หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler – บทที่ 1545 หายนะของสำนักศึกษา

บทที่ 1545 หายนะของสำนักศึกษา

หวอ หวอ!

สัญญาณเตือนภัยดังก้อง ทั่วทั้งสำนักศึกษาเป่ยชางที่คึกคักก็เข้าสู่ความโกลาหล สายตานับไม่ถ้วนมองออกไปที่ด้านนอกค่ายกลด้วยความกลัว บนท้องฟ้าไกลโพ้นถูกครอบงำด้วยรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากที่หลั่งไหลเข้ามา…

“เผ่าปีศาจเคลื่อนไหวแล้ว!”

ยืนอยู่ริมทะเลสาบเยี่ยชิงหลิง เสิ่นชังเสิง เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็มีใบหน้าเปลี่ยนไปกับฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดลง ร่างกายตึงเครียดขึ้น

“พี่ใหญ่!”

เยี่ยสุนเอ๋อทะยานเข้ามาพลิ้วตัวลงด้านข้างเยี่ยชิงหลิงด้วยความกังวลในสายตา

เยี่ยชิงหลิงหายใจเข้าลึกตอบว่า “ปลอบใจเหล่าศิษย์เอาไว้ อย่าให้แตกตื่น… นอกจากนี้เตรียมรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อไรที่สถานการณ์เริ่มแตกหักให้จัดกลุ่มศิษย์หนีผ่านทางค่ายกล”

เผ่าปีศาจทรงพลังและก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่สำนักศึกษาจะขัดขวางไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องวางแผนสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้

เยี่ยสุนเอ๋อกัดริมฝีปาก แต่นางก็รู้ซึ้งถึงความแตกต่างของพลังระหว่างทั้งสองฝ่าย จึงพยักหน้ารับทราบ

“ทุกคนผ่านมาหลายปี ตอนนี้เรากำลังจะต่อสู้ด้วยกันอีกครั้งแล้ว” เยี่ยชิงหลิงมองไปที่เสิ่นชังเสิงและพรรคพวกด้วยรอยยิ้ม

เสิ่นชังเสิงก็คลี่ยิ้มออกมา ไม่มีความกลัวอยู่ในสายตาเขา หอกคู่ใจปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นก็หันไปหาหลี่เฉวียนทงเอ่ยว่า “ตอนที่ศึกษาที่นี่เจ้าไล่ตามข้าตลอด ครั้งนี้แข่งกันอีกไหม?”

“เอาเลย” หลี่เฉวียนทงยิ้มพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัว เสื้อผ้าโบกสะบัด

“มีข้าที่นี่ ไม่ถึงมือเจ้าสองคนได้โอ้อวดหรอก” เวินชิงเฉวียนยิ้มบาง ร่างแผ่ซ่านด้วยความมั่นใจราวกับนกยูงรำแพนขน นางยังคงเจิดจ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“โฮก!”

แต่ขณะเดียวกันเสียงคำรามของมังกรเกรี้ยวกราดที่แตกสลายฟ้าดินก็ดังก้องออกมาจากสำนักศึกษาเป่ยชาง ลำแสงสีดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างเงาหนี่งเผยตัวออกมา

นั่นคือชายชราหัวล้าน มีท่าทางเย็นชาขณะที่สายฟ้าดังก้องอยู่รอบตัวแผ่แรงกดดันทรงพลัง

“ท่านเป่ยหมิง!”

ร่างสูงวัยนี้ได้รับเสียงโห่ร้องต้อนรับจากทั่วบริเวณ ทุกคนมีไฟลุกโชนในดวงตา เพราะในสำนักศึกษาเป่ยชาง ชื่อเสียงของเป่ยหมิงโด่งดังเหลือเกิน

แต่เมื่อได้รับเสียงโห่ร้องเหล่านั้นใบหน้าของเป่ยหมิงก็ไม่ได้คลายลง เขามองรัศมีปีศาจหนาแน่นนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบบนร่างกาย ชัดว่าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ที่ทรงพลังในหมู่เผ่าปีศาจ

วาบ วาบ!

