่เจ้ากลับเหวี่ยงข้าออกไปไกลแทน”

เซียวเซียวก็เดินเข้ามามองไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”

นางทราบเหตุผลที่มู่เฉินหายหน้าไปในช่วงห้าปีนี้

มู่เฉินเหยียดเอว ดวงตาลึกล้ำมองไปในมิติไกลโพ้น “อีกนิดหน่อยน่ะ”

เขายังไม่ได้จารึกชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันอย่างคลุมเครือแล้ว…

เมื่อทั้งสี่คนสนทนากันเรียบร้อยก็พลิ้วลงมาจากท้องฟ้ามาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าไท่ชางและเป่ยหมิง

เมื่อมองไปที่ใบหน้าคุ้นเคยทั้งสอง มู่เฉินก็รู้สึกถึงระลอกคลื่นในใจ ย้อนกลับไปตอนที่เขาออกท่องยุทธภพครั้งแรก เขายังคงเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เพิ่งจะก้าวสู่ระดับจื้อจุน แต่ตอนนี้เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว…

“ศิษย์มู่เฉินทักทายท่านอาจารย์ใหญ่และผู้อาวุโสเป่ยหมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ

แม้ว่าพลังของเขาจะก้าวข้ามทั้งสองคนเบื้องหน้าไปแล้ว แต่มู่เฉินก็ยังเคารพไท่ชางและเป่ยหมิงมาก ในอดีตทั้งสองดูแลเขาเป็นอย่างดีเมื่อเขาอยู่ในสำนักศึกษา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่ยหมิงที่เคยถ่ายทอดวิชากายาเทพสายฟ้าให้เขา ซึ่งเป็นวิชาที่ช่วยเขาอย่างมากในอดีต

เมื่อมองไปที่ท่าทางอ่อนน้อมถ่อนตนของมู่เฉิน ไท่ชางและเป่ยหมิงก็รู้สึกพอใจ เด็กหนุ่มในตอนนั้นไม่ได้หยิ่งผยองเพราะความสำเร็จที่มี แต่ยังคงรักษาความสุภาพเรียบร้อยเอาไว้

ตอนนั้นเองเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและเยี่ยชิงหลิงก็เข้ามาพร้อมกับรู้สึกยินดีในการรวมตัวกันอีกครั้ง

“พี่ใหญ่มู่เฉิน!” เยี่ยสุนเอ๋อพุ่งมายืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“สุนเอ๋อตัวน้อย”

เมื่อได้เห็นเยี่ยสุนเอ๋ออีกครั้งก็หวนนึกถึงอดีตไม่ได้ ตอนที่เขาอยู่ในมิติเป่ยชางก็ได้พบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ เกล้าผมหางม้าซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

แต่ตอนนี้เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว

“ข้าไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไปแล้วนะ!”

มู่เฉินเอื้อมมือขยี้ผมของเยี่ยสุนเอ๋อเหมือนที่เคยทำเมื่อในอดีต ทำให้ผมของนางยุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่นางมองเขาอย่างฝืดเฝื่อน

หลังจากแกล้งเยี่ยสุนเอ๋อไปสักพัก มู่เฉินก็หันไปเห็นถังเชี่ยนเอ๋อที่ใบหน้ากำลังระบายรอยยิ้ม ผมยาวของนางเกล้าเก็บอย่างดี ไม่หลงเหลือเค้าความขี้เล่นในอดีตอีกต่อไป ตอนนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว

“ต้องขอบคุณพี่เชี่ยนเอ๋อที่ขยี้เครื่องรางชิ้นนั้น ทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงพื้นที่นี้จนรีบเร่งมาที่นี่ได้ทันเวลา” มู่เฉินยิ้ม

ถังเชี่ยนเอ๋อยิ้มขณะมองไปมู่เฉินและลั่วหลียืนเคียงคู่กัน ทั้งสองโดดเด่นและดึงดูดสายตายิ่งนัก

“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้า มิฉะนั้นสำนักศึกษาวั่นหวงคงไม่สามารถรอดพ้นจากหายนะได้” ถังเชี่ยนเอ๋อถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความเศร้าโศก สำนักศึกษาวั่นหวงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายจำนวนหนึ่งในตอนที่หนีตายมายังทวีปเป่ยชาง

มู่เฉินทำได้เพียงแค่ตบไหล่นางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน

“พี่ใหญ่มู่เฉินจะออกเดินทางทันทีเลยไหม?” เยี่ยสุนเอ๋อโพล่งถามขึ้น คำพูดของนางดึงดูดสายตาของทุกคนมาทันที

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอยากให้อยู่ต่อในสายตาของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นกวาดมองสำนักศึกษาเป่ยชาง ณ ที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำงดงามในอดีต

“ข้าจะอยู่ในทวีปเป่ยชางอีกสักพักและแก้ไขหายนะเรื่องจักรวรรดิปีศาจภายในดินแดนมหาพันภพให้หมดสิ้น…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เสียงโห่ร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจากสำนักศึกษา

พอเห็นเช่นนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ขณะเดียวกันมือที่นิ่มและเย็นฉ่ำก็เข้ามาจับมือเขาไว้ เขากำมือจับเอาไว้พลางมองไปในมิติ

เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของความสงบสุข ก่อนสงครามครั้งใหญ่จะระเบิดออก

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท