ร่างลั่วหลีเต็มไปด้วยเหงื่อชื้น
ขณะที่นางแนบอยู่บนร่างของมู่เฉิน ไฟเสน่หาเติมเต็มจนไม่อาจจินตนาการได้ แพขนตาของนางกะพริบขึ้นลง
เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนรักในอ้อมกอด มู่เฉินก็ลูบหลังบางสัมผัสถึงผิวอ่อนนุ่ม เมื่อรับรู้ว่านางเกาะเกี่ยวเขาไว้อย่างไร ความรู้สึกอ่อนโยนก็กวนตัวในหัวใจ
ลั่วหลีกะพริบตามองไปที่มู่เฉินด้วยความเขินอาย
“คนร้าย! ไหนบอกว่าจะทำแบบนี้ในวันแต่งงานไง…” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะหยิกมู่เฉินไปหนึ่งที
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ได้แต่ยิ้มแห้งพลางกกกอดหญิงสาวไว้แนบอกแน่นขึ้น
ลั่วหลีมุดหน้าลงไปในหน้าอกของเขา ขณะที่นางลูบหน้าท้องมองไปที่มู่เฉินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามว่า “เจ้าชอบลูกชายหรือลูกสาว?”
คำถามของนางทำให้มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้มกว้าง “ลูกสาวสิ เพราะจะได้โตมาสวยเหมือนแม่”
ปากลั่วหลีเชิดขึ้นขณะกอดคอมู่เฉิน “ถ้างั้นจะตั้งชื่อลูกสาวว่าอะไรดี?”
หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ มู่เฉินก็มีความสนใจขึ้นขณะแนะนำ “เรามาตั้งคนละอักษรดีกว่า”
“ตัวข้าชื่อเฉินแปลว่าเล็กเหมือนละออง ข้าเชื่อว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ต้องการให้ข้าเป็นคนธรรมดาและมีชีวิตที่สงบสุข” มู่เฉินยิ้มขณะลูบไล้หน้าท้องของลั่วหลีอย่างอ่อนโยน “แต่สำหรับลูกสาวของข้ามู่เฉิน ข้าหวังว่านางจะดำรงอยู่เหนือล้ำล่องลอยสูงไปบนก้อนเมฆ ดังนั้นข้าอยากใช้คำว่า ‘หยุน’…”
ลั่วหลีเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจเอี้ยวหน้ากล่าวว่า “ข้าหวังว่าความมืดจะจากไปพร้อมกับแสงสว่างสาดส่องอีกครั้งในมหาพันภพ ดังนั้นถ้าเรามีลูกสาว ข้าจะใช้คำว่า ‘ซี’…”
ซีหมายถึงแสง
มู่เฉินยิ้มบางพลางพยักหน้า “งั้นถ้าเรามีลูกสาว… เราจะเรียกเจ้าตัวเล็กว่ามู่หยุนซี ถ้าเป็นลูกชายก็ตั้งชื่อให้เรียบง่ายอย่างมู่ถู่หรือมู่สือก็ได้”
“ทำไมเจ้าเห็นลูกสาวสำคัญกว่าลูกชายอย่างนี้?!” ลั่วหลีอดจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินไม่ได้
“แต่มู่หยุนซีเป็นชื่อที่ดีทีเดียว…”
ลั่วหลีกัดริมฝีปากพร้อมกับความหวังในแววตา ฉากนี้ช่างน่าดึงดูดใจเสียจริง
เมื่อมองไปที่ลั่วหลี ความอ่อนโยนในหัวใจของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นขณะกำมือแน่น ‘ภาพงดงามอย่างยิ่ง อนาคตช่างเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างแท้จริง’
‘ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิคิดทำลายทุกสิ่งละก็…’
ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย ‘งั้นข้าก็จะลบล้างเทพปีศาจนั่นเอง!’
พร้อมกับความคิดนี้ ร่างสองร่างบนดินแดนวั้นมู่ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์ ขณะที่ดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ
เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นแสงหลิงไร้ขอบเขตก็กำจายปกคลุมดินแดนวั้นมู่ทั้งหมด
ในส่วนลึกของรัศมีสว่างไสวสามารถมองเห็นร่างโบราณสองร่างได้อย่างคลุมเครือซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับไร้ขอบเขตและกลิ่นอายโบราณ
หนึ่งคือร่างรัศมีซึ่งเอิบอาบไปด้วยความสว่างไร้ขอบเขต ส่วนอีกหนึ่งเต็มไปด้วยพลังงานหลิงไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมดสิ้น
ทั้งสองร่างนี้ก็คือร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณ
หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี ในที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองก็ชำระได้สำเร็จแล้ว
ตอนนั้นเองมู่เฉินที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชางก็สัมผัสได้ เขารู้สึกโล่งใจมาก
“ในที่สุด…ก็เสร็จสมบูรณ์”
ทว่าขณะที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ในความสำเร็จ ทันใดนั้นม่านตาก็หดลงเขามองไปในทิศทางของดินแดนปีศาจที่อยู่นอกมหาพันภพ
“มู่เฉินเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ลั่วหลีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน
“เทพปีศาจจักรพรรดิ…ปรากฏตัวแล้ว”
น้ำเสียงของมู่เฉินอัดแน่นด้วยจิตสังหารไร้ขอบเขต
ในเวลาเดียวกันในเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังป้อมปราการของมหาพันภพ หลินต้งและเซียวเหยียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเช่นกัน
ดวงตาของพวกเขาวูบวาบด้วยประกายไฟและคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไอสังหารที่แทรกซึมอยู่ในดวงตาก็แล่นเปรียะ
ไอสังหารปกคลุมทั้งเมือง ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นกะทันหันมองไปยังทิศทางของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม
วาบ!