ร่างแสงหลายร่างเริ่มทะยานสู่ท้องฟ้าจากสำนักศึกษาเป่ยชางมายืนอยู่ด้านหลังเป่ยหมิง พวกเขาก็คือเหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังของห้ายอดสำนัก

ไท่ชางปรากฏตัวข้างเป่ยหมิง เมื่อมองไปที่สีหน้าอีกฝ่าย ใบหน้าเขาก็ดิ่งลง

“ไท่ชางเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” เมื่อมองไปท่าทางของไท่ชาง เป่ยหมิงก็ถอนหายใจ

พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นร่างไท่ชางก็สั่นสะท้านพร้อมกับความรวดร้าวในสายตา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสำนักศึกษาเป่ยชางจะต้องพบกับวันแห่งการทำลายล้าง

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องสละร่างแก่ๆ นี้ต่อสู้เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้มีเวลาหลบหนีมากขึ้น” ไท่ชางประสานมือกล่าวด้วยความแน่วแน่

ในฐานะอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาเป่ยชาง เขาไม่สามารถทิ้งศิษย์เผชิญชะตากรรมเช่นนี้ได้

เป่ยหมิงยิ้มพลางตบไหล่ไท่ชาง “ข้าปกป้องสำนักมาหลายปี ถ้าสำนักกำลังเผชิญกับการทำลายล้าง ข้าก็จะสู้ตายพร้อมกับทุกคน”

ไท่ชางเปิดปากขึ้น แต่เป่ยหมิงกลับหยุดเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงคารวะให้

ฟิ้ว!

ยามนี้เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็มายืนอยู่ด้านหลังไท่ชาง

“ท่านอาจารย์ใหญ่ พวกเรายินดีที่จะพลีชีพเพื่อปกป้องสำนัก!”

เมื่อมองไปที่เหล่าศิษย์ ไท่ชางก็ซาบซึ้งใจตอบว่า “พวกเจ้าก้าวไปไกลแล้วและคือความหวังในอนาคต ไม่จำเป็นต้องพินาศไปกับสำนัก ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถพาศิษย์น้องทั้งหลายให้รอดพ้น ถือว่าช่วยรักษาเมล็ดเพลิงให้สำนักไว้”

พวกเสิ่นชังเสิงเงียบไป เมื่อมองสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวังของชายชรา พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ สุดท้ายพวกเขาทำได้เพียงโค้งคำนับรับด้วยมารยาทสูงสุด

“ท่านอาจารย์ใหญ่โปรดมั่นใจ ข้าจะปกป้องพวกเขาอย่างดีที่สุด”

ไท่ชางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเหนือท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รัศมีปีศาจถั่งโถมเข้ามาใกล้ในระยะหมื่นจั้งแล้ว

เมื่อมองผ่านรัศมีปีศาจ พวกเขาก็สามารถมองเห็นปีศาจนับไม่ถ้วนภายใน

“เปิดใช้งานค่ายกล!” เป่ยหมิงแผดเสียง เหล่าหลิงเจิ้นซือทั้งหมดก็เทคลื่นหลิงเข้าไปทันที ขณะที่คลื่นหลิงถูกเทลงในค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ปราการรอบสำนักก็ทรงพลังมากขึ้นเช่นกัน

“ค่ายกลพิทักษ์นี้สามารถป้องกันการโจมตีของระดับเทียนจื้อจุนได้หลายคน นี่ถือว่าเป็นชั้นการป้องกันสุดท้ายของเรา” เป่ยหมิงพูดขณะมองไปที่ปราการ

หากชั้นปราการถูกทำลาย นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องสู้ถวายชีวิตแล้วเท่านั้น

“หวังว่าค่ายกลนี้จะสามารถปกป้องสำนักของเราได้” ทุกคนภาวนาภายในใจ

ในที่สุดรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากก็หยุดลง ทั้งภูมิภาคถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน

ความวุ่นวายภายในสำนักก็สงบลงเช่นกัน แต่หลายคนมีความกลัวในดวงตาขณะที่ตัวสั่นเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจ

ทันใดนั้นกะโหลกสีดำก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างปีศาจยืนอยู่บนโครงกระดูกแต่ละส่วนเอิบอาบไปด้วยความผันผวนของรัศมีปีศาจ

นักรบราชันปีศาจเจ็ดคน!

เมื่อมองไปที่นักรบราชันปีศาจทั้งเจ็ด ความสิ้นหวังก็โหยไห้ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง แม้แต่สีหน้าของเป่ยหมิงก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

แม้เขาจะรู้ว่าจะมีราชันปีศาจ แต่เขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีถึงเจ็ดคนและทุกคนก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา

“ดูเหมือนว่าสวรรค์อยากจะทำลายสำนักศึกษาเป่ยชางจริงๆ” ไท่ชางตัวสั่น

ตู้ม ตู้ม!

ราชันปีศาจทั้งเจ็ดมองดูความสิ้นหวังอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระแทกเข้ากับปราการขนาดใหญ่

ตึง ตึง!

เผชิญหน้ากับการโจมตีของราชันปีศาจทั้งเจ็ด ชั้นปราการก็ผันผวนรุนแรง คลื่นหลิงที่อยู่บนนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้าเตรียมการค่ายกลเคลื่อนย้ายเสร็จ ก็เริ่มส่งศิษย์ออกไปเลย!” ไท่ชางออกคำสั่งด้วยเสียงสั่น อาจารย์บางส่วนก็ออกไปพร้อมกับคำสั่งทันที

ไม่มีใครสามารถต้านทานเผ่าปีศาจได้ไหวแน่เมื่อปราการแตก ไม่แม้กระทั่งเป่ยหมิงจะสามารถเผชิญหน้ากับการโจมตีของเจ็ดราชันปีศาจได้

“เมื่อไรที่ค่ายกลแตกสลาย ข้าจะพยายามขัดขวางราชันปีศาจให้ได้มากที่สุด ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าแล้ว”

ไป่หมิงมองไปที่ค่ายกลที่สั่นสะท้าน ใบหน้าก็สงบลง เขามองไปที่ไท่ชางพลางยิ้มขึ้น “พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็คิดถึงไอ้หนูนั่นที่ได้ฝึกฝนกายาเทพสายฟ้าของข้า”

“ท่านกำลังพูดถึงเจ้าหนูมู่เฉินอยู่เหรอ…ฮ่าๆ ตอนนี้เขาไม่ธรรมดาเลยนะ มีข่าวลือเมื่อไม่กี่ปีก่อนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้” ไท่ชางยิ้ม

“แค่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหายตัวไปในช่วงหลายปีนี้… คนอื่นบอกว่าเขากลัวพวกปีศาจ แต่ข้ารู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น”

เป่ยหมิงยิ้ม “คนที่กล้ารับเมฆเทพอัสนีดำเพื่อชำระร่างกายและเรียนรู้กายาเทพสายฟ้า จะไปมีความกลัวได้อย่างไร คนอื่นโง่ไปเท่านั้น”

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่พวกเขาพูดคุยถึงความหลัง ขบวนแถวแสงก็บางลงก่อนที่จะระเบิดที่หน้าครรลองสายตาทุกคน…

ค่ายกลแตกสลาย ภาพสำนักศึกษาเป่ยชางก็เผยออกเบื้องหน้าเผ่าปีศาจ

“ฆ่าให้หมด!”

ราชันปีศาจทั้งเจ็ดมองไปที่เป่ยหมิงอย่างเย็นชา เนื่องจากรู้สึกได้ว่ามีเพียงเขาที่สร้างภัยคุกคามได้ ทันใดนั้นทั้งเจ็ดก็เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน เปิดฉากซัดฝ่ามือใส่เป่ยหมิงทันที

เผชิญกับราชันปีศาจทั้งเจ็ด เป่ยหมิงก็เผยสีหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบออกมาจากร่างราวกับเทพสายฟ้า

เขาก้าวออกไป มือประสานกันก่อนจะผลักกระแทกออก

“ฝ่ามือเทพอัสนีดำ!”