นายหญิงสี่คนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู เซียวซุนเอ๋อ ไฉ่หลิง อิ้งฮวนฮวนและหลิงชิงจู๋ก็ปรากฏตัวที่เบื้องหลังสามีในยามนี้
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” พวกนางถามขึ้น
หลินต้งและเซียวเหยียนฉายสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเสียงก็ดังสะท้อนในโสตประสาทของทุกคนในเมือง
“เทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นแล้ว แจ้งคำสั่งเพิ่มการแจ้งเตือนระดับสูงสุด กองหน้าให้หยุดการโจมตีทันที”
เสียงนี้ทำให้หัวใจทุกดวงสั่นสะท้านพร้อมกับความโกรธ ความกลัวและความโล่งใจ…
ตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่มีข่าวใดของเทพปีศาจจักรพรรดิให้ได้ยิน แต่แม้อีกฝ่ายจะหายตัวไปก็ยังสร้างความกลัวขึ้นห่อหุ้มหัวใจของทุกคนในมหาพันภพ
ดังนั้นด้วยการปรากฏตัวนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจจากความกลัวในหัวใจ
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีกะทันหันของเทพปีศาจคนนี้
ท้ายที่สุดก็แค่สู้จนตัวตายเท่านั้น
หลินต้งและเซียวเหยียนมองเข้าไปในมิติไกลออกไปพร้อมกับสายตาทะลุผ่านปราการกั้นทั้งหมด มองเข้าไปที่จุดสิ้นสุดของความมืดมิด
รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกลายเป็นเมฆกลิ้งไปมา
ร่างสวมชุดขาวยืนอยู่บนเมฆดำดูราวกับบัณฑิตพร้อมกับความกรุณาปรานีเอิบอาบออกมารอบตัว
ดวงตาสามดวงเปิดอยู่บนหน้าผากกะพริบด้วยแสงวูบวาบน่ากลัว
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็คลี่ยิ้มพลางแลกสายตากับหลินต้งและเซียนเหยียนจากระยะไกล
ขณะที่ทั้งสามฟาดฟันกันด้วยสายตา มิติก็ผันผวนพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลโอบรัศมีล้อมรอบในระยะสิบล้านลี้
“ทั้งสองไม่เจอกันนานนะ…”
เสียงของเทพปีศาจดังก้องขณะเคาะนิ้วเบาๆ ไปที่ทั้งสอง
“วันที่ข้ามาถึงจะเป็นวันทำลายล้างมหาพันภพ” เมื่อเขาสะบัดมือออก ความมืดก็ปิดกั้นประสาทสัมผัสของหลินต้งและเซียวเหยียน
แสงหลิงในนัยน์ตาทั้งสองสลายไป พวกเขามองเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างเย็นชา
“อีกหนึ่งวันเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะเคลื่อนไหวแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของสามี ใบหน้าของนายหญิงสี่คนก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว…”
“มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวซุนเอ๋อถามด้วยคิ้วมุ่นแน่น
เมื่อได้ยินคำถาม ทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนก็คลี่ยิ้มพึงพอใจ “เขาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ก่อตัวขึ้นในมหาพันภพ ซึ่งเป็นของมู่เฉิน
ใบหน้าของนายหญิงทั้งสี่คลายลง หากมู่เฉินทำสำเร็จมหาพันภพอาจยังไม่สิ้นหวังทุกประตู
“ต่อไป… เราก็จะมาดูว่าเทพปีศาจเก้าเนตรในสภาพพร้อมรบสูงสุดจะทรงพลังเพียงใด” เทพจักรพรรดิทั้งสองเงยหน้าขึ้น ไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามกลับเผยร่องรอยของความคาดหวัง
ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง
มู่เฉินยืนขึ้นพลางยื่นมือไปให้ลั่วหลี “ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันชี้ชะตาของมหาพันภพ”
สีหน้าลั่วหลีเคร่งเครียดลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อหมอกหลิงค่อยๆ สลายไปพร้อมกับโอบลั่วหลีลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล
ภายในสำนักศึกษาเหล่าศิษย์ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับเสียงที่ทำให้ปฐพีเลื่อนลั่น
“พวกเราขออวยพรให้ศิษย์พี่กลับมาพร้อมกับชัยชนะ!”
อีกด้านหนึ่งเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียน ถังเชี่ยนเอ๋อและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เงาร่างของมู่เฉิน ก่อนจะประสานมือโค้งคำนับ
“มู่เฉิน พวกข้าจะตั้งมั่นรอที่นี่พร้อมกับเหล้าที่เตรียมไว้สำหรับการกลับมาด้วยชัยชนะของเจ้า”
พวกเขาทราบดีว่าการไปของมู่เฉินครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อมหาพันภพ เพื่อทุกคน เพื่อบ้านของพวกเรา
เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงก้องกังวานนั้นก็ยิ้มและหันไปพูดกับลั่วหลีเบาๆ “เพื่อเจ้าและเพื่อลูกสาวในอนาคต—มู่หยุนซี…”
“ข้าไม่มีทางแพ้สงครามครั้งนี้!”