สายฟ้าสีดำพุ่งออกไปราวกับมหาสมุทรพลุ่งพล่านปะทะกับฝ่ามือทั้งเจ็ด

ปัง ปัง!

ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน พลังทั้งสองสายปะทะกัน ทว่าสายฟ้าสีดำไม่สามารถต่อกรกับฝ่ามือทั้งเจ็ดได้ ในที่สุดก็ถูกฉีกออกพลังงานที่เหลือซัดใส่ร่างของเป่ยหมิง

ปัง!

เป่ยหมิงตัวสั่น เสื้อผ้าถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ รัศมีจืดจางลง เขาได้รับบาดเจ็บหนักหลังจากการแลกกระบวนท่าครั้งเดียว!

“ท่านเป่ยหมิง!”

เหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาเป่ยชางร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง ใครจะคาดคิดว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือศัตรูในทันที

“ส่งพวกเขาออกไป!” เป่ยหมิงคำรามด้วยสีหน้าซีดเซียว

ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ความโกลาหล ภายใต้การนำของเหล่าอาจารย์ ศิษย์ทุกคนเริ่มหนีเข้าไปในส่วนลึก

เป่ยหมิงคำรามมองไปที่ราชันปีศาจทั้งเจ็ดด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็เข้าประจัญบาน ยามนี้เขาคิดสู้จนตัวตายแล้ว

เผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งเจ็ด เป่ยหมิงก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้…เขาก็ทำได้เพียงทำลายตัวเองเพื่อซื้อเวลาให้เด็กๆ หนีไป

ขณะที่คลื่นหลิงรุนแรงพวยพุ่งขึ้นภายในร่างกาย ความผันผวนที่น่ากลัวก็กวาดออกมา

เมื่อราชันปีศาจทั้งเจ็ดสังเกตเห็นการกระทำของเป่ยหมิง ใบหน้าก็เปลี่ยนไปร้องว่า “ฆ่ามัน!”

จากนั้นก็พุ่งเข้าโรมรันในเวลาเดียวกัน กระบี่ปีศาจเจ็ดเล่มกวาดออกพร้อมกับปีศาจรุนแรง

“ท่านเป่ยหมิง!”

เมื่อเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและพรรคพวกเห็นฉากนี้ร่างกายก็ชาวาบไปด้วยความสิ้นหวังในแววตา พวกเขารู้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะสังหารเป่ยหมิงแน่นอน

“ฝากศิษย์น้องไว้กับพวกเจ้าแล้ว!” ไท่ชางมองฉากนี้โดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่เล็บแทงเข้าไปในฝ่ามือพร้อมกับเลือดหยดลงมาเป็นสาย

หลังจากที่เสิ่นชังเสิงและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาก็กัดฟันถอยร่นออกไป

ฟิ้ว!

ขณะที่กระบี่ปีศาจทั้งเจ็ดบินฉวัดเฉวียนข้ามขอบฟ้าก็พุ่งเป้าไปที่จุดตายของเป่ยหมิงด้วยมุมน่าหวาดเสียวกระทั่งมิติยังฉีกออกจากกัน

ฮึ่ม ฮึ่ม!

แต่ขณะที่ทุกคนกำลังจะเห็นความตายของเป่ยหมิง เสียงครางกระหึ่มก็ดังก้องมาจากขอบฟ้า

ทันใดนั้นแสงหลิงพร่างพราวสองสายก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ลำแสงสายหนึ่งทะยานเข้าไปที่เบื้องหน้าดงกระบี่ปีศาจลบออกทันที

ส่วนลำแสงอีกสายก็กลืนกินสามราชันปีศาจโดยที่ไม่ทันแม้แต่จะเปิดปากร้องออกมาก่อนที่จะสลายหายไป…

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ หยุดชะงักการล่าถอย ความไม่เชื่อเขียนอยู่ในดวงตา ขณะที่มองการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้…

ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง มิติด้านหลังเป่ยหมิงก็ผันผวน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ มือบางยื่นออกมาวางไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายซึ่งทำให้พลังงานที่บ้าคลั่งในร่างกายเขาสงบลงทันที…

คลื่นหลิงในร่างสงบลง เป่ยหมิงก็อึ้งไปก่อนที่จะหันหน้าไปมองก็เห็นใบหน้าสะคราญโฉมที่อ่อนล้าจากการเร่งรุดเดินทางอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเห็นสายตาของเป่ยหมิง สาวสวยก็ยิ้มพลางกะพริบตาเย้าแหย่พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนดังก้อง

“ผู้อาวุโสเป่ยหมิงจะตายไม่ได้นะเจ้าค่ะ ไม่งั้นข้าไม่รู้จะอธิบายให้มู่เฉินฟังได้ยังไงเมื่อเขากลับมา…”

เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังก้องทำให้ทุกคนตะลึงงันเมื่อมองไปที่รูปลักษณ์งดงาม

ยามนี้ไท่ชาง เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างร้องอุทานว่า

“นั่น…”

“ลั่ว-หลี!”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler ฟรี ได้ที่ novel-fast 


เรื่องย่อ

โดย เรื่อง หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler บางส่วนของนิยาย

บทนำ

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

เรื่องย่อ

เมื่อคำพูดของมู่เฉินกระจายออกไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีการตอบสนอง แม้แต่ด้านนอกเจดีย์ก็ถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศราวกับป่าช้า…

ทุกคนตกตะลึงไปกับฉากนี้ พวกเขาจ้องมองจุดที่ลู่สุยหายตัวไป ราวกับว่ายังไม่สามารถฟื้นจากอาการตะลึงงันที่เกิดขึ้นได้

ก่อนหน้าเมื่อลู่สุยออกกระบวนท่าที่น่าสะพรึง ผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดแล้ว ทว่าพวกเขาไม่คิดเลยว่ามู่เฉินจะพลิกสถานการณ์ได้อีกครั้ง เตะลู่สุยที่เหมือนจะคว้าชัยชนะออกไป

ทุกคนตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะหลุดออกจากอาการได้ สายตาเคร่งเครียดลง การประลองกันครั้งนี้มู่เฉินไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เขาก็สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดอย่างลู่สุยได้ด้วยความแข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นหกเท่านั้น แม้ว่าจะมีผลจากลู่สุยประมาทเองในตอนแรก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามู่เฉินน่ากลัวแค่ไหน

พลังเช่นนี้เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อันดับต้นๆ ในเจดีย์ฝึกพลังกายได้เลยทีเดียว

ทางฝั่งกลุ่มกระเรียนฟ้า ใบหน้าของหลิ่วชิงกลายเป็นเขียวสลับขาว นางมองไปที่ร่างสูงโปร่งบนหน้าจอ กลืนน้ำลายเหนียวหนืด ความกลัวปรากฏในดวงตาของนางเป็นครั้งแรก

มาถึงจุดนี้นางคงโง่แน่ถ้ายังคิดปฏิบัติต่อมู่เฉินเหมือนกับจอมยุทธ์ขั้นหกทั่วไป

ด้วยพลังในการต่อสู้ที่เขาแสดงออกมา บวกกับค่ายกลทรงพลัง แม้แต่จงเถิงก็ยากจะได้เปรียบหากพวกเขาต่อสู้กัน

ก่อนหน้านี้นางหัวเราะเยาะและมองจิ่วโยวด้วยความดูถูก แต่ตอนนี้นางอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ซึ่งจุดนี้รู้ได้จากสายตาเยาะเย้ยเหล่านั้นที่ปรายมองเข้ามา

“ทำไมมู่เฉินถึงทรงพลังเช่นนี้?” จงฮั้วที่พ่ายแพ้ให้กับมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดเช่นกันว่ามู่เฉินพึ่งพาเพียงค่ายกลเพื่อจัดการกับศัตรู แต่ใครจะคิดว่าเมื่อไม่มีการใช้ค่ายกลมู่เฉินก็สามารถเอาชนะลู่สุยแบบดุร้ายยิ่งกว่าอะไร

“ดูเหมือนว่ามีเพียงพี่ใหญ่จงเถิงเท่านั้นที่สามารถจัดการกับเขาได้” จอมยุทธ์อีกคนของเผ่ากระเรียนฟ้าพยักหน้า

หลิ่วชิงพยักหน้าเบาๆ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพิจารณาพลังของมู่เฉินพลาดไปเท่านั้น แม้แต่จงเถิงก็ตัดสินอีกฝ่ายผิดไป ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

ฟิ้ว!

ขณะที่นอกเจดีย์ต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่มู่เฉินนำมา ทันใดนั้นแสงก็กะพริบบนแท่นนอกเจดีย์ ร่างน่าสังเวชปรากฏขึ้น

เมื่อร่างนั้นออกมาก็รีบถอยกลับไปปรากฏตัวขึ้นในกลุ่มอีกาสายฟ้าทันควัน นี่ก็คือลู่สุยที่มีสีหน้าซีดขาว คลื่นหลิงของเขาถดถอยลงอย่างมาก

สายตาโดยรอบยิงเข้าหาในเวลานี้ทันที

ใบหน้าของลู่สุยเขียวคล้ำ สายตาเกลียดชังมองไปที่มู่เฉินที่อยู่บนหน้าจอ ก่อนที่จะหันหัวสาดสายตาดุร้ายใส่จิ่วโยวและมั่วหลิง ที่ข้างๆ พรรคพวกของเขาก็มีท่าทางไม่ดีเช่นกัน

ทว่าจิ่วโยวไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสายตาเหล่านั้น นางเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ลูกหมาที่ถูกฟาดยังกล้าที่จะออกมาแยกเขี้ยวอีกเหรอ?”

ตอนนี้ลู่สุยบาดเจ็บสาหัส สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปหมด ส่วนคนที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัว หากพวกเขากล้าที่จะคิดบัญชีกับพวกนาง จิ่วโยวก็ไม่คิดปล่อยพวกเขาไว้เป็นภัยคุกคามในอนาคตหรอก

สายตาแสดงความเกลียดชังของลู่สุยจ้องเขม็งอยู่ที่จิ่วโยว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องถอนสายตาออกไปอย่างไม่เต็มใจ ก่อนที่จะถอยกลับนั่งลงบนซากปรักหักพังเข้าสมาธิเพื่อฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

จอมยุทธ์กลุ่มอีกาสายฟ้าก็ปรากฏรอบตัวเขาเพื่อปกป้อง

เมื่อจิ่วโยวเห็นการตอบสนองนั่น นางก็ไม่ได้ใส่ใจกับพวกเขาอีก นางมองไปที่หน้าจออีกครั้งโดยพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร่างเงาอ่อนเยาว์ มือที่กำแน่นผ่อนคลายลง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับนางที่มู่เฉินจะเอาชนะได้เด็ดขาดแบบนี้ นั่นเป็นเพราะตามการประเมินของนางแม้ว่ามู่เฉินจะยืนยงอยู่ได้ก็เป็นยากที่จะเอาชนะลู่สุยด้วยขุมพลังจื้อจุนขั้นหกและถ้าการต่อสู้ถูกลากไปจนสุดอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบคาดไม่ถึง

ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ทำให้นางทั้งประหลาดใจและดีใจ

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินได้รับประโยชน์มหาศาลจากสามชั้นแรกของเจดีย์ฝึกพลังกาย ไม่เช่นนั้นเขาไม่สามารถแสดงพลังเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ได้

“ว่ากันว่าในชั้นสี่มหัศจรรย์กว่านี้มาก หากใครสามารถเข้าไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับผลประโยชน์เกินกว่าสามชั้นแรกมาก…”

จิ่วโยวยิ้มบาง ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันไม่น่ามีปัญหาใดๆ ที่มู่เฉินจะเข้าสู่ชั้นสี่ สำหรับมั่วเฟิงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหนึ่งในอันดับต้นของกลุ่มที่เข้าไป ดังนั้นจึงไม่ยากสำหรับเขาที่จะได้หนึ่งในห้าที่นั่งนี้ไปเช่นกัน

ดูเหมือนว่าการเดินทางมาที่เจดีย์ฝึกพลังกายโบราณครั้งนี้เผ่าวิหคโลกันตร์อาจเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

บนลานเมฆสายฟ้า

ไม่มีใครตอบคำถามของมู่เฉิน ขณะนี้แม้แต่จอมยุทธ์ทรงอำนาจอย่างหานซันและสีคุนก็ยังรู้สึกหวาดระแวงมู่เฉินอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ไปปะทะกับมนุษย์ผู้นี้

ดังนั้นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่จึงเงียบลง ก่อนที่จะถอยออกจากรัศมีโดยรอบมู่เฉินอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการต่อสู้กับเขา

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งอก คนอื่นๆ เห็นเพียงฉากการต่อสู้ตระการที่เขาเอาชนะลู่สุยได้ แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหมัดที่เขาชกออกไปก่อนหน้านี้คือพลังงานส่วนเกินจากสามชั้นแรก

ร่างกายของมู่เฉินก่อนหน้าเปรียบเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับน้ำจนถึงขีดจำกัด หมัดของเขาจึงเท่ากับบีบน้ำออกจนหมด ทำให้ร่างกายที่อัดแน่นกลับสู่สภาพเดิม

ดังนั้นถ้าให้เขาโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง พลังก็จะไม่ทรงประสิทธิภาพเหมือนเมื่อครู่แน่นอน

ประสิทธิผลพิเศษชนิดนี้ของการสะสมพลังงานในร่างกายเป็นทักษะที่ได้มาจากกายามังกรหงส์ ด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ กลายเป็นไพ่ลับอีกใบหนึ่ง

“คัมภีร์หลงเฟิ่งทรงพลังจริงๆ”

แม้แต่มู่เฉินก็ยังชื่นชมในสิ่งนี้ คัมภีร์หลงเฟิ่งสมแล้วที่เป็นทักษะยอดเยี่ยมแท้จริง จากการประเมินของเขาคัมภีร์นี้ต้องอยู่ในระดับเสินทงแน่นอน ซึ่งไม่ธรรมดาแม้จะอยู่ในกลุ่มวิทยายุทธระดับเสินทงด้วย

มู่เฉินชื่นชมก่อนที่จะใจเย็นลง แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีใครท้าทายเขา แต่เขาก็ไม่ตั้งใจที่จะท้าทายคนอื่นด้วยเช่นกัน เขายืนนิ่งบนตำแหน่งตนเองรอผลการคัดออก

สำหรับจงเถิง มู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกยุแยงให้ลู่สุยมาปะทะกับเขา แต่เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีในการจัดการ เขาจึงได้แต่ผลักแผนไปก่อน

แต่ถึงกระนั้นสายตาคมกล้าของมู่เฉินก็ยังจ้องเขม็งไปที่จงเถิง รอบตัวเต็มไปด้วยคลื่นหลิงราวกับเสือดาวที่กำลังจะจ้องตะครุบเหยื่ออัดแน่นด้วยภัยคุกคาม

เมื่อเห็นท่าทางของมู่เฉิน จงเถิงที่ประจันหน้ากับมั่วเฟิงก็รู้สึกอึดอัดใจ เขาต้องแยกสมาธิอยู่ตลอดเพื่อจับตามองมู่เฉิน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวมาประสานพลังกับมั่วเฟิง

ด้วยวิธีนี้สมาธิของจงเถิงจึงค่อนข้างฟุ้งซ่าน สุดท้ายเขาได้แต่กัดฟัน ถอนคลื่นหลิงและถอยออกจากบริเวณของมั่วเฟิง

“พี่มั่วยากสำหรับการต่อสู้ของเราที่จะได้ข้อสรุป ทำไมเราไม่ไปจัดการคนอื่นและรับที่นั่งมาล่ะ?” ขณะที่จงเถิงถอยกลับเสียงก็สะท้อนก้องไปด้วย

มั่วเฟิงจ้องมองจงเถิงอย่างไม่แยแสก่อนที่จะพยักหน้า นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าหากพวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ยืนจ้องหน้ากันก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใด หากเขาร่วมมือกับมู่เฉิน พวกเขาอาจทำให้จงเถิงบ้าดีเดือดขึ้นมา แม้แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลจากการตีโต้

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ที่นั่งเพื่อเข้าสู่ชั้นสี่

เมื่อจงเถิงเห็นคำตอบของมั่วเฟิงก็รู้สึกโล่งใจในใจ เขาถอยกลับอย่างรวดเร็วออกจากจุดที่มู่เฉินและมั่วเฟิงอยู่ เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนจะเลือกปะทะกับคนที่อ่อนแอกว่า

พอมู่เฉินเห็นจงเถิงไปแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไป สายตาหันมามองมั่วเฟิงแล้วก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแสดงความขอบคุณในการช่วยเหลือครั้งนี้

สายตาของมั่วเฟิงเป็นมิตรมากขึ้น คิดว่าการที่มู่เฉินเอาชนะลู่สุย ทำให้มั่วเฟิงมองมู่เฉินในฐานะจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางเฉยเมยเหมือนเมื่อก่อน

มั่วเฟิงพยักหน้าให้มู่เฉิน ก่อนที่จะหันหลังกลับและเริ่มเลือกคู่ต่อสู้ของตนเอง

ครืน!

เมื่อทุกคนเลือกคู่ต่อสู้แล้ว ทันใดนั้นคลื่นหลิงก็ระเบิดรุนแรงบนลานเมฆสายฟ้า คลื่นกระแทกกวาดออก ทำให้มิติเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

บนลานเมฆสายฟ้าพลังงานหลิงกวาดหายนะ มีเพียงตรงมู่เฉินเท่านั้นที่ไม่ถูกรบกวน เนื่องจากไม่มีใครกล้าเหยียบเข้ามาในรัศมีพันจั้ง ยามนี้เขาเหมือนผู้ชมที่ดูการต่อสู้ติดขอบ ในเวลาเดียวกันก็บันทึกกระบวนท่าที่ทรงพลังของบางคนไว้ในสมอง

แม้ว่าในชั้นนี้พวกเขาอาจไม่ได้ประลองกัน แต่ก็ยังมีอีกสองชั้นรอพวกเขาอยู่ ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีการลดจำนวนลงในชั้นต่อไป?

ดังนั้นถ้ามีโอกาสเขาต้องพยายามจดจำข้อมูลผู้อื่นเก็บไว้

ภายใต้การสังเกตของมู่เฉิน การประลองบนลานเมฆสายฟ้าก็คงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคู่จะมาถึงจุดสิ้นสุด ผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่คาดไว้

หลังจากมู่เฉินก็เป็นหานซันที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ที่นั่งที่สองไป

จากนั้นมั่วเฟิงและจงเถิงก็คว้าชัยชนะตามมา

ที่นั่งสุดท้ายตกเป็นของสีคุนที่ก่อนหน้านี้เคยแพ้หานซันที่ด้านนอกเจดีย์ ชายนี้มีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ แม้แต่หานซันยังต้องใช้ทักษะเต็มที่ถึงจะได้รับชัยชนะมา

เมื่อสีคุนได้รับที่นั่งสุดท้ายลานเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็เงียบลงอีกครั้ง ร่างทั้งห้ายืนอยู่ ขณะรัศมีไร้ขอบเขตทั้งห้าสายพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าชนกันเปรี้ยงปร้าง

ทว่าการชนกันก็ดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่ทั้งห้าจะถอนคลื่นพลังพร้อมกัน พวกเขาเหลือบมองกันและกัน จากนั้นก็ไม่ลังเลทะยานออกไปปรากฏตัวบนเบาะทั้งห้า

สายตาพวกเขาพุ่งตรงไปยังมิติด้านหลังลานเมฆสายฟ้าด้วยความโลภ ตรงนั้นเส้นดาวหางจำนวนมากกวาดผ่านราวกับฝนดาวตก

ในแสงเหล่านั้นแก่นหยดสายฟ้ากำลังกะพริบด้วยความแวววาว


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท